เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
alone in the mountainsnichised
สัตว์กินพืชนี่มันก็ร้ายใช่ย่อย
  • พริมกำลังนอนมองฝ้าเพดานในห้องนอนแขกของเธอ หลังจากที่เธอลงมาจากทิวเขารังกิตาตา กลับมานอนพักที่บ้านของครอบครัวลาคแลนได้ไม่กี่ชั่วโมง จากคำบอกเล่าของชาลี เหมือนกับว่าแมรี่และเจคจะถูกไฟคลอกตายจากฟ้าผ่าเมื่อตอนที่พริมหลบหนี พริมไม่ถามอะไรต่อ คิดว่าคงมีเรื่องมากมายที่เธอไม่รู้และไม่อยากรู้ ส่วนลาคแลนและสตีฟสูญหาย ถึงแม้ชาลีจะบอกกับเธอว่าพวกเขายังไม่ตาย แต่พริมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะปลอดภัยดีอย่างที่ชาลีบอก

    ไม่นานหลังจากนั้นพริมก็โทรแจ้งตำรวจ ไม่แน่ใจว่าจะแจ้งในข้อหาพยายามฆ่าได้หรือไม่ในเมื่อแมรี่กับเจคก็ตายไปแล้วแถมยังเกี่ยวข้องกับเรื่องวิญญาณมากมายในป่าอีก ใจนึงก็กลัวว่าตำรวจจะสืบจนเจอผีเข้า เรื่องคงซับซ้อนไปกว่าเดิม สุดท้ายจึงตัดสินใจบอกไปแค่ว่าพลัดหลงกับครอบครัวของลาคแลน

    เมื่อตำรวจมาถึง พริมก็เล่าไปว่าเธอไปตั้งแคมป์บนหุบเขากับลาคแลนและครอบครัวพร้อมกับแขกอีกหนึ่งคน พริมเกิดพลัดหลง และฟ้าผ่าจนไฟไหม้ หลังจากนั้นเธอก็หนีออกมาคนเดียว และมาถึงบ้านของแมรี่และเจคเมื่อเช้านี้ ตำรวจสอบถามเธอเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย หลังจากนั้นจึงขึ้นไปลาดตระเวนเพื่อหาแมรี่ เจค ลาคแลน และสตีฟ

    เมื่อตำรวจแยกย้ายไปกันหมด พริมจึงออกมานั่งรับแดดที่ชานบ้าน ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นเยอะเหลือเกิน พริมนั่งมองต้นแอปเปิล แอนนาปรากฏตัวมาทักทายเธอ

    “เป็นความโชคดีในความโชคร้ายนะ ที่เธอรอดมาได้” แอนนานั่งลงข้างๆ เธอ

    พริมได้แต่พยักหน้า พยายามเรียบเรียงความคิดในหัว ไม่แน่ใจว่าควรตอบอะไรออกไป

    “หลังจากนี้เธอก็คงจะกลับไปที่โอ๊คแลนด์ใช่มั้ย” แอนนาสบตากับเธอ สีหน้าดูไม่มีความสุขมากนัก

    “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น ฉันอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรอก ไม่มีงานสำหรับฉัน ที่สำคัญฉันมีเรื่องสำคัญต้องทำ” พริมเหม่อมองออกไปที่แม่น้ำแห้งเหือดระหว่างหุบเขารังกิตาตา

    “ที่นี่ไม่มีอะไรจะให้เธอจริงๆ น่ะแหละ ธรรมชาติอาจสวยงาม แต่ไม่มากพอที่คนเมืองแบบเธอจะปักหลักอยู่ได้”

    “ก่อนอื่นเลยฉันต้องไปหัดขับรถเกียร์แมนวลก่อน” พริมตอบขำๆ แอนนาพ่นลมขำพรืดออกมา

    “ฉันคงตามเธอไปไหนไม่ได้ แต่คิดว่ามีคนอยากตามเธอไปนะ” แอนนาพูดยิ้มๆ

    พริมเลิกคิ้วเป็นคำถาม แต่ไม่ได้พูดอะไร





    พวกตำรวจกลับมาแล้ว เขาพบลาคแลนกับสตีฟเดินหลงทางอยู่ในหุบเขา แต่สืบความไม่ได้อะไรเนื่องจากพวกเขาพูดไม่เป็นภาษาและแสดงกิริยาก้าวร้าว จึงถูกควบคุมตัวไปโรงพยาบาลในตัวเมืองที่ห่างออกไปไกลมาก ก่อนที่จะถูกนำขึ้นรถพยาบาล ลาคแลนสบตากับเธอชั่ววูบ เขาจ้องเธอเขม็ง แล้วเปล่งเสียงครวญครางแปลกประหลาดออกมา เสียงของเขาฟังดูเจ็บปวด แต่ไม่เป็นภาษาคน พริมรู้สึกว่าเสียงนั้นฟังดูคุ้นเคยแปลกๆ

    ชาลีในร่างคนเดินมาข้างๆ เธอ แล้วหันมายิ้มยียวน “คุ้นๆ ไหมเสียงนั้นน่ะ”

    พริมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “หรือว่า…?!”

    “เสียงของกวางแดงยังไงล่ะ ฉันบอกแล้วว่าเขาก็แค่ถูกผีหลอกนิดหน่อย” รอยยิ้มสบายๆ ของชาลีทำให้พริมรู้สึกกลัวเขาขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง สัตว์กินพืชนี่มันก็ร้ายใช่ย่อย

    ชาลีหันมามองหน้าพริมด้วยสีหน้าจริงจัง เขากวางของเขาเหวี่ยงตามองศาที่เอียงคอมองหน้าพริม ดวงตาสีดำขลับสบตาเธอก่อนจะถามออกมา “เธอจะกลับโอ๊คแลนด์เลยใช่ไหม”

    พริมเกิดลังเลขึ้นมา แต่จะใจอ่อนไม่ได้ อยู่ที่นี่เธอจะทำอะไรได้ ระหว่างที่พริมกำลังเหม่อลอยคิดถึงคำตอบชาลีก็พูดขึ้นมา “ฉันขอตามไปด้วยสิ”

    “นายทำได้หรอ?!” พริมรู้สึกเหลือเชื่อ

    “ก็ตอนนี้ฉันถือ essential work visa แล้ว แถมยังได้พลังเพิ่มขึ้นจากแมรี่และเจคที่สังเวยความแค้นให้วิญญาณทั้งป่าอีก ฉันจะทำอะไรก็ได้ อย่าเรียกว่าวิญญาณเร่ร่อนเลย เรียกว่าวิญญาณที่มีอิสระดีกว่า”

    “แล้วนายไม่ต้องไปผุดไปเกิดหรอ” พริมเริ่มกังวลขึ้นมา

    “อันนั้นไว้เป็นเรื่องของอนาคต” ชาลีตอบเรียบๆ สีหน้าจริงจังกลับมาอีกครั้ง





    ตำรวจกลับมาอีกครั้งตอนบ่ายเพื่อขอเข้ามาค้นบ้านของแมรี่และเจค พวกเขาสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดอาจไม่ใช่อุบัติเหตุ พริมรออยู่นอกบ้านหลังเส้นกั้นสีเหลืองดำ พริมเองก็ได้ยินไม่ถนัดนัก แต่เหมือนกับว่าพวกเขาสงสัยว่าคดีจะเชื่อมโยงกับคดีคนสูญหายที่ปิดไม่ได้สองสามปีที่ผ่านมา พริมจึงนึกได้ว่าชาลีเคยบอกเธอว่ามีก่อนหน้าเธอ 3 คนที่ถูกเอามาสังเวยให้กับความแค้นของป่า

    ตำรวจหญิงคนหนึ่งเดินมาหาพริม

    “พวกเราพบกล่องบรรจุวัตถุน่าสงสัย คงต้องไปตรวจสอบเพิ่ม และกันพื้นที่ของบ้านหลังนี้ไว้เพื่อเก็บหลักฐาน คิดว่าเธอคงต้องย้ายไปอยู่โมเทลใกล้ๆ ”

    “โอเคค่ะ” พริมตอบสั้นๆ อย่างไรซะเธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว

    พริมจัดการแพ็คของส่วนตัว แต่ต้องทิ้งของบางอย่างไว้เนื่องจากตำรวจต้องการเก็บเป็นหลักฐาน ตำรวจหญิงคนเมื่อครู่ขับรถมาส่งเธอที่โมเทล มีชาลีนั่งยิ้มเงียบๆ ที่เบาะหลัง

    ห้องพักขนาดไม่ใหญ่มากนัก พริมตัดสินใจพักที่นี่หนึ่งคืนก่อนเดินทางกลับ หลังจากผ่านอะไรมามากมาย พริมไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการนอนเฉยๆ แต่สุดท้ายพริมก็ผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น

    ทุ่งหญ้าทัสซอคอยู่รอบตัวเธอ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าอ่อนเหลือบสีทองที่ขอบก้อนเมฆจากแดดยามเย็น พริมนอนอยู่บนพื้นทรายปนกับหญ้าคันๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนักสำหรับพริม ช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้ทักษะการอาศัยอยู่ในชนบทของเธอเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย ชาลีในร่างคนนอนอยู่ข้างๆ เธอ แขนของเขาหนุนศีรษะของตนเองอยู่ ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร 

    พริมอยากพูดอะไรบางอย่างกับเขา แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก สติสัมปชัญญะในความฝันเหมือนกับการว่ายน้ำตัวเปล่าในทะเลที่มีคลื่นซัดแรง เธอรวบรวมความคิดไม่ได้ แต่ก็รับรู้สิ่งรอบตัว

    ชาลีพลิกตัวมามองหน้าเธอ เขาเอามือแตะที่หน้าผากของพริม เธอรู้สึกถึงสัมผัสเย็นวาบที่หน้าผาก ทันใดนั้นกลิ่นหอมหวานของดอกซ่อนกลิ่นก็ตลบอบอวล ความทรงจำอ่อนโยนในความฝันวันนั้นกลับมา พริมเบิกตากว้างมองหน้าชาลี

    “ทำไม..ฉันถึงจำเรื่องนี้ไม่ได้”

    “ตอนนั้นฉันไม่มั่นใจว่าเธอจะรู้สึกยังไงกับฉันถ้าต้องถูกเอามาสังเวยให้กับความแค้นในหุบเขา และฉันไม่อยากให้เธอสับสนก่อนเหตุการณ์วุ่นวายที่จะตามมา ที่สำคัญคือฉันคงรับไม่ได้ถ้าจะถูกเธอเกลียด”

    “แล้วทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจแล้วล่ะ” พริมสับสนไปหมด

    “ฉันไม่อยากให้เธอลืมฉัน และที่สำคัญพวกเราเป็นอิสระแล้วยังไงล่ะ แต่เธอมีทางเลือกนะ ฉันสามารถทำให้เธอไม่ต้องเห็นวิญญาณอีกต่อไปเมื่อกลับไปโอ๊คแลนด์ ที่นั่นคงจะวุ่นวายและแออัดน่าดู”

    “หมายถึงว่าฉันจะไม่เห็นนายด้วยอย่างนั้นหรือ” พริมรู้สึกใจหาย ถึงจะรู้จักกันเพียงไม่กี่วัน แต่ชาลีก็สำคัญกับเธอเหมือนกัน พอคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกก็รู้สึกจุกที่หน้าอก

    “แต่ฉันยังมาหาเธอในความฝันได้เสมอนะ” น้ำเสียงของชาลีจริงจังแต่ชวนให้พริมนึกถึงดอกไม้เหี่ยวเฉาในแจกัน

    “ขอฉันคิดดูก่อนละกัน” พริมตอบเงียบๆ ภาพทุ่งหญ้าทัสซอคค่อยๆ หายไป เหลือแต่ความมืดเงียบสงัด


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in