หลังจากนั้น คุณหมอก็ให้ฉันกลับบ้านไปเตรียมตัวและเก็บเสื้อผ้าเพื่อกลับมาเจอกันตอนเช้าวันถัดไป นี่คุณหมอคงไม่รู้สินะว่าฉันเพิ่งบินกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อคืน ยังไม่ทันได้จัดการเอาข้าวของออกจากกระเป๋า ก็มีอันต้องเก็บกระเป๋ามาเช็กอินที่โรงพยาบาลต่อแล้ว แต่เอาเถอะ จะได้ไม่เสียเวลา ฉันคำนวณดูคร่าวๆ แล้วว่าถ้าทำแล็บและสแกนร่างกายเสร็จ ก็น่าจะเหลือเวลาอีกสองวันก่อนตั๋วเครื่องบินขากลับที่ซื้อไว้จะหมดอายุ เพราะฉะนั้นฉันก็ยังมีความหวังว่า จะกลับไปสอบที่อังกฤษได้ทัน (ถ้าป๊ายอม...)
ป๊าขับรถพาฉันกลับบ้าน เราสองคนนั่งเงียบไปตลอดทาง ไม่มีบทสนทนา ฉันไม่กล้าถามป๊าว่ากำลังคิดอะไร เพราะปกติป๊า เป็นคนดุมาก และเราก็มักจะมีความเห็นหลายอย่างไม่ตรงกัน ทุกครั้งที่คุยกันจึงมักจบไม่สวย ถ้าไม่เถียงกันจนต้องเดินหนีกันไปเอง ก็ต้องมีใครมาคอยห้ามทัพไว้เสียก่อน ฉันกับป๊าจึงไม่ค่อยสนิทกันเท่าหร่นัก ยิ่งในเวลาที่อยู่กันแค่สองคนภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ฉันคิดว่านั่งเงียบๆ ไว้น่าจะดีกว่า
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมในครอบครัว แต่ก็ไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมา ถ้าเดาไม่ผิดป๊าคงเล่าเรื่องเกี่ยวกับฉันให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าป๊าไปแอบส่งข่าวบอกทุกคนที่บ้านตอนไหน ฉันรู้แต่ว่าคืนนั้นป๊าดูอิดโรย ม้ามากระซิบบอกฉันในเช้าวันต่อมาว่า ทั้งคืนป๊าเอาแต่นอนขดตัวและสะอื้นถามเบาๆ ว่าป๊าทำผิดอะไร ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา ม้ายังบอกอีกว่า ใช้ชีวิตคู่กันมาหลายสิบปี เพิ่งจะได้เห็นน้ำตาของเจ้าพ่ออย่างป๊าก็ครั้งนี้เอง
พอได้ยินแบบนั้น ฉันจึงรู้สึกว่าการที่ตัวเองเป็นโรคร้ายและเหลือเวลาอยู่ได้อีกไม่นานนั้น ยังไม่น่าเสียใจเท่ากับการเป็นต้นเหตุทำให้คนในครอบครัวต้องมาเสียใจเพราะเราเลย
ฉันจึงไม่อยากให้ใครเห็นหรือรู้สึกว่าฉันอ่อนแอ เพราะรู้ดีว่ายิ่งฉันแสดงออกว่าเป็นทุกข์มากเท่าไหร่ ครอบครัวและคนรอบข้างก็จะยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่ฉันพอจะทำได้คือพยายามเข้มแข็ง ถึงแม้สภาพร่างกายจะเริ่มไม่อำนวย กินไม่ลงก็ต้องฝืนกิน พยายามทำกิจวัตรประจำวันให้เหมือนเดิม และคิดเสียว่ากำลังป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดานี่แหละ
ซึ่งฉันก็ทำได้ดีจนคนในบ้านเอ่ยปากชมว่า ดีที่ฉันไม่เครียดและไม่กังวลจนทุกคนต้องเป็นห่วง แต่ที่ไหนได้ ข้างในฉันนั้นเครียดจะตาย
…ก็ยังไม่รู้จะจัดการเรื่องกลับไปสอบที่อังกฤษยังไงเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in