เราไม่เคยมอง ‘ความตาย’ เป็นเรื่องสนุก
กลับกันมันคือเรื่องเศร้า เกิดขึ้นเมื่อไรเป็นต้องนำบรรยากาศหม่นหมองและความเศร้าโศกมาสู่
คนรอบข้าง ความตายจึงเป็นสิ่งที่เราอยากเลี่ยง เป็นไปได้ก็ไม่อยากให้เกิด แค่นึกภาพหลับ
ไปแล้วไม่ได้ตื่น เข้าโรงพยาบาลแล้วไม่ได้กลับออกมาก็ไม่เห็นว่ามันจะมีสิ่งไหนที่ชวนให้เราหลงใหลอีกต่อไป
ความตายจึงเป็นเรื่องน่ากลัวเกินจะจินตนาการ น่าพิศวงเกินกว่าจะเดาถูก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อให้รกโลกไปอีกนานๆ
แน่นอน คำตอบคือไม่ได้
ต่อให้เป็นเศรษฐีพันล้านหรือโกงความตายเก่งขนาดไหน ตัวเราก็ต้องชัตดาวน์และจากไป
อย่างไม่มีวันกลับในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
ความตายจึงเป็นสิ่งไม่น่าสนุกสำหรับเราเอาเสียเลย
เรารู้จัก บุนเป โยริฟุจิ ในฐานะนักวาดภาพประกอบและกราฟิกดีไซเนอร์ผู้มีมุมมองการเล่าเรื่องเป็นเอกลักษณ์ งานของเขาอาจไม่ได้เนี้ยบสวยหรู แต่รุ่มรวยไปด้วยรายละเอียดและมีเสน่ห์ที่น่าจดจำ ขณะเดียวกันก็ชอบย่อยเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย พูดเรื่องเครียดให้กลายเป็นเรื่องสนุก ใส่
มุกตลกในจังหวะที่ควรจะวิชาการ สนใจทุกอย่างตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยอย่างมารยาท การสูบบุหรี่
ไปจนถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติ
และคราวนี้ก็ถึงคิวของ ‘ความตาย’
บุนเปตั้งคำถามต่อสิ่งเหล่านี้ไม่มียั้ง เขาสงสัยมากว่าความตายคืออะไร ทำไมเวลาพูดถึงมันเราต้องกลัว ทำไมเราต้องอยากรู้ว่าคนคนนั้นตายเพราะอะไร เอาเวลาที่ไปสนใจความตายคนอื่นมาสนใจเรื่องของตัวเองดีกว่ามั้ย เมื่อถึงเวลาจะได้โบกมือลาโลกแล้วนอนหลับไปอย่างสงบ ฯลฯ
เรารู้สึกเหมือนโดนตบหน้าด้วยคำถามชุดใหญ่และถูกจูงมือไปสู่โลกของความตายด้วยตัว
ของบุนเปเอง
เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความตาย แต่ก็ค้นคว้าในเรื่องเหล่านี้อย่างหนักแน่นจนเราอยากมอบตำแหน่งบุคคลขี้สงสัยยอดเยี่ยมให้กับเขา บุนเปโกยเอาข้อมูลปริมาณมหาศาลจากตำราประวัติศาสตร์ เอกสารทางการแพทย์ และอีกสารพัดสถิติที่รวบรวมมาจากทุกแขนงสื่อ มาเขย่าคลุกเคล้าเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหนังสือความตายที่แปลกใหม่ อ่านแล้วแทบไม่อยากเชื่อว่าวาระสุดท้ายของคนเราจะมีได้หลายแบบและสามารถสนุกได้ขนาดนี้!
จากเดิมที่คิดว่าความตายเป็นเรื่องน่ากลัว ตลอดเวลาที่ทำหนังสือเล่มนี้ เราก็พบว่ามันยังน่ากลัวเหมือนเดิม (อ้าว)
แต่เป็นความน่ากลัวที่เราอยากอ้าแขนรับ อยากทำความรู้จักเหมือนเวลาเจอคนที่เห็นกันทุกวัน แต่ไม่เคยพูดคุยกันเลย
ตอนเรียนชั้นประถม ผมเคยคิดอย่างนี้แบบจริงจัง เข้าใจว่าเมื่อพ่อกับแม่คลาดสายตาจากเราไป พวกท่านก็จะกลายร่างเป็นมนุษย์ต่างดาว ตอนนั้นผมกลัวขึ้นสมองว่าจะหันไปเห็นพ่อกับแม่ในร่างเอเลี่ยน ทำให้ทุกครั้งเวลาจะหันไปหาพ่อกับแม่ ผมจะส่งเสียง “นี่”ก่อนทุกครั้ง
“เพี้ยนไปละ” เพื่อนคนหนึ่งบอกกับผม
แม้จะถูกเพื่อนสนิทมองด้วยสายตาตำหนิ ผมก็ยังทดสอบด้วยการหันไปมองอย่างเร็วที่สุดตอนท่านเผลอ ลองเปิดประตูกะทันหันแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
แน่นอนครับว่าพวกท่านก็อยู่ในสภาพมนุษย์ธรรมดานี่แหละ...แต่ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าพ่อกับแม่ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว
ยิ่งคิดผมก็ยิ่งสงสัย หรือเพราะเอเลี่ยน เป็นสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกที่ฉลาดจนรู้เท่าทันความคิดมนุษย์ ทำให้สับเปลี่ยนร่างได้รวดเร็วว่องไว?
ตอนที่คิดถึงความตาย ผมก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับเรื่องราวข้างต้นนี่แหละครับ
ครอบครัวของผมสามคนพ่อแม่ลูกแข็งแรงดี ไม่เคยป่วยหรือมีอุบัติเหตุถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล ประสบการณ์เห็นคนเฉียดตายก็ไม่เคยมี จะมีก็แค่ศพของคุณตาและคุณยายเท่านั้น
ทำให้ผมไม่รู้จักกับความตาย
แต่ที่จริง ผมก็มีความเข้าใจเรื่องความตายในแบบฉบับของตัวเองอยู่ เช่น ไปงานศพคนรู้จัก หรือตอนที่สัมผัสตัวหนูแฮมสเตอร์เย็นเฉียบ แต่นั่นมันก็เป็นอะไรที่ฉาบฉวย ไม่ได้เข้าใจความตายระดับถึงแก่น
และถึงจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ ความตายก็ยังเป็นสิ่งที่ผมไม่เข้าใจอยู่ดี
พอเริ่มคิดว่าความตายคืออะไร ภาพในอดีตที่เคยหันหลังขวับ เปิดประตูกะทันหัน และออกตามหาจานบินตอนที่คิดว่าพ่อกับแม่เป็นมนุษย์ต่างดาวก็ย้อนกลับมา
ผมทำหนังสือเล่มนี้โดยหวังว่าจะเข้าใจความตายมากยิ่งขึ้น
ถึงสุดท้ายมันอาจไม่มีคำตอบที่เป็นรูปธรรม แต่ถ้าภาพและคำที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ได้กระตุ้นให้ใครครุ่นคิดถึงความตายได้บ้าง ผมก็ดีใจแล้วครับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in