จงพร้อมจะอดทนก้าวไปสู่หนทางที่ฝันใฝ่ด้วยตัวเอง"
(เธอ ผู้ไม่แพ้...เบิร์ด)
เข้ามา..ประตูด้านหน้าก็ล็อคเรียบร้อย หมดไปอีก 1 วันกับการใช้ชีวิตไปวันวัน ไม่ได้มีสาระอะไร คือชีวิตเหมือนไม่ทำไร คนอื่นคงมอง เฮ้ย สบาย แต่ไม่ใช่ เราก็คิดถึงอนาคต เดือนหน้าก็ไม่มีรายได้ไร งานก็หาไม่ได้อีก ยิ่งภาวะแบบนี้ อย่างพวกพี่ที่เหมือนลำบากเป็นแม่บ้าน มีขายของ ก็ยังมีเงินช่วยเหลือและเจ้าของยังไม่ทิ้งอ่ะนะ แต่เราไม่ได้มีงาน ก็ไม่รู้รอดหรือตาย ก็รู้หลายคนดิ้นรน ไม่รอด รอดยาก เอาเป็นว่า เราเป็น 1 ในนั้นอ่ะแหละ ก็ขอบ่น พูด ระบายๆ ความในใจในพื้นที่เรา ก่อนเป็นบ้าตาย แม้เราเฉยๆ ก็เถอะ ไม่อยากไรมาก ยังไม่ตายก็อยู่ๆ ไป เลยไม่ค่อยสนไวรัสเท่าไหร่ แม้ก็นึกๆ ใส่หน้ากากอยู่ตอนไปข้างนอก แต่กลัวไม่มีงาน เงิน อดตายมากกว่า ส่วนไวรัสคือเกิดติด ไปแพร่เชื้อ โดนคนด่า ไปเป็นภาระหมอและพยาบาลก็โดนด่าเหมือนกัน
ขึ้นห้องไป เปิด TV ดูครั้งแรก ไม่มีไรดูเลย มีหนังแบบภาษาอินเดีย หรือจีน มีเพลงก็ผสมๆ ส่วนช่องข่าวหรือพวกละครไทยหาไม่เจอ...ชีวิตจริงก็แม่----งสิ้นหวังตอนนี้ แต่ยังดีที่เรายังมีที่นอน และมีรายได้แม้ไม่มากกับการเฝ้าโฮสเทล แต่เหมือนชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่ทำไรอยู่ดีแหละ
ชีวิตที่สิ้นหวังหมดไป 1 วัน ความจริงมาเฝ้าโฮสเทลก็ไม่ได้ทำไร อยู่ไปวันๆ พี่เขาอาจให้กลับก็ได้อ่ะนะ แต่งานก็ย้ำแบบคงหาไม่ได้อีกแหละ ตกงานมานานมากๆ แล้วที่เก่าประสาทแดร๊---ก แต่เราทำเต็มที่แล้ว แต่ใครจะสนใจ คิดในมุมตัวเองทั้งนั้น เอาเป็นว่าเราทำไม่ได้ โง่แล้วกัน
จบวันที่ 4 เมษายน 2563....ชีวิตอยู่ไปวัน ๆไม่รู้เกิดมาทำซากไร ใช้เวรใช้กรรม เจอเรื่องแย่ๆ ผิดหวัง ทำร้ายใจมาเยอะ แต่คนทำเราก็ไม่เห็นเป็นห่าเป็นเหวไรเลย แม้เราไม่ได้ไปรู้ชีวิตเขาอ่ะนะ แม้แอบแช่งในใจหลายๆ คนที่ทำเฮี้ยๆ กับเรา แต่ที่ดีกับเรา แต่เราเหมือนไม่สนใจ เฉยชา ก็ระลึกไว้ในใจ แต่ไม่ได้จะไปยุ่งไรกับใครอ่ะ อยู่เงียบๆ เฉยๆ รอวันตาย เบื่อชีวิต ไม่รู้ไปทำมาหาแดร๊----กไรเหมือนกัน
เออ...คืนนี้เป็นคืนแรกที่เปิดไฟนอน ยกเว้นไฟห้องน้ำ กลัวโดนว่าแบบเปลืองไฟ แม้อาจไม่มีใครรู้ หรืออาจมี แบบเจ้าของก็มีคนรู้จักแถวนี้ เห็นไฟห้องนี้เปิดทุกคืนทั้งคืนแบบนี้...แต่แรกๆ มาคือกลัวผี
.......................................................................................
5 เมษายน 2563
ตื่น 7 โมงเช้าเหมือนเดิม แม้ไม่อยากตื่น เปิดม่านก็เห็นคนมาขายของเหมือนเดิม ชีวิตก็ดิ้นรนกันไปอ่ะแหละ แม้คนซื้ออาจน้อยลงก็ได้
เมื่อคืนดูผ้าที่ซักแล้วต้องไปตากก็เซ็ง คือกลัวผีเหมือนเดิมต้องผ่านชั้น 3 - 5 ที่มืดๆ ชอบนึกถึงเรื่องที่ป้า ป. เล่าว่าฝันเจอ แม้พยายามไม่นึกถึงตอนเดินขึ้นไป
เจ็บปวดในใจหลายๆ เรื่อง นึกถึงเรื่องต่างๆ ในอดีต...แต่จะหาใครเข้าใจเราคงยากจริงๆ...และชีวิตตอนนี้ก็ไม่เหลือไรเลยจริงๆ
วันนี้คิดว่าพวกพี่เขาจะไปทำความสะอาดที่อื่นแต่ไม่ไป ป้า ป. แกก็อยู่แต่ในห้องรีดผ้า จากปกติออกมาคุย มาดู TV ก็แล้วแต่แก เราก็นั่งเล่นมือถือ อ่านหนังสือไป...แกก็รีดผ้าที่เจ้าของเอามาไปเรื่อยๆ แบบหาไรทำของแกไปเรื่อยๆ แกก็บ่นๆ เขาจ่ายเงินเหมือนเดิม มีงานไรก็ทำ ถ้าเขาไม่จ่ายก็ไม่ทำ ก็คือว่างงาน แต่พี่เขาบอกเราแค่มาเฝ้าแค่นั้นแหละ ไม่รู้หลอกด่าเรามั้ย เห็นไม่พูดกับเราตั้งแต่เมื่อวาน ไม่รู้ผีเข้าอะไรเหมือนกัน แต่เห็นจากวันก่อนไม่ใส่หน้ากาก วันนี้ใส่แม้อยู่ในโฮสเทล พี่ น. ก็บางครั้ง แต่เราไม่ใส่เลย อึดอัด และร้อนมาก เพราะปกติเปิดแอร์นี่แล้วแต่ป้า ป. นี่ไปอยู่ในห้องรีดผ้า ก็เลยไม่ได้เปิด โคดร้อน เราเลยไปเลื่อนพัดลมใหญ่มาเลย พัดใกล้ๆ โซฟาที่เรานั่ง
ร้อนมาก แต่เราขี้เกียจไปเอาน้ำจากตู้เย็นข้างบนลงมา ก็ออกไปซื้อน้ำชาใส่ถุง 5 บาทและเดินไปร้านไข่เจียวเพื่อนพี่ น. แต่ถามว่ามีไข่ดาวมั้ย เราชอบกินไข่ดาวแฝดมากกว่า คนขายก็บอกเดี๋ยวเอาไปให้ที่ โฮสเทล...ก็รอนาน...ตอนมาส่งก็บอกทอดแบบเสียไรสักอย่าง....แต่เราก็บอกไม่เป็นไร เพราะถูกสุด 20 บาท แต่นี่ทำไข่ดาว 2 ฟองไม่ต้องมีเครื่องแบบไข่เจียวไง...ก็ถือว่าลงค่าเครื่องใส่ไข่เจียวไป
ฟังเพลงนี้ตอนพิมพ์ แล้วชอบประโยคนี้....
"เฝ้ามองดูรักที่มี ที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย จะขาดลงเมื่อไรก็คงไม่มีทางรู้.... หวาดกลัววันนั้นที่เธอจะไปจากฉันจริงๆ"......
เปลี่ยนจาก "รัก" เป็นความสัมพันธ์ที่อยู่ในความทรงจำนะ แต่เราไม่รู้ความคิด และความเข้าใจคนอื่นหรอกจริงๆ เดาไม่ได้ด้วย อาจดูบ้าๆ แต่ทุกอย่างอาจเป็นเรื่องมโน หรือเปราะบางมาก....กลับไป เราอาจไม่เหลือใครเลยจริงๆ หรืออาจไม่เคยมีใครอยู่แล้วตั้งแต่แรกเลยก็ได้
พวกพี่ก็หางานทำไป ป้า ป. ก็รีดผ้า ส่วนพี่ น. ก็เช็คประตู เช็ดโซฟา...เรากังวลตอนกลับบ้านมากกว่า หนังสือมันหนักต้องแบก ไม่น่าเอามาหลายเล่มเลยจริงๆ
นั่งๆ อ่านหนังสือ มองออกไปข้างนอก มีรถเข็นก๋วยเตี๋ยวมา คนก็รุมซื้อเยอะ นึกถึงเงิน 5,000 บาท ก็ไม่รู้คนเหล่านี้ได้ลงทะเบียนแล้วถ้าลงจะได้มั้ย ลูกค้าก็ไม่ได้น้อยหรอก ขายๆ แบบนี้ เพราะก็ไม่มีที่นั่งกินต้องกลับบ้านหรือกินข้างทางถ้ามีถ้วยโฟม แต่ 4 อาชีพที่ได้เงินแน่นอน คือคนก็เดือดร้อนหมดแหละ แต่คนตกงานจริงๆ ไม่มีงานเลยก็มี แต่ 4 อาชีพนี้คือลูกค้าน้อยลงแต่ไม่ใช่จะหาไม่ได้เลย แต่ก็แล้วแต่รัฐบาล บางทีเลื่อนๆ เวลาประกาศผลใครจะได้เงินบ้าง คิดว่าเขาแค่อยากเก็บฐานข้อมูลคนนอกระบบมั้ย แบบสำรวจ ใครทำอะไรบ้าง เงินเท่าไหร่
พี่ น. เริ่มจะล้างตู้ปลา ให้เราช่วยดูสายยางมีน้ำไหลมั้ย เราก็บอกไม่มี รอดูกี่รอบก็ไม่มี พี่เขาก็พยายามดูด - เป่าสายยาง น้ำก็ไม่ไหลออกจากตู้ปลา
เราเดินไปส่องตู้ปลาเพราะพี่ น. ให้จับสายยางไม่ให้หล่นจากในตู้ปลา พี่เขาจะดูสายยางด้านนอกว่ามีน้ำไหลออกมามั้ย.....ก็มีปลาทอง 2 ตัว เห็นตัวใหญ่มันหลบๆ ก็ถามพี่ น. มันตายยัง...แต่ก็ยังไม่ตาย
ฟังเพลงนี้ิ ชอบประโยคนี้..."แต่ยังไม่ตายไม่ได้จากไปยังคงหายใจ".....ก็ยังไม่ตายแต่มีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ระทมแบบไม่มีใครเข้าใจ
ปลาทองมันมาจุ๊บๆ ที่ปลายสายยาง แต่ถ่ายรูปไม่ทัน มือถือกาก เปิดกล้องนาน พยายามให้มันจุ๊บๆ อีกก็ไม่ทำ ว่ายอยู่ห่างๆ...ตอนเห็นมันจุ๊บลูกกลมๆ ปั๊มออกซิเจนในตู้ปลา ก็เลยรีบถ่ายภาพไว้ก่อนโดนช้อนไปไว้ที่อื่น
ก่อนที่ปลาจะได้ออกมาสู่โลกภายนอก ก็ถูกค้างไว้ในตู้ปริ่มๆ น้ำ เพราะป้า ป. บอกพี่ น. เปลี่ยนจากถังเป็นกะละมัง นึกถึงตอนเลี้ยงปลาตอนประถมที่บ้าน พ่อล้างตู้ปลาแล้วทำแตก เลยเอาปลาใส่กะละมังซักผ้าแทน ส่วนปลาเล็กๆ ใส่ขัน...เวลาเปลี่ยนน้ำก็ช้อนปลาออก แล้วยกกะละมังไปเททิ้งตรงสนามหญ้าเล็กๆ หน้าบ้าน
ป้า ป. ก็รีดผ้าหลายๆ ชั่วโมง แบบชีวิตไม่มีไรทำอีกก็เลยไม่รีบ พี่ น. ก็เหมือนให้เราช่วยเอาน้ำไปทิ้ง แต่เราไม่ทำไง แบบสกปรก ก็เลยนั่งตรงที่วางแขนโซฟามองๆ แค่นั้น
พี่ น. ก็ตักน้ำทิ้งไป แล้วรื้ออุปกรณ์ให้เราเอาไปล้าง เราก็ต้องไปล้างแหละ ก็ไปมองๆ แล้วถามเอาสก๊อตไบรต์ที่ไว้ล้างจานเช็คเลยนะ พี่เขาก็บอกใช่...แต่ไม่แน่ใจไง เพราะใช้ล้างจาน แต่นี่อุปกรณ์ตู้ปลา ใช้ด้วยกันได้รึไง เลยหยิบฝอยสีเงินมาขัดแทน แล้วเอาซันไลต์เทลงในถัง
พอพี่ น. มาดูก็เทของในถังออก เอาสก๊อตไบรต์ขัดแล้วให้ใส่ลงในถังเหมือนเดิม
เอาอุปกรณ์ไปคืนพี่เขา ดูปลาในกะละมัง ตัวเล็กเหมือนพะงาบๆ เอาปากขึ้นมาเหนือน้ำ
พี่ น. ก็ทำความสะอาดไปเรื่อยๆ เราก็กลับไปนั่งที่เดิม เบื่อๆ แอบคิดชีวิตทำไมต้องเป็นแบบนี้ แต่คงหางานทำไม่ได้ หาได้ก็คงเข้ากับใครไม่ได้ แล้วตายลงไปอย่างเงียบๆ...แต่ถ่ายรูปเยอะ เพราะไม่รู้ทำไร
หนังสือที่อ่านค้างไว้....ตอนมาอยู่ที่นี่คงน่าจะอ่านจบ...ชีวิตไม่มีไรน่าสนใจจริงๆ แหละ แต่บ่นบ้ารอวันตายไปงั้นๆ
ป้า ป. รีดผ้าเสร็จ ก็มาบอกพี่ น. เรื่องด้านบนเหมือนสกปรกจากตะไคร่ ตอนแรก เราแอบคิด ก็ทำเองสิ แต่สุดท้ายป้าแกก็ทำเองสลับกับพี่ น.
พยายามติดตั้งที่ดึงน้ำขึ้นใส่ตู้ปลา ตัวปั๊มมั้ง มีต่อสายยางแต่ไม่ประสบความสำเร็จก็เลยไปเทน้ำใส่ตู้ปลาเหมือนเดิม
เสร็จแล้ว พี่ น. ก็มานั่งพัก ป้า ป. ก็เข้าไปอยู่ในห้องรีดผ้าไม่ออกมาดั่งเดิม เราก็สังเกตจากที่เคยมาคุยๆ ก็ไม่คุยอีกเลย แต่ก็แล้วแต่ป้าแก พี่ น. ก็มีคุยบ้าง ตอนก่อนไปรับจ้างกวาดบ้านที่บ้านด้านหลัง ก็เอามือถือมาถามเบอร์เรา เราก็บอกๆ เบอร์ แบบเมมไว้ได้มั้ย พี่เขาบอกแบบตอนกลับมาจากเดิน - วิ่ง ให้โทรหาเอากุญแจ แกจะอยู่แถวที่ขายของ ไม่ต้องไปยุ่งกับป้าแก แล้วออกไป....เราก็เก็บของขึ้นห้อง ไปเก็บผ้าชั้น 6...ตอนอาบน้ำเสร็จ กำลังเตรียมของออกไปเดิน - วิ่ง....แอบระแวงป้าว่าจะล็อคประตูมั้ย ได้ยินเสียงโซ่ เลยรีบลงไป แต่ก็เห็นประตูเปิด ป้าแกนั่งมองไปด้านนอก แต่ทำเสียงแบบไม่ดีแนวไม่พอใจ....ให้เราออกหลังบ้าน ล็อคและเอากุญแจไปด้วย....เราก็แอบพูดเบาๆ..น่ารำคาญ...หรือป้าแกกลัว Covid-19....คนเราก็ต้องตายทุกวันนั่นแหละ แต่ฟังข่าวหรือดูโพสต์มากที่บิ๊วว่าน่ากลัว คนติดเชื้อ คนตายเพิ่มขึ้น คนหายป่วยมีเยอะกว่า แต่การตายอ่ะไม่ตายจาก Covid-19...เราก็ไปตายจากอย่างอื่นได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว...เราก็ไม่อยากเป็น แต่เราก็อยากใช้ชีวิตต่อไปได้....ความจริงตกงาน ไม่มีเงิน แห้วแดร๊----กตลอดเวลาก็ไม่รู้มีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมเหมือนกัน แต่กลัวโดนด่า เกิดเป็นแล้วไปแพร่เชื้อหรือเป็นภาระหมอและพยาบาล แต่ให้อุดอู้แต่ในอาคารก็บ้าตายพอดี แต่ถ้าเขาให้อยู่ 24 ชม. ก็ต้องอยู่แหละ
บางทีนั่งเฉยๆ ก็คิด...แบบยุ่งแต่เรื่องผู้ชาย สุดท้ายแห้วแดร๊---กหมดและชีวิตก็ไม่เหลืออะไร แต่ก็เจอในแง่ดีและไม่ดีปนกันไปอ่ะนะ โดนเข้าใจผิดก็เยอะในแง่ลบๆ ประสาทแดร๊---ก กลัวไป คิดมาก แบบเขาคิดว่าเราจะไปคิดว่าเขามารอให้เราขอความเมตตา...หรือไล่ตามผู้ชาย...แต่คนดีดีแบบมิตรภาพดีดีก็มีแหละ แต่เราคงโง่ คิดช้าไป....ส่วนใหญ่เรามองคนที่ไม่ดีกับเราก่อนแล้วเอามาด่า แช่งในใจ คนที่ดีดีมิตรภาพดีดีในสมัยกาลก่อน เอามาขอโทษในใจทีหลัง แต่สรุปเราคิดมโนจิตเข้าข้างตัวเองไป
ตอนนั่งมอง พี่ น. เปลี่ยนน้ำ ก็คิดว่าคนเรามาเจอกันเพราะอาจมีเวรกรรมต่อกันเลยมาเจอกัน รู้จักกันจนกว่าเวรกรรมจะหมด แต่คนที่เจอกันมานานๆ แต่ไม่มีวันรู้จักกัน เราก็ไม่รู้เคยทำเวรกรรมไรกันมา หรือเพราะสันดานโง่ของเราเองก็ได้ แต่เราไม่รู้ความคิดและความเข้าใจคนอื่นอยู่ดี
บางทีเราอาจคิดถึงใจคนอื่นน้อยไปก็ได้ คิดแต่ใจตัวเอง ความคิดตัวเอง แต่เราไม่รู้ความคิด ความเข้าใจคนอื่นจริงๆ ก่อนจะเอามาคิดทบทวนทีหลังแต่ช้าไป แต่ในสังคมมีทั้งคนที่ดีและไม่ดีกับเรานั่นแหละ
เดินมาหลังบ้าน แม่กุญแจใหญ่ เราเคยเอาไปจะคล้องด้านนอก คือคล้องไม่ได้ติดกำแพง ตอนหยิบกุญแจเลยเอามา 2 ชุด ไขเอาแม่กุญแจเล็กเอาไปคล้องปิดด้านนอก และอีกชุดไขแม่กุญแจใหญ่เพื่อให้เราออกไปได้
เดินไปบ้านด้านหลังที่พี่ น. บอกจะมารับจ้างกวาดบ้าน ลองโทรหาพี่ น. แต่ไม่มีคนรับ มองเข้าไปไม่เจอใคร เลยลองกดกริ่ง แต่ไม่มีใครออกมา มีลุงคนนึงเดินมาแบบให้รอหรือไรสักอย่าง พอพี่เจ้าของบ้านออกมาก็ถามว่าใครเพราะเรามีหน้ากากปิดหน้า เราก็ถามถึง พี่ น. แบบรู้จักมั้ย พี่เจ้าของบ้านก็งง ลุงที่เดินผ่านมาก็มองๆ เลยถามแทน พี่แกเลยเดินมาหน้าบ้าน แบบเราใช่คนที่ทำโฮสเทลใช่มั้ย...เราเลยถามว่าพี่ น. อยู่มั้ย บอกจะมากวาดบ้านที่นี่ พี่แกบอกยังไม่มา....ถามว่าเรามาทำไร...เราเลยบอกจะเอากุญแจมาฝาก...และขอโทษที่รบกวน เดี๋ยวเราไปหาที่อื่นแบบตรงที่ขายของกัน
เดินไปตามทาง ก็ไม่รู้ว่าพี่ น. ขายของอยู่มั้ย...เดินไปก็เจอกลางทาง...ก็บอกพี่เขาเรื่องแม่กุญแจ ว่าอันใหญ่เราวางไว้บนชั้น เราเอาแม่กุญแจเล็กคล้องไว้แทน....เอากุญแจฝากพี่เขาไว้
เครียด ทุกข์ใจหลายเรื่องตอนออกไป ก็สงสัยวันนี้จะมีคนมาเดิน มาวิ่งหรือปั่นจักรยานมั้ย เพราะไม่อยากเป็นคนเดียวที่มาเดินๆ เห็นบางคนกลัว Covid-19 เหลือเกิน วันนี้เห็นหน้ากาก 2 อันใส่ทับกันอย่างป้า ป. แต่นั่นแหละ คนกลัวคือคนที่รอดชีวิตขณะมนุษย์โลกคนอื่นล้มตายกันไป
แดดยังสวยเหมือนเดิมตอน 17.32 น.
ผ่านศาลหลักเมืองก็แวะไหว้ขอพรเรื่องงาน - เงิน - ผู้ใหญ่ - ความรู้สึกส่วนตัว - ไม่ติด Covid-19 ก็ไม่อยากติดแม้ชอบออกไปทุกวัน ไม่อยากทรมาน แต่คนเราจะตายก็ต้องตาย ไม่ตายเพราะโรคนี้ก็ต้องตายเพราะอย่างอื่น
เดินออกมาริมถนนใหญ่ มองไปเห็นกลุ่มปั่นจักรยานปั่นตามกันไปหลายคน เห็นคนวิ่งเลียบกำแพงวัดพระแก้ว คนเดินก็มีหลายคน ก็ดี เพราะมีคนออกมาออกกำลังกายเยอะพอประมาณ ไม่ใช่เราแต่งตัวเหมือนมาออกกำลังกาย แต่เดินบ้าบออยู่คนเดียว คนอื่นอยู่บ้านกลัวไวรัส
เดินผ่านวัดพระแก้วก็ไหวขอพรเรื่องงาน - เงิน - ผู้ใหญ่ - ความรู้สึกส่วนตัว - ไม่ติด Covid-19
เดินไปไม่ไกล รู้สึกถึงความผิดปกติของรองเท้า อิ๋บอ๋ายเหมือนเดิม ไม่ต้องยกขึ้่นดู พื้นรองเท้าด้านนอกนี่แหละหลุด เหมือนครั้งที่แล้ว และมาเป็นตอนที่เรามาถนนใหญ่แล้ว แต่ทำไรไม่ได้ก็วกกลับไปที่ 7/11 ที่ตอนนั้นเราก็ไปซื้อกาวตราช้างและขอแปะในร้านแต่มีกาวหยดนั่นแหละ หวังว่าพนักงานตอนทำความสะอาดจะไม่รู้คราบนี้เกิดจากกาวที่เราทำหยด กลัวโดนด่า....แต่ก็เดินอีกไกลเพราะต้องเดินเข้าไปแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงไปอีก
เดินเลี้ยวเข้าไปในทางเส้นเล็กก็เจอคนมาถ่ายภาพแต่งงาน เลยเดินข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งแทน อายรองเท้าจริงๆ หลุดแล้วหลุดอีก กลุ้มใจแต่ไม่รู้ไปซื้อแบบมือหนึ่งที่ไหนและเอาแบบราคาไม่แพงด้วย...แต่ระหว่างทางก็เจอคนเดินออกกำลังกายหลายคน ก็เหมือนไม่หวั่นต้องอยู่แต่ในบ้านเพราะก็ออกจากบ้านมาออกกำลังกายกัน แม้เขาบอกให้อยู่บ้านกัน
เดินเจอนกกลางถนนก็ถ่ายภาพไว้ เวลามีรถผ่านก็มองจะบินหนีไปมั้ย ก็บินหนีไป
อิ๋บอ๋ายจริงๆ กับรองเท้ามือ 8 หรือเก็บจากถังขยะ เสียค่ากาวตราช้างรอบที่ 3 ราคารอบละ 26 บาทหงุดหงิดแหละ เดินไกลด้วยกับรองเท้าที่ขาดๆ...อายคนอื่นเขา
ได้กาวตราช้างมา ก็ยืนลังเลว่าจะแปะข้างนอกหรือขอเขาแปะด้านใน อายเขาถ้าแปะด้านนอก แต่ก็ลองขอดู พนักงานก็ตกลง ข้างในมีเจลล้างมือด้วยไง มือมันเลอะ เหนื่อยใจ เงินก็ไม่มี
เดินข้ามสะพาน เจอคนยืนๆ ก็ไม่รู้ทำไร อาจจะตกปลา เพราะตามสะพาน ริมสะพาน ริมทาง มีคนมาตกปลาเป็นหย่อมๆ ก็เดินออกไปทางเก่าที่มาเมื่อกี้
เดินผ่านศาลหลักเมืองและวัดพระแก้วก็ไหว้ขอพรดั่งเดิมและเดินไปตามทาง....คนก็มาวิ่ง มาเดินหลายคน ชีวิตดูปกติ แม้รถน้อยและคนน้อยลง นักท่องเที่ยวแทบไม่มี เพราะปิดหมด แต่ตอนผ่านมารอบแรกเจอฝรั่งกลุ่มนึงยืนถ่ายรูปอยู่ ไม่ใช่ร้าง ไม่มีนักท่องเที่ยว
ได้ยินเสียงจำไม่ได้นกหวีดมั้ย หรือสักอย่าง หันไปเจอทหารตั้งแถวเคารพธงชาติมั้ง ตอนแรกคิดว่ากำลังเตรียมตัว แต่ยืนรอๆ มองๆ อยากถ่ายรูป ปรากฏเขาพับธงเก็บ คงเคารพธงชาติไปแล้ว
เจอแมวเดินผ่านด้านหน้า และพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
คนออกกำลังกายไปเรื่อยๆ...เห็นมีคนมาตีกอล์ฟด้วย แบบมีอุปกรณ์แบบฝึกตีกอล์ฟได้เองที่บ้าน ตอนแรกไม่กล้าถ่ายรูปเขาหรอก เดินๆ จะผ่านแล้วเลยหันไปนิดนึง...ถือว่าเก็บภาพบรรยากาศวิถีชีวิตคนยามเย็นแล้วกัน
เดินผ่านไปทางตรง มีคนหันมายิ้มให้แบบขยับแข้งขยับขาอยู่แล้วหยุด แต่เราเดินผ่านไป เขาก็หันหน้าไปทางอื่นอย่างไวแล้วไม่หันกลับมาเลย คือเราใส่หน้ากาก เขาอาจจำคนผิด แต่เราเห็นมาตั้งนานแล้ว ตอนแรกจะถ่ายรูปคนออกกำลังกายทางตรงเลยไม่กล้าถ่ายภาพ เกรงใจเขา...แต่ตอนเดินผ่านก็คิด เฮ้ย....Don't worry.....เราไม่คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขายิ้มให้เรา เพราะเราก็เดินผ่านไปเฉยๆ....แต่เหงาหว่ะ คิดถึงตอนนี้ หลายเรืื่องในหัว ความคิดและความทรงจำ....
เดินข้ามถนนมา เจอแมวเลยหยุดถ่ายภาพ
เดินผ่านวัดโพธิ์ก็ยกมือไหว้ขอพร ความจริงอยากเข้าไปกราบตามวัดขอพร บ่นเรื่องทุกข์ในใจ แต่ไม่ได้
เดินไปถึงคูเมืองเดิมแล้วเลี้ยวกลับ
เราชอบถ่ายรูปเก็บความทรงจำแบบบ้าบอ...คนอื่นๆ อาจรำคาญได้
6 โมงกว่าก็เดินวกจะเข้าซอยโฮสเทล...พอใกล้ถึง..เราเลยถ่ายรูป....พอดีติดผู้ชายคนนึงเดินผ่านมาแบบเราเห็นแต่ไม่ได้สนใจ...แต่ผู้ชายคนนั้นดันพูดตอนเดินผ่านไปเราไปแล้ว....ถ่ายพี่เหรอ...เราบอก...ไม่ใช่ค่ะ...เขาก็พูดต่อ...นึกว่าถ่ายรูปไปแล้ว...ในใจเราตอนนั้น คือเขาเป็นใคร ทำไรมามั้ย...หน้าเสียนิดนึง แต่บอกว่า...ไม่ใช่ค่ะ ไม่รู้จัก...เขาก็เดินจากไป...เราก็เดินเข้าซอย
เข้าซอยมาไม่ไกลก็มองหาพี่ น. ว่าขายของตรงไหน หลายวันก่อนเจอแถวๆ ต้นซอย เมื่อวานเจอกลางซอย...วันนี้มองๆ ก็เจอแถวๆ ต้นซอยก็เลยเดินเข้าไปหา...เอากุญแจหลังบ้าน...พี่เขาก็ถามกลับโฮสเทลเลย?..เราก็ใช่....แต่ไม่ได้จะกลับเพราะเร็วไป...เลยเดินไป 7/11 ซื้อขนมปังเอาไปฝากพี่เขาด้วย ขอบคุณที่พูดดีดีกับเราเรื่องตอนเย็นๆ ที่ให้ไปเอากุญแจกับเขา แต่ก็คำนวนเงิน เพราะค่ากาวตรงช้างนี่แหละ 26 บาท เราเอาเงินออกไป 80 บาท ถ้าซื้อขนมปังจะพอค่าข้าวไข่เจียวมั้ย...แล้วเดินย้อนเอาขนมปังไปให้พี่ น. แต่ตรงนั้นไม่มีที่นั่ง ก็ยืนๆ แต่มองไปกลางทางที่คนเดินผ่าน....เกรงใจด้วย...พี่ น. ก็บอกให้มายืนในๆ แล้วให้หนังสือพิมพ์เรามาปูนั่งเหมือนแก...เราก็ให้ขนมปังแกไป 1 ชิ้น ตอนแรกจะให้ 2 ชิ้นเพราะ..1 แถม 1 แต่แกไม่เอา...เราก็นั่งกินอยู่ตรงนั้นด้วย...
แกก็เหมือนไม่อยากคุยกับเรามั้ย...แต่เราก็นั่งกินไปเรื่อยๆ....แกก็คุยกับคนขายแถวนั้นที่เป็นเพื่อนแก แกก็บอกกลับทุ่มกว่าเมื่อวานทันรถเมล์คันสุดท้าย ดีที่เพื่อนแกไปส่ง...ตอนนั้น 19.04 น. เราก็เบื่อๆ เพราะหลายวันก่อน กลับจากเดิน - วิ่ง ก็สั่งข้าวไข่เจียวเข้าไปกินและดู TV กับป้า ป.
เราก็ถามเรื่องป้า ป. แบบไม่คุยกับเราตั้งแต่เมื่อวานตอนกลับมาจากการทำความสะอาด เป็นไรมั้ย...พี่ น. ก็ไม่รู้ แต่แกนิ่งๆ เงียบๆ เฉยๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันแกคิดไรในใจ..แกก็บอกไม่ต้องสนใจ...แบบคนแก่ อารมณ์แปรปรวณ...เขาอยู่ในโลกของเขา เราอยู่ในโลกของเรา....เรานั่งไปก็ไม่รู้รบกวนมั้ย แต่เบื่อ มองๆ ร้านขายน้ำก็ถามพี่ น. กี่บาท...พี่เขาก็บอก 15 บาท เราเลยบอกงั้นไปซื้อ 7/11 คุ้มกว่า...ทานขนมปังเสร็จ เราก็ไป...ก็ขอโทษที่มารบกวน..พี่เขาก็บอกกลับจากเดิน - วิ่งก็มานั่งได้..เราก็บอกปกติดู TV กับป้า ป. แต่เขาขึ้นเร็ว แบบเราไม่มีคนคุยด้วย เหงาแหละ....พี่ น. ก็ถามกินไข่เจียวมั้ย...เราก็บอกกินขนมปังแล้ว..ก็ลาจากกันไปตรงนั้น....ตอนนั่งก็เจอยายจันทร์ที่แต่ก่อนซื้อข้าวเช้ากินแต่ก็ราคามาตรฐาน 30 - 40 บาท...แกบอกกลับจากบวชหายบ้าแหละ....เราก็ยิ้มทักแกไป...แต่ทุ่มเศษๆ....คนก็ทยอยเก็บของกลับ...ความจริงก็ขายๆ มาทั้งวันแล้วแหละ
ก็ไม่รู้ชีวิตคือไรเหมือนกัน...แต่เบื่อๆ เซ็งๆ อย่างไร้อารมณ์ ความรู้สึกและเวลาหยุดนิ่งแช่แข็งไว้ จะได้ไม่ต้องรู้สึกไรเมื่อเวลามันเดินไปเรื่อยๆ
ขึ้นไปบนห้อง มองลงไป คนก็ยังมีอยู่แม้ถือว่าเงียบเพราะแค่ทุ่มกว่า
จบไปอีก 1 วันกับชีวิตที่ไม่ได้มีไรน่าสนใจ เฉยเมย เฉยชา และอยู่ไปวันวันแบบไม่มีความหวังใดใด....
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in