เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I Cancel My CancerBUNBOOKISH
02: ทุกทางเลือกคือการแลก

  •  
  • ช่วงปีแรกของชีวิตทำงาน ฉันในวัยยี่สิบต้นๆ ยังทำตัวเป็นน้องใหม่ไฟแรง ชนิดที่เลิกงานแล้วก็ต้องนั่งทำงานต่อจนดึกดื่น เสร็จแล้วก็ไปแฮงเอาต์ต่ออีกนิด หรือถ้าเป็นฟรายเดย์ไนต์ก็จะต้องไปดริ๊งก์และแดนซ์กับเพื่อนฝูง ทำตัวสนุกให้สมกับที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งสัปดาห์ กว่าจะกลับเข้าบ้านก็เกือบเช้า นอนหลับพักสายตาได้ไม่กี่ชั่วโมง ก็ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว ออกจากบ้านไปเที่ยวต่างจังหวัดตามประสาวันหยุดต่อ

    ฉันใช้ชีวิตแบบนี้เป็นประจำ แทบจะไม่เคยอยู่ติดบ้านนานเกิน 24 ชั่วโมง จนมักโดนคนที่บ้านบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าเห็นบ้านเป็นโรงแรมที่มีไว้แค่ให้กลับมาซุกหัวนอน แต่พอนึกย้อนกลับไป พฤติกรรมชอบใช้ชีวิตนอกบ้านของฉันก็เริ่มมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย เพราะถ้าวันธรรมดาไม่ออกไปเรียนพิเศษจนดึกดื่น คนอย่างฉันก็ต้องหากิจกรรมออกไปทำนอกบ้านอยู่ดี ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ก็หาเรื่องไปเข้าค่ายอาสาบ้าง อบรมสัมมนาบ้าง ทำแบบนั้นมาตลอดจนที่บ้านเอือมระอา

    เพราะฉันมีความเชื่อว่าคนเราเกิดมาครั้งเดียวต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม ต้องได้ทำอะไรหลายอย่างตามความฝัน ฉันอยากมีโปรไฟล์ดีๆ อยากเข้าเรียนมหาวิทยาลัยรัฐชั้นนำ เรียนจบแล้วอยากทำงานในบริษัทชื่อดัง อยากมีเงินเดือนเยอะๆ อยากมีหน้ามีตาในสังคม อยากมีชีวิตเพอร์เฟ็กต์ อยากเที่ยวรอบโลก และการจะได้สิ่งเหล่านั้นมาก็ต้องแลกด้วยความทุ่มเท ทำอะไรก็ต้องทำให้เต็มที่ ดังนั้นถ้าได้ทำอะไรมากกว่าคนอื่น หรือทำอะไรที่เกินศักยภาพของตัวเองอยู่เสมอ ก็จะทำให้ตัวเองดูเป็นคนเจ๋งในสายตาคนอื่น
  • ฉันจึงอดหลับอดนอนทำงาน เพื่อให้มันออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด โดยไม่แคร์คุณภาพชีวิตตัวเองเลยสักนิด นี่ยังไม่นับเรื่องที่ฉันเกลียดการออกกำลังกาย ดื่มน้ำน้อย ชอบกินปิ้งย่างหรือไม่ก็อาหารกล่องสำเร็จรูปเป็นประจำ หนำซ้ำยังย้อมสีผมต่อเนื่องมานานหลายปี คิดไปคิดมา นิสัยพวกนี้นี่แหละที่น่าจะเป็นต้นเหตุของสุขภาพอันย่ำแย่ของฉัน

    แม้กระทั่งตอนไปเรียนต่อที่อังกฤษ ฉันก็ยังไม่วายใช้ชีวิตแบบเดิม วันธรรมดานอกจากจะไปเรียนแล้วยังไปทำงานที่ร้านอาหารไทยอีกสองร้าน เพื่อจะได้มีเงินไปเที่ยวในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ฉันไม่เคยยอมให้ตัวเองมีเวลาว่าง จนกระทั่งร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเตือนด้วยอาการป่วยกระเสาะกระแสะ แต่ก็ยังอุตส่าห์คิดว่าเป็นเพราะสภาพอากาศของประเทศอังกฤษ ที่เดินสามก้าวฝนตก เดินห้าก้าวลมแรง เดินเจ็ดก้าวหิมะตก เดินไปอีกก้าวแดดออก อากาศแบบนี้ก็น่าจะทำให้ป่วยได้อยู่แล้ว

    แต่หลังจากนั้นฉันก็เริ่มไอไม่หยุด กินยาปฏิชีวนะและยาแก้ไอที่พกมาจากเมืองไทยหมดไปหลายชุดก็ยังไม่หาย ฉันไอติดต่อกันอยู่อย่างนั้นไปอีกสามสี่เดือน แถมยังไอหนักขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่าคงเป็นอาการของโรคภูมิแพ้หรือคออักเสบ เพราะตอนอยู่เมืองไทยฉันก็เคยเป็นบ่อยๆ

    ต่อมาผมก็เริ่มร่วงเป็นกระจุก แต่ก็ยังคิดว่าเป็นเพราะแพ้แชมพูที่ซื้อตอนลดราคา หรือไม่ก็เพราะสระผมด้วยน้ำร้อนจากก๊อกน้ำประปาที่คนอังกฤษเคยบอกว่ามีสารเคมีผสมอยู่ ขนาดใช้ล้างหน้ายังทำให้เป็นสิว แบบผมจะร่วงไปบ้างก็คงไม่แปลก 
  • หลังจากนั้นประจำเดือนก็เริ่มขาดติดต่อกันหลายเดือน จะให้สงสัยว่าท้องก็คงไม่ใช่ เพราะโสดสนิทออกอย่างนั้น แต่เพื่อนสาวที่ไปเรียนพร้อมๆ กันก็ประจำเดือนมาไม่ปกติ เลยคิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นไปได้ที่ร่างกายอาจจะไม่ชินกับอากาศหนาว มดลูกก็เลยอู้งานเอาดื้อๆ

    แต่ที่สวนทางกับคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดคือ ในขณะที่เพื่อนคนอื่นน้ำหนักขึ้นกันพรวดพราด ฉันกลับเป็นคนเดียวที่น้ำหนักลดลงเรื่อยๆ จากที่เคยหนัก 41-42 กิโลกรัม ก็กลายเป็นคนผอมกะหร่องที่หนักแค่ 36-37 กิโลกรัมภายในเวลาแค่สี่เดือน แต่ด้วยความที่ต้องใส่เสื้อกันหนาวหนาๆ หลายชั้น เลยไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นความผิดปกติข้อนี้เท่าไหร่นัก ส่วนฉันก็คิดไปว่าเป็นเพราะไอหนักและมีเสมหะเยอะ เลยทำให้กินอะไรไม่ค่อยได้ น้ำหนักก็ต้องลดลงเป็นธรรมดา

    นอกจากน้ำหนักที่ลดลงอย่างไม่มีวี่แววจะกู้กลับคืนมาได้แล้ว ฉันยังกลายเป็นคนเหนื่อยง่าย จากที่เคยเดินจากหอไปมหาวิทยาลัยใช้เวลาประมาณสิบห้านาที แต่ช่วงหลังเดินแล้วเหนื่อยจนต้องเดินช้าลง หรือไม่ก็คอยหยุดพักเป็นระยะๆ

    และจากปกติเป็นคนเหงื่อออกยาก ก็กลายเป็นมีเหงื่อออกจนต้องนอนหลังเปียกชุ่มเหงื่อทุกคืน แต่ก็ยังไม่วายคิดไปเองว่าต้องเป็นผลพลอยได้จากผ้าห่มขนเป็ดสุดเลิศที่ห่มแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่นจนเหงื่อออกได้ขนาดนั้น ไม่เอะใจเลยว่า นอกจากจะมีเหงื่อออกแล้ว ฉันยังมีไข้ต่ำๆ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันไปทุกคืน ทั้งที่ตอนกลางวันก็ยังดีๆ อยู่แท้ๆ 
  • ฉันอยู่กับอาการเหล่านั้นประมาณสี่เดือน จนคิดว่าควรไปให้หมอตรวจดูสักที ไหนๆ ค่าเทอมที่จ่ายไปก็ครอบคลุมประกันสุขภาพอยู่แล้ว ฉันจึงติดต่อไปที่ NHS (National Health Service) หรือศูนย์บริการสุขภาพประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งต้องรอคิวตรวจนานไม่น้อยหน้าโรงพยาบาลรัฐที่เมืองไทยเลย เพราะโทร.นัดวันนี้กว่าจะได้คิวเจอคุณหมอก็เดือนหน้า

    แต่ไหนๆ ก็ป่วยมาตั้งนานแล้ว รอต่อไปอีกสักเดือนคงไม่เป็นไร...

    พอถึงวันนัดในเดือนต่อมา ฉันไปถึง NHS ก่อนเวลานัดเล็กน้อย เมื่อติดต่อเจ้าหน้าที่แล้วก็ได้แบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ดื่มเหล้าสัปดาห์ละกี่ครั้ง ติดบุหรี่หรือเปล่า นอนวันละกี่ชั่วโมง มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง ฯลฯ เรียกว่าถามข้อมูลกันละเอียดยิบ

    นั่งรออยู่สักพัก จึงได้เข้าพบคุณหมอผู้หญิงท่าทางใจดีที่ทักทายฉันด้วยเสียงสูงสไตล์บริทิช ก่อนจะเข้าเรื่องและซักถามอาการ (ก็ยังเสียงสูงอยู่ดี)

    ฉันร่ายอาการป่วยของฉันให้คุณหมอฟังยาวเหยียด รวมทั้งบอกว่ากินยาอะไรที่พกมาจากเมืองไทยเข้าไปแล้วบ้าง คุณหมอดูตกใจกับการกินยาเข้าไปมากมายโดยไม่มีใบสั่งแพทย์ของฉัน แต่ก็ยังคงสอบถามอาการต่อไป และขอตรวจด้วยการเอาไฟฉายส่องดูในคอ ใช้หูฟังฟังเสียงปอด รวมถึงวัดค่าออกซิเจนในกระแสเลือด แต่นิ้วฉันคงจะเล็กเกินไปจนเครื่องไม่สามารถอ่านค่าออกมาได้ คุณหมอจึงให้ฉันไปเป่ากระบอกอะไรสักอย่างแทน แต่แม้ว่าฉันจะออกแรงเป่าจนหอบแล้ว ก็ยังไม่แรงพอที่จะวัดค่าอะไรออกมาได้อยู่ดี
  • เมื่ออุปกรณ์การตรวจขั้นพื้นฐานในห้องใช้ไม่ได้ผลกับฉัน คุณหมอจึงต้องเปลี่ยนมาซักประวัติเพิ่มเติมว่าฉันอายุเท่าไหร่ มาจากประเทศอะไร ก่อนที่จะตั้งข้อสันนิษฐานว่าฉันน่าจะป่วยเป็นโรค Whooping Cough

    อ๋อ... โอเค คิดว่าอะไร

    แล้วมันคืออะไรวะ…

    ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเสิร์ชว่าไอ้ Whooping Cough นี่มันคือโรคอะไรทันที แล้วก็ได้คำตอบว่ามันคือโรคไอกรน (เริ่มคุ้นขึ้นมาหน่อย) ที่มีเปอร์เซ็นต์การระบาดมากในประเทศที่ยังไม่มีการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง (นี่หมอเห็นประเทศไทยของฉันเป็นยังไงเนี่ย)

    แต่ฉันไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะเป็นโรคไอกรนอย่างที่หมอสงสัย เพราะจำได้ว่าเคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยักมาตั้งแต่เด็กๆ (ประเทศฉันก็เจริญพอตัวนะหมอ) ที่จำได้ดีเพราะมันเป็นวัคซีนที่ต้องฉีดซ้ำหลายรอบ แล้วยังจะมีโอกาสเป็นได้อีกเหรอ แต่ฉันก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เพราะไม่ถนัดที่จะต่อความยาวสาวความยืดด้วยบทสนทนาทางการแพทย์เป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้ว

    เมื่อตรวจเสร็จ คุณหมอจึงเขียนใบสั่งยาสเตียรอยด์แบบพ่นเพื่อบรรเทาอาการไอให้ชั่วคราว และเขียนโน้ตให้ฉันไปเอกซเรย์ปอดมาก่อนที่จะกลับมาหาเธออีกครั้ง

    ฉันรับใบสั่งยาและโน้ตจากคุณหมอแล้วออกมาติดต่อที่เคาน์เตอร์อย่างว่าง่าย แอบดีใจที่สวัสดิการประกันสุขภาพของนักศึกษาทำให้ไม่ต้องเสียเงินสักบาท เอ๊ย! สักปอนด์เดียว แต่ว่าจะต้องเอาใบสั่งยาไปหาซื้อยาจากร้านขายยาข้างนอกเอาเอง
  • จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ออกใบนัดเอกซเรย์ซึ่งต้องไปทำที่ศูนย์เอกซเรย์ประจำเมืองให้ฉัน แต่คิวที่ได้นั้นต้องรอไปอีกสามสัปดาห์ คำนวณเวลาแล้ว กว่าฉันจะได้เอกซเรย์ แล้วค่อยเอาผลกลับมานัดคุณหมอที่นี่ ซึ่งอาจต้องรอคิวหมอไปอีกหนึ่งเดือน ก็จะใช้เวลาในการตรวจทั้งหมดประมาณสองเดือน ถึงตอนนั้นฉันก็คงกลับจากทริปแบ็คแพ็คยุโรปที่จองไว้ล่วงหน้าพอดี…

    ฉันอยู่กับอาการพวกนี้มานานจนไม่รู้สึกว่าต้องรีบร้อนอะไร แต่ดูเหมือนร่างกายมันเริ่มจะบอกว่าอย่ารอต่อไปอีกเลย...

    หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฉันตาเหลือกเป็นลมล้มไปกลางฟลอร์เต้นรำในงานปาร์ตี้ ทำเอาผู้คนแตกตื่น เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ตกใจจนร้องไห้โฮ ความจำสุดท้ายก่อนหมดสติคือ ฉันถูกการ์ดตัวใหญ่พยายามปลุกให้ได้สติและหิ้วออกมานอกงาน รู้สึกตัวอีกทีในห้องนอนตัวเองตอนเช้า กระเป๋าถือหายไป รองเท้าก็ไม่ได้ใส่กลับมา แถมยังมีเสื้อโค้ตของใครก็ไม่รู้มาห่มอยู่บนตัวอีกต่างหาก

    นี่ฉันเสียตัวหรือยังเนี่ยยยย!!!

    เดี๋ยวนะ... ฉันพยายามนึกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็จำได้แค่ว่าตัวเองเพิ่งเดินเข้าไปในผับไม่ถึงสิบนาที ยังไม่ทันได้ดื่มหรือเต้นอะไรด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นลมล้มพับลงไปได้ แถมยังเป็นการเป็นลมครั้งแรกในชีวิตที่ดันไปเกิดขึ้นกลางฟลอร์ในงานปาร์ตี้อีกต่างหาก ช่างน่าประทับใจจริงๆ

    หลังจากนั้นอีกสองสามวัน ฉันก็หน้ามืดเป็นลมไปอีกครั้งระหว่างที่กำลังผัดผักบุ้งไฟแดงอยู่ในห้องครัว โชคร้ายที่ฉันอยู่คนเดียว แต่โชคดีที่หมดสติไปไม่นานก็ตื่นขึ้นมาเอง เดชะบุญที่ไม่ได้ทำไฟไหม้ครัวไปเสียก่อน 
  • ต่อมาฉันก็ไอหนักขึ้น มีไข้ และเป็นลมบ่อยขึ้นเรื่อยๆ อาการแย่จนเพื่อนร่วมคลาสถึงกับเอ่ยปากถามว่าแบบนี้สัปดาห์หน้ายูจะเข้าสอบไฟนอลไหวเหรอ

    โอ้โห! เป็นคำถามที่กระตุกต่อมความคิดได้ดีมาก ฉันเพิ่งนึกได้ว่าถ้าเกิดฉันเป็นลมหมดสติไปในห้องสอบของวิชาที่ใช้คะแนนสอบวัดผลร้อยเปอร์เซ็นต์ มีหวังเรียนไม่จบแน่ๆ

    โชคดีที่ทางมหาวิทยาลัยมีวันหยุดให้เตรียมตัวสอบไฟนอลหนึ่งสัปดาห์ ฉันเลยรีบเช็กราคาตั๋วเครื่องบินจนเจอตั๋วไปกลับอังกฤษ-กรุงเทพฯ-อังกฤษ ราคาโปรโมชั่น 25,000 บาท ฉันจึงตัดสินใจจองตั๋วกลับเมืองไทย และโทร.นัดคุณหมอด้านภูมิแพ้หอบหืดที่โรงพยาบาลทันที

    ตอนนั้นตั้งใจแค่ว่าจะกลับมาพ่นยาและฉีดยาเข้าร่างสักเข็มสองเข็ม แล้วค่อยบินกลับไปสอบที่อังกฤษ หลังจากนั้นจะไปเที่ยวยุโรปต่อก็ยังไหว

    แต่ใครจะรู้ว่าการที่ฉันตัดสินใจบินกลับเมืองไทยในวันนั้นมันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต...

     
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in