มันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว...มันก็แค่บังเอิญเห็น แต่ไม่รู้ว่าอาจเป็นคน ตาฝาดหรือมโนไปเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่หลายๆ คนก็เคยเห็น หรือเห็นชัดกว่านี้ด้วยซ้ำ
เรื่องแรกเกิดขึ้นที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง ซึ่งตอนแรกไม่คิดว่าจะดูหนังเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ไม่ชอบแนวยอดมนุษย์หรือผู้มีพลังวิเศษ แต่อ่านรีวิวผ่านๆ เห็นมีแต่คนชม เลยตัดสินใจซื้อตั๋วและเข้าไปดูตามปกติ แต่ตอนซื้อตั๋วก็สังเกตว่าแถวที่เลือกตรงที่นั่ง 15-22 (ไม่แน่ใจเลขที่นั่งสุดท้ายว่าเลขอะไร) เป็นที่นั่งพิเศษที่เว้นว่างไว้ อย่างที่รู้กันว่าเป็นที่นั่งเจ้าที่ แต่บางคนก็บอกว่าเว้นไว้เผื่อฉุกเฉิน แต่ของเราแถว E ที่นั่ง 11 แต่พอเดินถึงแถวที่เลือก หนังตัวอย่างฉายแล้ว โรงเลยค่อนข้างมืด เพราะกลัวนั่งผิดที่ เลยก้มมองจับทีละเก้าอี้ไปเรื่อยๆ เพื่อดูเลขที่นั่งให้ชัดเจน จนมาถึงที่นั่ง 15 ก็ต้องหยุด เพราะเข้าไปไม่ได้ มีผู้ชายตัวใหญ่ๆ 2 คน นั่งเอาเข่ามาปิดทางเดินไว้อยู่ แบบนั่งสบายมาก เราเลยยืนอยู่แบบนั้น จนผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่นั่ง 17 (นับจากเก้าอี้ที่เว้นห่างจากผู้ชายที่เอาเข่าปิดทางเข้าคนอื่นไป 2 ตัว) มาพูดกับเราว่านั่งนี่ก็ได้ เราเลยเอามือจับเบาะนั่งให้ลงมา ตอนแรกเป็นเก้าอี้เลข 15 แต่ก็แว่บคิดในใจว่าเดี๋ยวไอ้ผู้ชาย 2 คนมันจะคิดว่าเราอยากนั่งใกล้มัน เลยเลื่อนมือไปที่นั่ง 16 โดยเว้นที่นั่ง 15 ไว้ จับมือเอนเบาะลงมา แต่ตาก็จ้องผู้ชาย 2 คนนั้นอยู่ด้วยเพราะไม่พอใจมาก คือคิดในหัวเลยว่า "เห็นแก่ตัว โง่" คือเห็นเรามายืนอยู่ตรงนี้ คิดว่าเรามายืนทำอะไร มีสมองคิดหรือเปล่า ไม่เห็นหรือไงที่นั่งถัดไปตรงกลางมันไม่มีคนนั่ง ซึ่งถ้าคนมีสมองคิดน่าจะคิดได้ว่าเราจะเข้าไปนั่ง ควรจะเขยิบขาให้ และทำไมเราต้องมานั่งตรงนี้ ในเมื่อเราจงใจเลือกที่นั่งตรงกลางเอาไว้ เราเลยพูดขึ้นมาไม่ดังมากว่า "เข้าไม่ได้วะ" แต่คงดังพอที่คนที่นั่งแถวบนและแถวล่างเราแถวหนึ่งบริเวณตรงนั้นหันมามองกัน ผู้ชาย 2 คนนั้นเลยเขยิบขาให้เรา เราเลยเข้าไปนั่งได้ ซึ่งก็ดีมากที่ไม่ได้นั่งใกล้ผู้ชาย 2 คนนั้นแต่เว้นไว้ที่หนึ่ง แต่เราก็เหลือบมองขาผู้ชาย 2 คนนั้นที่พอเราเข้าไปนั่งแล้วก็ดันมาชิดเบาะหน้าเหมือนเดิม อยากถ่ายรูปมากตอนนั้นแค่ขานี่แหละเพื่อโพสต์เล่าเหตุการณ์ลงใน FB แต่ก็กลัวว่าผู้ชาย 2 คนมาจะคิดว่าเราไปแอบถ่ายรูปเพราะชอบอะไร เลยนิ่งไว้ดีกว่า แต่ก็คอยมองเหล่แค่ตาเพราะไม่พอใจมาก ว่าทำไมเรื่องแค่นี้คิดไม่ได้ แล้วสักพักผู้ชายที่นั่งใกล้เราสุดก็หดขา เรายังคิดเสียดายว่าน่าจะถ่ายรูปไว้จริงๆ และคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยเจอในโรงภาพยนตร์เหมือนกัน แต่ตอนนั้นหนังจบแล้วและเราลุกขึ้นจะออกจากโรง เหมือนกันเลยจ้า ฝั่งซ้าย นั่งกันสามคนไม่ยอมหดขา ฝั่งขวาสองคนก็ไม่ยอมหดขา จนเราได้แต่ยืนอย่างนั้นเพราะออกไม่ได้ ตอนแรกเราคิดว่าจะเหยียบออกไปแล้ว แบบไม่ต้องแคร์ คือมันน่าจะคิดได้เองหรือเปล่าว่าคนเขาลุกขึ้นเพราะอะไร หรือไม่มีสมองคิด แต่ขณะที่เราคิดเรื่องเก่าและไม่พอใจผู้ชาย 2 คนนั้น เราก็ดูหนังตัวอย่างสลับกับเหล่ผู้ชาย 2 คนนั้นแบบไม่พอใจไปด้วย สักพักผู้ชายที่นั่งถัดไปจากคนที่ใกล้เราสุดก็ลุกขึ้นเดินออกไป เราก็เห็นจากหางตาแต่ไม่ได้สนใจ แต่เหล่นิดนึง ก็คิดว่าคงลุกไปห้องน้ำเพราะหนังจริงจะฉายแล้ว แต่ก็มีเรื่องทำให้เราแปลกใจเพราะเราเหมือนเห็นจากหางตาว่าเหมือนมีเงาดำๆ นั่งอยู่ตรงที่ผู้ชายคนนั้นลุกออกไป แต่เราก็คิดว่าตาฝาดมั้ง เพราะตอนที่ผู้ชายคนนั้นลุกไป เราไม่ได้หันไปมองแต่เห็นจากหางตาว่าลุกไปแล้ว และลุกไปไม่นานด้วย ดังนั้นถ้าผู้ชายคนนั้นจะกลับมา เราต้องเห็น แต่พอเพลงสรรเสริญขึ้น เรากลับเห็นผู้ชายที่นั่งใกล้เราสุดลุกขึ้น เงาดำนั้นก็ลุกด้วย เราก็คิด เอ๊ะ หรือว่าผู้ชายคนนั้นกลับมาแล้ว แต่ทำไมเราถึงไม่เห็น ขนาดเขาลุกไปเรายังเห็น แต่เอาเป็นว่ากลับมาแล้วก็กลับมาแค่นั้น ไม่ได้สนใจไรอีก แต่พอนั่งลงเพื่อรอชมหนังจริง เรากลับเห็นทางหางตาอีกว่า เงาดำนั้นหันมา คือเอี้ยวตัวหันมาทั้งตัวส่วนบน ส่วนครึ่งตัวล่าง ขาผู้ชายที่นั่งใกล้เราสุดบังอยู่ เราก็เห็นเป็นเงาดำๆ หัวกลมดำๆ ตัวใหญ่ สูงใกล้เคียงกับผู้ชายที่ลุกไปหันมาแค่นั้น เราก็สงสัยว่ามองอะไร คือไม่ใช่มองเราหรืออาจใช่ แต่คือทั้งแถบมีคนนั่งเยอะ เราเลยไม่รู้หันมองอะไร คือฝั่งซ้ายเรา นี่คนนั่งเยอะ แต่ที่นั่งข้างเราถูกเว้นไว้ 1 เก้าอี้ทั้ง 2 ข้าง แต่ฝั่งขวาเรา ตอนเราเข้ามามี 3 คน คือที่นั่ง 13,14 คือผู้ชาย 2 คนนี้ และถัดไปอีก 2 ที่นั่งคือผู้หญิงอีกคน แต่เราก็เลือกไม่สนใจ ดูหนังต่อ แต่แป๊ปเดียวแค่นั้น ผู้ชายคนที่ลุกไปก็กลับมา คือเราเห็นเลยมากลับมานั่ง เราก็งงดิ แล้วเมื่อกี้ใคร คือเราคิดตลอดว่าเงาดำนั้นคือผู้ชายคนนั้นที่ลุกไป ตลอดเวลาที่สงสัยเลยไม่เคยหันไปมองชัดๆ แค่เห็นเป็นเงาดำๆ ก็เลือกไม่สนใจแค่นั้น ตอนนี้เลยเป็นช่วงความคลุมเคลือมาก ว่าหรือจะเป็นผู้ชายอีกคนเข้ามานั่งถัดออกไปเก้าอี้หนึ่ง หรือเงาดำที่ว่าลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ย้ายไปอีกเก้าอี้ถัดไป คือทุกอย่างจากหางตาและเหล่ แต่ไม่ได้หันไปมองแบบจริงจัง พอตอนหนังจบจะลุกออกจากโรง เราออกได้ 2 ทาง เราหันไปมองฝั่งขวาเราก่อนแล้วมองฝั่งซ้าย ก่อนตัดสินใจเดินตามผู้ชาย 2 คนนั้นออกเพราะเราอยากรู้ว่า ฝั่งขวาเรามีคนนั่งกี่คนกันแน่ คือหนังจบเราลุกเลย เพราะถ้ามีมากกว่า 3 คน เราต้องเห็นตอนลุก แต่ก็มีแค่ 3 คนที่นั่งฝั่งขวาเรา ก็คือผู้ชายตัวใหญ่ 2 คนที่เราเดินตามหลังออกมากับผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่แต่ยังไม่ลุกออก แต่ตอนเดินออกเหมือนได้ยินเสียงผู้ชายพูดเบาๆ "มาคนเดียวเหรอ" คืออันนี้คือคนพูดที่นั่งถัดแถวขึ้นไปจากเรา และไม่ได้พูดถึงเรา แต่เนื่องจากเจอไรงงๆ มาเมื่อกี้ เลยคิดไปว่าสมมติพูดถึงเรา เราก็อยากถามเขาในใจว่า "ถ้าไม่คิดว่าเรามาคนเดียว เมื่อกี้มีใครนั่งข้างเราหรือเปล่าที่เป็นที่นั่งว่าง"
เรื่องที่สองก็เกิดในโรงภาพยนตร์ โรง 7 สถานที่เดียวกับเรื่องแรกและเป็นโรงในสุด กับหนังเรื่อง "before I wake" ตอนซื้อตั๋วจำได้ว่าสองแถวบนตรงกลางมีคนจองอย่างละ 1 ที่ เราเลยเลือกที่นั่งแถว C ตรงกลางแทน ก็ไม่ได้คิดไร ตอนเข้าโรงก็นั่งปกติ แล้วก็รู้สึกว่าเหนือหัวเรา แถวเดียวกับเรามีคนมานั่ง ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะตอนซื้อตั๋วก็เห็นว่าที่นั่งมีคนจองอยู่ แล้วก็เหมือนมีคนลุกออกไป คืิอมันจำไม่ได้ว่าทำอะไร แต่เหมือนมีการเคลื่อนไหวและเรารู้สึกได้ ว่าเก้าอี้ด้านบนมีคนนั่งอยู่ แต่เราไม่คิดไรอยู่ดีเพราะเห็นว่ามีคนซื้อตั๋วที่นั่งนี้ แต่ไม่รู้ทำไม ปกติไม่ค่อยหันไปมองที่นั่งข้างบน แต่เรากลับเหลือบไปมองนิดนึงตอนหลัง และเห็นเหมือนเงาดำใหญ่ คือมีหัวกลม และเป็นรูปร่างใหญ่ แค่นั้นและเราก็หันกลับมามองตรง ไม่เหล่หันไปอีก สักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งแถว B แต่เป็นเกือบริมๆ เราก็นั่งดูไปได้สักพัก ก็สงสัยว่าโรงนี้ตอนนี้มีคนดูอยู่กี่คนกันแน่ เพราะข้างหน้าเรา มีคนนั่งอยู่ 3 คน คือแถว D แถวตรงกันเลยหน้าเรา นั่งคู่กัน 2 คน และถัดลงไปอีกแถวเยื้องไปด้านขวาเป็นผู้ชายอีกคน เราเลยหันไปมองข้างบนที่อยู่ข้างหลังเรา ที่นั่งตรงกับเราแถว A,B ซึ่งตอนเราซื้อตั๋วมีคนจองไว้แล้วไม่มีคนนั่ง เยื้องในแถว B ไปด้านขวาคือผู้หญิงที่เราเห็นเข้ามานั่ง ซึ่งเรื่องที่แถวตรงกับเรา A,B ที่เห็นว่ามีคนจองแต่ไม่มีคนดู ไม่แปลกเพราะเขาอาจจองไว้แต่ไม่มาดูก็ได้ แต่เป็นเรื่องหนึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
เรื่องที่สามเป็นเรื่องที่เกิดแถวบ้านเราแต่ฝั่งตรงข้าม เป็นเรื่องที่พยายามหาเหตุผลแล้วแต่ไม่แน่ใจ วันนั้นเป็นตอนกลางคืนที่เราลงรถกลับบ้านหลังกลับจากทำงานปกติ ก็เดินไปขึ้นสะพานลอย แต่เรากลับเป็นเงาผู้ชายบนรั้วสังกะสีเดินเข้าไปข้างในคนละด้านกับถนน ซึ่งเราไม่รู้ว่าข้างในที่ว่างเปล่านี้มีอะไรตั้งอยู่บ้าง อาจเป็นบ้าน แต่ที่น่าแปลกใจว่าเงานี้มาได้ไง เพราะตรงที่รกร้างที่อยู่ข้างทาง ไม่มีคนเดินอยู่เลยหรือว่าจะเป็นทางเข้าเล็กๆ ซึ่งมันไกลจากรั้วสักกะสีนี้พอควร เงาไม่น่าส่องมาถึงชัดเลยว่าเป็นผู้ชายผอมๆ เดินเข้าไป เราเดินจากป้ายรถเมล์ไปขึ้นสะพานลอย ข้างทางที่รกร้างเราเดินผ่านมา ไม่มีใครเดินอยู่จริงๆ เพราะถ้ามีเราต้องเห็น และที่เงาเดินเข้าไป ไม่ห่างจากถนนมาก เราก็มองขึ้นไปบนสะพานลอยข้างหน้าว่าเป็นไปได้ไหมว่าเงานี้มาจากสะพานลอย แต่สะพานลอยก็ไม่มีคนเดินมาทางที่จะลงมา เราก็พยายามคิด หาสาเหตุอยู่หลายครั้ง ว่าเดินยังไง เงาถึงพาดตรงเหมือนคนเดินเข้าไปแบบชัดได้ขนาดนั้น แสงไฟต้องส่องมาทางไหน แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่ดี
เรื่องที่สี่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นเราไปญี่ปุ่นกับญาติและพักรวมกันในห้องใหญ่ที่มี 3 ห้องนอน 1 ห้องด้านในที่ประกอบไปด้วยครัว โต๊ะทานข้าว โซฟา ทีวี และห้องน้ำที่แยกเป็น 2 ห้อง คือห้องอาบน้ำที่รวมกับอ่างล้างหน้าและเครื่องซักผ้า กับห้องน้ำที่มีเฉพาะโถส้วมอย่างเดียว มาอยู่สองวันแรกก็ปกติ จนวันที่ 3 หลังจากกลับมาจากเที่ยว เราก็อาบน้ำปกติ ซึ่งห้องน้ำห้องนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือเปิดประตูเข้ามาจากทางเดินจะเจออ่างล้างหน้าและเครื่องซักผ้า และจะมีประตูฝ้าอีกชั้นซึ่งเปิดเข้าไปจะเป็นส่วนที่อาบน้ำ เราก็อาบน้ำปกติจนมาถึงตอนใส่เสื้อผ้า เราก็เห็นเงาดำผู้หญิงเพราะทรงผมยาวตรงแต่ไม่ถึงบ่าเดินช้าๆ ผ่านจากประตูทางเข้าห้องน้ำไปทางเครื่องซักผ้า ผ่านประตูฝ้าที่เรายืนมองอยู่ไป เราก็สงสัย แต่คิดว่าไม่น่าจะตาฝาด แต่คือไม่น่าใช่คน เพราะห้องน้ำไม่ได้ใหญ่อะไร เราเปิดประตูฝ้าที่อาบน้ำ พอหันไปทางขวามือก็ถึงประตูห้องน้ำที่เปิดออกสู่ด้านนอกเลย และถ้ามีคนเข้ามาต้องมีเสียงเปิดประตู แต่นี่ไม่มี และปกติถ้ามีคนอาบน้ำอยู่ แล้วปิดประตูไว้จะไม่มีคนเปิดเข้ามา เพราะประตูห้องอาบน้ำเป็นประตูฝ้า แม้เห็นไม่ชัด แต่เห็นลางๆ เลยว่าใครทำอะไร หรือแม้แต่เปลือยอยู่ ยิ่งยืนใกล้ประตูยิ่งเห็น และอีกอย่างทรงผมผู้หญิง คือในทริปนี้มีผู้หญิง 3 คน คือมีป้าเรา 2 คนและเรา ป้าเราคนหนึ่งผมยาวเลยบ่า อีกคนผมสั้นแบบทอมบอย คนที่มีทรงผมประมาณเงาดำที่เราเห็น มีแค่เรา และเราคือคนที่ยืนมองอยู่ มองตรงไม่ได้หันข้าง ดังนั้นจะเป็นเราก็ไม่น่าใช่ แต่เงาดำนี้เดินผ่านประตูหันข้างไปด้านในแบบช้าๆ ซึ่งเราก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร เราอยู่ห้องนี้ประมาณ 6-7 วันแต่ก็ไม่เคยเจออีก ครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวที่เจอ ซึ่งเราก็คิดว่าอาจเป็นคนที่เคยอาศัยอยู่แล้วตายไปเมื่อนานมาแล้วหรือเจ้าที่ คือเรื่องตาฝาดนี้ แม้เห็นไม่ชัดเพราะมองผ่านประตูฝ้าแต่เขาใช้เวลาเดินผ่านเราช้าๆ เหมือนกันแม้ไม่นานมาก และอย่างที่รู้ไม่ว่าที่ไหนทุกที่บนโลกนี้ก็ต้องเคยมีประวัติทั้งนั้น เราแค่มาเช่าอยู่ เราไม่รู้หรอกว่าเคยมีอะไรมาบ้าง
เรื่องที่ห้า เรื่องนี้แค่เห็นนิดเดียว อาจมโนด้วยซ้ำ วันนั้นเราตามเพื่อนไปหาหมอดูคนหนึ่งที่ห้อง เดินทางไปไกลเหมือนกัน แต่เพื่อนมีปัญหาต้องการที่พึ่งทางใจ เราก็ติดรถไปด้วย คือเคยเจอหมอดูคนนี้มาก่อนเพราะเคยไปวัดด้วยกัน 3 คน มีเรา เพื่อนและหมอดู แต่ในความคิดเรา หมอดูคนนี้ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ แม้เพื่อนบอกทำนายแม่น เคยเอาชื่อเพื่อนแต่ละคนให้หมอดูดู และถามว่าใครเป็นไง แบบหมอดูไม่รู้จักใครในรายชื่อมาก่อน หมอดูก็พูดออกมาได้ตรงกับที่แต่ละคนเป็น เราก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่หมอดูก็ทักเราเรื่องอาบน้ำมนตร์ เราก็บอกว่าดูก่อน แต่วันนั้นที่ไปก็เตรียมเสื้อคลุมไปด้วย เพราะเพื่อนก็สนับสนุน แต่อย่างที่บอกเราไม่ไว้ใจแต่ก็สนใจในเรื่องพวกนี้ หมอดูคนนี้ก็ทักเราเรื่องเรามีไฝเม็ดใหญ่ที่หลังใช่ไหม เราก็บอกใช่ เขาก็บอกนี่เจ้ากรรมนายเวรมาเกาะ เราก็ไม่แน่ใจ คือตอนแรกเราสงสัยว่าเขารู้ได้ไงเรามีไฝที่หลัง เพราะเรายังไม่รู้เลยว่ามี จนกลับไปส่องกระจกที่บ้านวันนั้นถึงเห็น แต่เราไม่ได้เชื่อหรือคิดว่ามหัศจรรย์ เพราะนึกถึงเสื้อที่เราใส่ไปวัดด้วยกัน มันเป็นเสื้อแบบคอกว้าง ดังนั้นเรื่องเห็นไฝที่หลังซึ่งความจริงมันอยู่ใกล้ๆ บ่า คนจะเห็นก็เป็นเรื่องปกติ วันนั้นก็ไปหาหมอดูที่ห้องคนนี้ เขาก็ทักเรื่องที่เราไม่มีคู่ บอกว่าชาตินี้เราไม่มีคู่แท้นะ ความจริงก็เคยมีหมอดูบอกมาเหมือนกัน เพื่อนอีกคนเคยพาไปดู แบบอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเราเลยว่าเราไม่มีคู่แท้ ไม่ได้แต่งงานชาตินี้ มีแต่เวรกรรมเรื่องความรัก ให้ไปขอพระว่าจะไม่ขอมีคู่ชาตินี้ มันจะดีกว่า แต่หมอดูคนนี้ก็บอกเราว่าสามีในชาติก่อนเราตามมาด้วย อย่างที่เราเมื่อยขานี่ก็เพราะเขาออกไปเดินๆ เราเลยเมื่อย และบอกว่าเราฆ่าเขาตาย เรื่องมันน่าสนใจใช่ไหม แม้ไม่รู้จริงไม่จริง แต่เราสนใจว่าฆ่ายังไง หมอดูก็นิ่งไปสักพักและบอกเราว่าเขาเห็นมีด เราปาดคอสามีเราตาย และเขาก็บอกอีกว่า สามีเก่าเราเป็นทหาร รักเรามาก แต่เราเหมือนทำตัวเหนือกว่า ฉลาดกว่า ชอบพูดฉีกหน้าสามีตัวเอง เขาเลยมีเมียน้อย เราเลยฆ่าเขาตาย และเขาตามมา หมอดูบอกว่าเรายังดูดีกว่านี้ได้อีก และที่เราไม่มีใครเพราะเหมือนเรามีสามีอยู่แล้ว และเสนอว่าจะทำพิธีเอาไปถ่วงน้ำให้ คือเราไม่ใช่คนดีไร แต่เราไม่เห็นด้วย เราไม่รู้ว่าเคยทำแบบนั้นจริงไม่จริง เพราะเราระลึกชาติไม่ได้ แต่ถ้าเคยทำจริง คือสมมติ เราคงไม่อยากสร้างเวรกรรมเพิ่มด้วยการไปจับใครถ่วงน้ำ สะกดวิญญาณอะไรเพราะเราเองก็ไปฆ่าเขาตาย ถ้าเราทำจริง เราก็รับผิดชอบ อยากอยู่ด้วยกัน ก็อยู่ด้วยกันไปแบบนี้แหละ ต่อให้เราโสดไปตลอดชีวิตเพราะเรื่องนี้จริง (?) ก็ไม่ใช่ปัญหา เรื่องนี้ก็ตกไป แต่หมอดูก็ถามเรื่องอาบน้ำมนตร์อีก เพื่อนเราก็บอกไหนๆ มาแล้วก็อาบไป เราเลยขอกุญแจรถเพื่อนไปเอาเสื้อคลุมอาบน้ำข้างล่างในรถ แต่ตอนเดินออกมา เรารู้สึกเหมือนมีใครตาม จนถึงทางลงบันได เราเลยเหลือบมองไปข้างหลังก็เห็นเงาดำของผู้ชายตัวใหญ่ยืนอยู่ เห็นแค่แว่บเดียว กลางวันแสกๆ นี่แหละ เราเลยหันกลับแล้วรีบลงไปที่รถ ก่อนพบว่าสายสิญจ์ที่ใส่ที่ข้อมือหายไป เราก็ตกใจเพราะใส่มานาน เลยมองหาตามทางที่ลงมา และไปเจออยู่ตรงทางก่อนลงบันไดที่เราเหลือบเห็นเงาดำเมื่อกี้ ก็ไม่รู้บังเอิญหรืออะไร แต่ตอนนั้นคิดเล่นๆ หรือสามีเก่าในชาติก่อนเรามาให้เห็น แต่เราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคืออะไร หรือเราอาจตาฝาดไปเองก็ได้
เรื่องที่หก เกิดขึ้นมาหลายปีตอนที่เรายังเรียนป. ตรีอยู่ เพื่อนที่รู้จักจากคาบเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งเราไปเรียนคนเดียว เพราะเพื่อนในคณะไม่มีใครไปเรียนด้วย ส่วนเพื่อนคนนี้ก็มาคนเดียวเพราะเป็นเด็กใหม่ ช่วงนั้นช่วงเรียน Summer เราเลยไปไหนมาไหนกับเพื่อนคนนี้บ่อยๆ และเพื่อนคนนี้ก็ชอบดูดวง หรือเชื่อเรื่องพวกนี้ประมาณหนึ่ง วันหนึ่งก็ชวนเราไปหาผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำเกี่ยวกับด้านนี้ ตอนนั้นเหมือนไปดูองค์มั้งว่ามีเทพอะไรคุ้มครองหรืออะไรสักอย่าง ของเพื่อนเราจำไม่ได้ แต่ของเรา เขาบอกเจ้าแม่กวนอิม ความจริงเราก็นับถือเจ้าแม่กวนอิมนะ แต่ไม่ได้บูชาอะไร แต่วันนั้นก็จบลงแบบเราก็ไม่ได้ทำไร ส่วนเพื่อนนี่เราจำไม่ได้เพราะเรื่องผ่านมานานมากแล้ว แต่คืนนั้นตอนเข้านอนก็ไม่มีเรื่องปกติ จนเราตื่นมากลางดึก หิวน้ำ เลยลงไปข้างล่าง แต่ในห้องเพราะเราเป็นคนไม่ชอบนอนที่มืดๆ ทุกคืินเลยเปิดไฟหัวเตียงไว้ตลอด ส่วนประตูห้องก็เปิดไว้ แสงจากตรงชานกลางระหว่างแต่ละห้องเลยลอดเข้าไปด้วย คือสรุปว่ามันสว่างพอสมควร พอลงไปดื่มน้ำจากตู้เย็นเสร็จ ก็ขึ้นมาบนห้อง แต่ทีนี้มันแปลกๆ คือเรารู้สึกในใจหรือในความคิด แบบรู้สึกเลยว่ามีอะไรสักอย่างอยู่ในห้องเรา และเราต้องเจอ พอเดินขึ้นบันไดไปได้เกือบจะขึ้นชั้น 2 ของบ้านคืออีกไม่กี่ขั้น เราก็มองเห็นด้านในห้องเรา (ห้องเราเป็นห้องเดียวที่ถ้ามองจากบันไดประมาณ 4-5 ขั้นก่อนถึงชั้น 2 จะสามารถมองเห็นด้านในห้องได้นิดหนึ่ง) ตอนนั้นเตียงเราเกือบชิดริมผนังด้านหนึ่ง พอมองเข้าไปมันเลยเห็นว่ามีเงาดำของผู้หญิงยืนอยู่ ตรงข้างเตียงฝั่งขวาเกือบปลายเตียง ลักษณะด้านหลังเหมือนเจ้าแม่กวนอิม คือไม่ใช่เจ้าแม่กวนอิมแต่แค่ลักษณะ คือลักษณะเงาดำเป็นเหมือนผ้ายาวลงมาและชุดกระโปรง แต่ความสูงไม่ได้สูงมา เราก็ยืนมองอยู่แบบนั้น ไฟจากหัวเตียงในห้องก็เป็นสีส้มๆ เลยตัดกับเงานั้นให้ชัด เรามองสักพักก็เดินขึ้นบันไดและเข้าไปในห้องก็ไม่เจออะไรแล้ว และก็ไม่มีไรอีก ก็นอนหลับสบายดี ยังมองปลายเท้าเตียงด้านนั้นอยู่เลย แต่ก็ไม่ได้กลัวอะไร และนั่นเป็นครั้งเดียวที่เห็นด้วย
เรื่องที่เจ็ด เรื่องนี้เกิดขึ้นหลายปีก่อนเช่นกันตอนที่เรายังเรียนอยู่ป.ตรี เราเดินขึ้นบันไดจะเข้าห้องนอนก็รู้สึกเหมือนกับเรื่องที่หกว่ามีใครอยู่ในห้องและเราต้องเจอ พอเราเดินไปถึงประตูมองเข้าไปก็เห็นเงาดำนั่งอยู่บนเตียงเรา เป็นผู้ชาย ดูจากรูปร่างเงาคือผอม ตัวไม่สูงมาก และผมสั้น คือผู้ชายนั่นแหละ เราก็มองสักพัก เงาดำนี่ก็นั่งเฉยๆ จนเราตัดสินใจเปิดไฟ เงาดำนั้นก็หายไป เราก็เดินไปนอนปกติ ไม่ได้มีอะไร แต่คิดไว้ในใจว่ามีใครมาลาหรือเปล่า แบบมาให้เห็นก่อนไป แต่เรื่องนี้เราก็พยายามหาสาเหตุว่าอะไรจะช่วยให้เกิดเงาแบบนี้ได้ ห้องเราอยู่ชั้น 2 หน้าต่างปิดม่านไว้ และคืนอื่นๆ ก็ไม่เคยเห็น เราก็สรุปไม่ได้ว่าคืออะไร จะว่าตาฝาด เราก็ยืนมองอยู่จนเราตัดสินใจเปิดไฟเอง เงาดำนั้นถึงหายไป
เรื่องที่แปดเป็นเรื่องที่เราเจอสมัยประถม ตอนนั้นนอนรวมกับแม่และน้อง ส่วนพ่อนอนอีกห้อง เรานอนด้านในสุดติดกำแพง ถัดมาเป็นน้องและแม่ เราตื่นขึ้นมากลางดึกและเห็นเงาดำยืนอยู่ปลายเตียงที่แม่นอน เป็นผู้หญิง คือจากลักษณะเงาคือเห็นเลยว่าผมยาว ตอนแรกเราก็คิดว่าแม่เหรอ แต่แม่เราก็ไม่ได้ผมยาวตรงแบบนั้น เราเลยลุกขึ้นหันไปมองด้านข้างก็เห็นแม่กับน้องนอนอยู่ และผู้หญิงคนนี้ใคร แต่เราไม่ได้กลัวไร ก็ไม่รู้ว่าใคร แต่ในความรู้สึกว่านอนซะ ไม่ต้องสนใจ เราเลยหันหน้าเข้ากำแพงและนอนต่อ แล้วก็ฝันถึงการ์ตูน คือจำได้เลยว่าฝันถึงตัวการ์ตูนต่างๆ แต่พอตื่นขึ้นมาอีก ฟ้าก็ยังมืดอยู่ เหมือนเรานอน ฝันและตื่น แต่เงาดำนั้นก็ยังอยู่ตรงที่เดิม เราก็นอนจ้อง แต่ไม่ได้กลัวอะไร หลับตาลงจะนอนต่อ แต่พอลืมตาก็ยังเห็นว่ายืนอยู่ จนผ่านไปสักพัก เงาดำนั้นก็เคลื่อนไปริมเตียงที่แม่นอน เราก็คิดว่าแม่เหรอเพราะเดินมาฝั่งแม่นอน แต่แม่ก็นอนอยู่ และเราก็หลับเลย ไม่รู้เรื่องอะไรอีก แต่พอตื่นและแม่ไปส่งโรงเรียน เรานั่งกับน้องตรงที่นั่งท้ายรถเมล์ แม่ยืนโหนราวอยู่ เราก็มองแม่และคิดถึงเรื่องเมื่อคืน คิดแบบเด็กๆ ว่าแม่เป็นอะไรกันแน่ แบบโดนผีสิง? หรือเปล่า แต่แม่หันมาเจอเรามองก็ยิ้มให้ปกติ เราเลยไม่รู้ว่าคืออะไร จะว่าตาฝาดก็เห็นยืนอยู่ตั้งนาน หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาก็ยังเห็น แต่เอาไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกแบบญาติแม่ที่อาจตายไปแล้วมาหาหรือเปล่า เราก็บอกอาจใช่ก็ได้
เรื่องที่เก้า เป็นตอนที่ไปเดินเขาแห่งหนึ่ง พี่ทหารที่นำทางบอกว่าที่ที่เราพักกางเต็นท์เป็นจุดเดียวที่พักได้ ตอนนั้นเป็นตอนกลางคืน ดึกพอสมควร ตั้งแต่ขึ้นเขามาเราก็ไม่ได้ทำธุระส่วนตัวเลย หลังทานข้าวเสร็จ เลยถือโอกาสออกมาหาที่ทำธุระ โดยคนที่ไปด้วยก็ให้ยืมไฟฉายเล็กๆ มา เราก็เดินแยกตัวออกจากกลุ่มไปยังพื้นที่ลาดลง เพื่อหลบสายตาคนอื่น แต่ตอนเดินออกมาหาที่ได้แล้วว่าประมาณหลังต้นไม้นี้แหละน่าจะพอบังได้ ก็เห็นเงาดำรูปร่างคนผมยาวประบ่าเดินผ่านไปไกลๆ คือถ้านับง่ายๆ เป็น 4 ทิศ ถ้าจุดกางเต็นท์อยู่ทิศ 1 เราเดินหันออกมาทางขวาเป็นทิศ 2 ส่วนทิศ 3 คือเดินตรงจากจุดกางเต๊นท์ไปเรื่อยๆ ไม่ไกลจะเป็นจุดลงเขา ส่วนทิศ 4 เป็นทางเดินเข้าป่าอีกด้าน และมีทางลงไปลำธารข้างล่างอยู่ทางทิศนั้นด้วย เงาดำเดินผ่านช้าๆ แบบคนปกติผ่านจากตรงทางที่ถ้าเราเดินตรงไปเรื่อยๆ จะเป็นจุดลงเขาไปยังทิศที่ 2 ที่เดินเข้าป่าลึกไปอีก ตอนแรกเราคิดว่าคนเหรอ ทำไมมาเดินเงียบๆ คนเดียวในป่า และที่พี่ทหารบอกตรงนี้ที่เรากางเต๊นท์เป็นจุดเดียวที่กางได้ หรือว่าเป็นแสงเงาสะท้อนจากคนที่นั่งก่อกองไฟ เราหันไปมองแต่มันก็ไกลกันเกินที่จะสะท้อนมาเกิดเงาได้ เพราะเราเดินออกมาระยะหนึ่งเพื่อหลบทำธุระและตอนหันไปดู เขาก็นั่งหรือยืนรอบๆ กองไฟ ไม่ได้เดินมาทางเราสักคน เราเลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ ไม่พูดไร รีบทำธุระ ขอเจ้าป่าเจ้าเขาแล้วกลับไปรวมกลุ่ม แต่หลังจากคืนนั้นที่นอนกัน ตอนเช้า คนหนึ่งที่นอนเปลอยู่ริมสุดที่ไกลออกไปนิดนึงเป็นทางที่เงาดำเดินผ่าน มาเล่าว่าเมื่อคืนเหมือนมีคนมาเรียกชื่อและเรียกให้ตื่น ถ้าเขานอนนิ่ง ไม่โผล่ออกมาจากผ้าที่คลุมไว้เพราะเมื่อคืนฝนก็ตกด้วย เราเองตื่นขึ้นมาดึกๆ อยากทำธุระ ยังไม่กล้าออกจากเต๊นท์เหมือนกัน เพราะมันมืิดมาก ไม่อยากเจอไรด้วย อยู่ในเต๊นท์น่าจะดีกว่า เอาพระมากุมไว้ที่อกและวางไว้ใกล้หมอน คืออาจไม่มีไรก็ได้ แต่เรากันไว้ก่อนแค่นั้น
เรื่องที่สิบ เป็นตอนที่ทำงานโฮสเทลกะกลางคืน ปกติก็ไม่มีอะไร แต่มีคืนหนึ่งเดินไปเข้าห้องน้ำ เห็นเงาผู้ชายคนหนึ่งยืนหันข้าง ผอม สูง ผมยาว แบบผมยุ่งหน่อยๆ เราก็ยืนอึ้ง และคิดว่าเป็นเงาจากอะไรได้ไหม แต่เป็นไปไม่ได้เพราะเข้าห้องน้ำครั้งก่อนๆ ไม่เคยเจอแบบนี้ แต่พอเปิดไฟก็หายไป เราก็เข้าห้องน้ำแบบกลัวๆ พอดึกๆ เราง่วงก็มานั่งพักสายตาที่โซฟา แต่ก็คิดว่าเงาของใคร แล้วเราก็ต้องสะดุ้งแบบหวีดๆ ลืมตาก็เห็นเงาร่างนั้นแบบเราก็ตกใจ กลัว แต่ก็หลับตาใหม่ ลืมตาก็เห็นแบบตรงโซฟาที่นั่งจะอยู่ล็อบบี้แต่ก็จะนั่งกับตรงช่องทางเข้าห้องนวด เราก็เห็นเงารูปร่างทรงผมแบบนั้นยืนหันข้างจากบนกำแพงเยื้องๆ ประตูกระจกห้องนวด เราก็มองๆ กลัวแต่ก็หลับตาลงอีกเพราะง่วงด้วย แต่ลืมตาอีกก็ไม่เจอ แต่พอหันไปที่เคาเตอร์ต้อนรับก็เจอเงานั้นยืนหันข้างอยู่ ซึ่งที่เราคิดคือใครที่เราเหมือนเลี้ยงไว้ในจินตนาการหรือเป็นอะไรที่อยู่แถวนี้ที่มาขอส่วนบุญส่วนกุศลหรือเปล่าเพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเพราะก็ทำงานโฮสเทลมานานแล้ว หรือเป็นสิ่งที่เหมือนอยู่กับเรามาให้เราทำบุญให้หรือเปล่า เพราะปกติตอนมีงานทำเราจะถวายสังฆทานเกือบทุกสัปดาห์อุทิศให้พี่เหล่านี้ด้วย และตอนนั้นเราทำงานเหมือน 7 วัน จ-ศ. คือทำงานประจำ และคืนศ. ส. อา ทำโฮสเทล กลับบ้านมาก็นอนและมาทำงานไม่ได้ไปทำบุญเลย นานมาก พอวันต่อมา เราเลยนอนนิดเดียว ออกไปทำบุญอุทิศให้และไปทำงานโฮสเทลต่อ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in