เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ย่องเบาเข้าญี่ปุ่นSALMONBOOKS
ภาค 1 เกอิชา



  • การเริ่มต้นของเรื่องลึกลับ


              เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นที่โอโมเตะ
              จะโอโมเตะไหนเสียอีกล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ ‘โอโมเตะซังโด’ (Omotesandō) ถนนสายสำคัญใจกลางกรุงโตเกียวที่มีรถแล่นผ่านวันละกว่าหนึ่งแสนคัน
              ใครเป็นนักช้อปต้องคุ้นเคยกับโอโมเตะซังโดเป็นอย่างดี เพราะที่นี่มีทุกสิ่งให้เลือกสรร ถึงไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า แต่โอโมเตะซังโดก็มีช็อปต่างๆ เรียงรายอยู่ บนถนน ตั้งแต่หลุยส์ วิตตอง กุชชี่ ซาร่า
    เดอะบอดี้ช็อป ไปจนถึงท็อดส์
              ที่สำคัญ โอโมเตะซังโดนั้นยังเป็นถนนสายสวย  มีต้นไม้รายเรียงอยู่สองฟากถนนแบบเดียวกับถนนเก๋ๆ ในอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะปารีส ถนนสายนี้ เลยได้ชื่อว่าเป็นชองป์เอลิเซ่ของโตเกียวยังไงล่ะครับ



              ความลับแรกของโอโมเตะซังโด อยู่ตรงต้นไม้ที่รายเรียงเป็นแถวสวยนี่แหละครับ เพราะคนไทยอย่างเราๆ น่าจะบอกไม่ได้ว่ามันคือต้นอะไร (ก็โธ่มันไม่ใช่ต้นไม้บ้านเรานี่คุณ!) แต่ถ้าเป็นฝรั่งละก็ หลายคนมาเห็นปุ๊บเป็นต้องชี้แล้วบอกว่า “ต้นเอล์ม!” กันทุกรายไป

              แต่ถ้าเมื่อไรคุณเจอแหม่มสักคนชี้ต้นไม้บนโอโมเตะซังโดแล้วบอกว่าเอล์ม ละก็ บอกแหม่มนั่นไปได้เลยครับว่า ผิด! อย่างไรก็ตาม ก่อนตอบขอให้มั่นใจหน่อยก็แล้วกัน เพราะแหม่มอาจจะเถียงกลับว่า
    เอล์มแน่ๆ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะถนนในอเมริกายุคต้นศตวรรษที่ 20 สายไหนต้องการร่มเงาละก็ รัฐบาลลุงแซมเป็นปลูกต้นเอล์มดะเลยล่ะครับ

              แต่ตอนหลังมีเชื้อราชนิดหนึ่งระบาดเข้าให้ ก็เลยตายกันระนาว ดังนั้น เมื่อมาถึงญี่ปุ่นแม้จะอยากได้เอล์มปานใด เขาก็ต้องป้องกัน ไว้ก่อน ด้วยการเสาะหาพืชพันธุ์อื่นมาปลูก มันมีชื่อว่า Zelkova ครับ มันเป็นไม้วงศ์วานว่านเครือเดียวกันกับเอล์มนั่นแหละ แต่ไม่ใช่เอล์มที่อเมริกาปลูก เป็นต้นไม้พื้นเมืองของยุโรปใต้กับเอเชียตะวันออก ก็เลยทนทานมากกว่า และแม้ว่าจะเติบโตช้ากว่าคือโตแค่ปีละ 12-18นิ้ว
    แต่ที่สุดแล้วก็จะสูงเท่าเอล์ม แถมยังมีรูปทรงเหมือนๆ กันอีกต่างหาก กันได้ทั้งลม ทนแล้ง ทนหนาวได้ด้วย เลยเป็นต้นไม้ที่เจ๋งมาก คนเกาหลียังถือเลยครับว่าเป็นต้นไม้แห่งความอึด รู้จักอดทน ยอมรับความ
    แตกต่าง และเป็นต้นไม้แห่งสันติภาพและความกลมกลืนอีกต่างหาก  นี่แหละครับ ความลับแรกของโอโมเตะซังโดที่เห็นๆ กันอยู่กระจะตา  แต่ไม่ค่อยมีใครรู้!





              แต่ก่อนที่จะเล่ากันเพลินเผลอ จนไพล่ชวนคุณไปช้อปปิ้งในร้านแบรนด์เนมบนโอโมเตะซังโด ต้องบอกกันก่อนนะครับว่า โอโมเตะซังโดนั้นมี ‘ความลับ’ ในความเป็นญี่ปุ่นซ่อนอยู่เพียบทีเดียว
              แรกๆ ผมก็ไม่รู้หรอกครับ เดินๆ อยู่บนถนนสายนั้นแล้วก็ได้แต่ถามตัวเองว่าเอ…ญี่ปุ่นเป็นยังไงกันแน่นะ?
              นั่นสิครับ—ญี่ปุ่นเป็นยังไงกันแน่?
              เชื่อว่าคนที่เคยไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ต้องเกิดคำถามนี้ขึ้นมาในหัวทันทีทันควันเหมือนผม


  •           โธ่! ก็ดูสิครับ เดินอยู่แถวโอโมเตะซังโด (ที่อยู่ใกล้กับฮาราจุกุ) ประเดี๋ยวก็จะเห็นเด็กๆ แต่งตัว
    เหมือนพังก์เปี๊ยบ ดูลุคแล้วน่าจะเกเรเกตุงไม่น้อย แต่ดันเข้าคิวซื้อตั๋วคอนเสิร์ต ซื้อไอติมกันเป็นระเบี๊ยบระเบียบชนิดที่คุณระเบียบรัตน์ไม่ต้องมองค้อนกันเลยทีเดียว เดินไปอีกนิดก็เจอคุณป้าแสนชรา ดูแล้วน่าจะชรามาตั้งแต่ยังสาวกว่านี้เยอะ ใส่เกี๊ยะใส่กิโมโนเดินช้าๆ (อาจเพราะปวดเข่า!) ย่างเชิดๆสวนไป
    กับสาวกระโปรงเหี่ยน เอ๊ย! สาวนักเรียนญี่ปุ่นกระโปรงสั้นได้โดยไม่มีใคร ถลึงตาใส่ใครว่าเชยหรือทำตัวเปรี้ยวเกินเหตุ
              คนเหล่านี้อยู่รวมกันได้ยังไง
              มองดูแล้วผมแทบอยากแล่นเข้าไปชวนคุณป้าคุณน้าหรือน้องนักเรียนสาวๆคุย (เอ่อ อย่าคิดอกุศลเป็นอันขาดนะคุณ เพราะนี่คือการทักทายประสาประเทศเพื่อนบ้าน) อยากรู้ว่าพวกเธอและเธอคิดอะไรกันอยู่ในหัว และมองเห็นโลกเป็นยังไงกันแน่ แต่ก็นั่นแหละครับ อันตัวผมดันเป็น ‘ไกจิน’ ที่สิ้นไร้ไม้ตอกเรื่องภาษาญี่ปุ่น จะไปอาโนเนะอะไรก็คงใบ้รับประทาน เลยได้แต่เดินไปเดินมาแอบมองผู้คน
    ราวกับเป็นโรคจิต พลางสงสัยอยู่ได้เป็นวรรคเป็นเวรว่า คนญี่ปุ่นที่เห็นอยู่ตรงนั้นเขาคิดอะไรกันอยู่
              พูดง่ายๆ เราเห็นคนญี่ปุ่นข้างนอกว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่า ‘ข้างใน’ ของเขาเป็นอย่างไร
              อ๊ะ! ไม่ใช่ ‘ข้างใน’ ประเภทที่ไปซื้อกล้องวิดีโอมา ส่องทะลุเสื้อผ้านะคุณไอ้นั่นน่ะถึงทะลุแล้วก็ยังเป็นข้างนอกอยู่ดีนั่นแหละ แต่ ‘ข้างใน’ ของผมน่ะ  ต้องเรียกว่าเป็น ‘ข้างในอก’ หรือข้างใน ‘อุระ’ กันเลยทีเดียว
              ตอนนึกสงสัยอย่างนั้นก็ไม่รู้หรอกว่า คำว่า ‘อุระ’ ที่แปลว่าอกของเรา มันจะเกี่ยวข้องอย่างลึกลับกับคำว่า ‘อุระ’ ในภาษาญี่ปุ่นด้วย
              จนเมื่อเดินลอยชายไปมาบนโอโมเตะซังโด แล้วได้พบกับผู้ชายลึกลับคนหนึ่งเข้านั่นแหละ!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in