เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I Cancel My CancerBUNBOOKISH
01: เวลาที่เหลืออยู่

  •  
  • “คนไข้จะอยู่ได้นานเท่าไหร่ครับ”

    “อย่างแย่ที่สุดก็ประมาณหกเดือนครับ”

    ฉันรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินคำตอบที่คุณหมอบอกกับป๊า

    “ขอกลับไปสอบไฟนอลที่อังกฤษก่อนได้ไหมคะหมอ แค่ไปนั่งสอบสี่ชั่วโมงก็เรียนจบแล้ว”

    คุณหมอดูแปลกใจกับคำถามของคนไข้ที่เพิ่งรู้ตัวว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกประมาณหกเดือน แต่คุณหมอก็คงจะเห็นใจคนรักเรียนอย่างฉันอยู่บ้าง จึงหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะมาเปิดและช่วยฉันจัดตารางเวลา ดูไฟลต์บิน ดูวันที่คุณหมอออกตรวจ ไปจนถึงดูวันที่ฉันต้องเข้าสอบ

    “ไม่ต้องกลับไปแล้ว!” ป๊าโพล่งขึ้นมาเสียงดัง ขณะที่ฉันกับคุณหมอช่วยกันวางแผนบริหารเวลาราวกับคนกำลังจัดทริปไปเที่ยวด้วยกัน

    “แต่ป๊า… เบลล์เหลือสอบอีกแค่สองวิชากับส่งวิทยานิพนธ์ก็เรียนจบแล้วนะ ตั๋วก็จองไว้แล้ว หนังสือก็อ่านแล้ว เหลือแค่กลับไปสอบเอง”

    ป๊าไม่ตอบ... แต่จ้องตาฉันเขม็ง ดูจากสายตาที่ส่งมาก็รู้ว่า ป๊าไม่มีทางยอมให้ฉันกลับไปอย่างแน่นอน

    “ได้ทุนไปเรียนที่อังกฤษเหรอครับ” คุณหมอคงอยากช่วยให้บรรยากาศระหว่างสองพ่อลูกดีขึ้น

    “เปล่า! กูจ่ายของกูเอง! เงินกูทั้งนั้นกูยังไม่เสียดายเลย เอาชีวิตไว้ก่อนสิวะ มึงจะดื้อไปถึงไหน @#*&$%@#*&$%...”
  • คุณหมอคงคิดว่าฉันเป็นนักเรียนทุนที่ต้องไปเรียนเพื่อเอาความรู้กลับมารับใช้ชาติถึงได้รักเรียนยิ่งชีพขนาดนี้ แต่เปล่าเลย ไปเรียนด้วยทุนบิดาล้วนๆ แต่เพราะแบบนี้แหละถึงทำให้ยิ่งกังวล เพราะฉันเป็นลูกคนโต ยังมีน้องอีกห้าคนที่ป๊ากับม้าต้องส่งเสีย ฉันเลยไม่อยากให้เงินที่ใช้ไปกับฉันต้องสูญเปล่า แต่เมื่อป๊ายื่นคำขาดว่าไม่ยอม ยังไงก็คือไม่ยอม ฉันกับคุณหมอก็เลยต้องเปลี่ยนจากวางแผนการศึกษามาเป็นวางแผนการรักษาตัวทันที

    ภาพคุณหมอที่กำลังอธิบายเรื่องการทำแล็บและวิธีการรักษาต่างๆ มันช่างเหมือนภาพในหนังที่ถูกกดปุ่มปิดเสียงเอาไว้ เพราะฉันรู้สึกเหมือนเห็นแค่ปากของคุณหมอที่กำลังขยับ แต่กลับไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง ในหัวมีแต่ความคิดว่าอีกหกเดือนจากนี้ชีวิตของฉันจะเป็นยังไง เรื่องเรียนจะทำยังไงดี ส่งอีเมลไปขอเลื่อนสอบได้ไหม มหาวิทยาลัยจะยอมเชื่อหรือเปล่า และที่จริงเวลาหกเดือนก็มากพอที่ฉันจะกลับไปเรียนต่อจนจบ มันจะเท่กว่าไหม ถ้าฉันได้เรียนจบปริญญาโทก่อนตายพอดี

    ถัดจากเรื่องเรียน ก็เริ่มคิดถึงทริปแบ็คแพ็คยุโรปที่ดันจองล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ตอนที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกได้ แล้วไหนจะงานเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารไทย นี่ก็ลางานเป็นครั้งที่เจ็ดในรอบสามเดือนแล้ว คงโดนคุณป้าเจ้าของร้านบ่นจนอดได้ส่วนแบ่งค่าทิปเป็นแน่

    ไหนจะของสดที่แช่ไว้ในตู้เย็นส่วนกลางที่หออีกล่ะ จะมีใครมาหยิบไปกินไหม แต่จุดนี้ฉันคงไม่หวงแล้ว ช่วยหยิบไปกินกันหน่อยก็ดี เดี๋ยวมันจะหมดอายุเสียก่อน
  • แล้วฮีตเตอร์ที่ห้องปิดสวิตช์ดีหรือยัง หน้าต่างได้ล็อกไหม ต้นไม้ที่ปลูกไว้จะตายหรือเปล่า แล้วเงินสดที่เก็บไว้ในห้องล่ะ จะต้องยกเป็นมรดกหรือบอกใครไว้ก่อนไหม

    พอนึกถึงเรื่องเงินก็เริ่มนึกถึงรายชื่อลูกหนี้ว่าต้องไปทวงใครบ้าง หรือติดหนี้ใครอยู่บ้าง ฉันอยากใช้หนี้ในชาตินี้ให้หมดก่อนตาย ไม่อยากต้องไปเป็นลูกหนี้ใครในชาติหน้า

    ว่าแล้วก็แอบเปิดดูพอร์ตหุ้นรัวๆ เห็นแล้วดิฉันรู้สึกหนาวยิ่งกว่าตอนอยู่ที่อังกฤษอีกค่ะคุณกิตติคะ เพราะหุ้นติดดอยอยู่ชั้นบนสุด แดงเถือกไปทั้งแถบ ถ้าเทขายตอนนี้มีแต่ขาดทุนแน่นอน แต่ถ้ารอให้ราคาขึ้นก็ไม่รู้ว่าจะทันก่อนตายไหม

    ไหนจะผู้ชายที่นัดเดตไว้ที่นู่นอีก จะบอกเขายังไงดีที่อยู่ๆ ก็เบี้ยวนัดกลับมาเมืองไทยเอาดื้อๆ หรือถ้าบอกว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหกเดือน เขาจะยอมปิดดีลเป็นแฟนกันก่อนตายหรือเปล่า

    เรียนก็อยากเรียนให้จบ เงินก็ต้องจัดสรร งานก็ต้องเคลียร์ ผู้ชายก็ต้องจีบ ฉันเริ่มจับจดและกลัวไปหมด ไม่ได้กลัวตายหรอกนะ แต่กลัวทำอะไรหลายอย่างไม่ทันก่อนตายต่างหาก!

    “พรุ่งนี้เข้ามาแอดมิตเลยนะ” เสียงคุณหมอแว่วเข้ามา ขัดจังหวะความคิดฟุ้งซ่านพอดี ฉันจึงได้สติว่าสิ่งที่น่ากังวลที่สุดตอนนี้คือคำว่าพรุ่งนี้นี่แหละ ยังไม่ต้องคิดไปไหนไกลเลย

    คุณหมอบอกว่ากับฉันต้องทำแล็บ เก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจส่องกล้อง สแกนร่างกายเพิ่ม และยังมีลิสต์อื่นๆ อีกมากกว่าห้าหน้ากระดาษเอสี่ที่คุณหมอเขียนสั่งไว้ว่าหลังแอดมิต ฉันจะต้องทำอะไรบ้าง

    อื้อหือ… งานหนักหน่อยนะคะช่วงนี้
  • หลังจากนั้น คุณหมอก็ให้ฉันกลับบ้านไปเตรียมตัวและเก็บเสื้อผ้าเพื่อกลับมาเจอกันตอนเช้าวันถัดไป นี่คุณหมอคงไม่รู้สินะว่าฉันเพิ่งบินกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อคืน ยังไม่ทันได้จัดการเอาข้าวของออกจากกระเป๋า ก็มีอันต้องเก็บกระเป๋ามาเช็กอินที่โรงพยาบาลต่อแล้ว แต่เอาเถอะ จะได้ไม่เสียเวลา ฉันคำนวณดูคร่าวๆ แล้วว่าถ้าทำแล็บและสแกนร่างกายเสร็จ ก็น่าจะเหลือเวลาอีกสองวันก่อนตั๋วเครื่องบินขากลับที่ซื้อไว้จะหมดอายุ เพราะฉะนั้นฉันก็ยังมีความหวังว่า จะกลับไปสอบที่อังกฤษได้ทัน (ถ้าป๊ายอม...)

    ป๊าขับรถพาฉันกลับบ้าน เราสองคนนั่งเงียบไปตลอดทาง ไม่มีบทสนทนา ฉันไม่กล้าถามป๊าว่ากำลังคิดอะไร เพราะปกติป๊า เป็นคนดุมาก และเราก็มักจะมีความเห็นหลายอย่างไม่ตรงกัน ทุกครั้งที่คุยกันจึงมักจบไม่สวย ถ้าไม่เถียงกันจนต้องเดินหนีกันไปเอง ก็ต้องมีใครมาคอยห้ามทัพไว้เสียก่อน ฉันกับป๊าจึงไม่ค่อยสนิทกันเท่าหร่นัก ยิ่งในเวลาที่อยู่กันแค่สองคนภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ฉันคิดว่านั่งเงียบๆ ไว้น่าจะดีกว่า

    เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมในครอบครัว แต่ก็ไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมา ถ้าเดาไม่ผิดป๊าคงเล่าเรื่องเกี่ยวกับฉันให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าป๊าไปแอบส่งข่าวบอกทุกคนที่บ้านตอนไหน ฉันรู้แต่ว่าคืนนั้นป๊าดูอิดโรย ม้ามากระซิบบอกฉันในเช้าวันต่อมาว่า ทั้งคืนป๊าเอาแต่นอนขดตัวและสะอื้นถามเบาๆ ว่าป๊าทำผิดอะไร ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา ม้ายังบอกอีกว่า ใช้ชีวิตคู่กันมาหลายสิบปี เพิ่งจะได้เห็นน้ำตาของเจ้าพ่ออย่างป๊าก็ครั้งนี้เอง

    พอได้ยินแบบนั้น ฉันจึงรู้สึกว่าการที่ตัวเองเป็นโรคร้ายและเหลือเวลาอยู่ได้อีกไม่นานนั้น ยังไม่น่าเสียใจเท่ากับการเป็นต้นเหตุทำให้คนในครอบครัวต้องมาเสียใจเพราะเราเลย

    ฉันจึงไม่อยากให้ใครเห็นหรือรู้สึกว่าฉันอ่อนแอ เพราะรู้ดีว่ายิ่งฉันแสดงออกว่าเป็นทุกข์มากเท่าไหร่ ครอบครัวและคนรอบข้างก็จะยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่ฉันพอจะทำได้คือพยายามเข้มแข็ง ถึงแม้สภาพร่างกายจะเริ่มไม่อำนวย กินไม่ลงก็ต้องฝืนกิน พยายามทำกิจวัตรประจำวันให้เหมือนเดิม และคิดเสียว่ากำลังป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดานี่แหละ 

    ซึ่งฉันก็ทำได้ดีจนคนในบ้านเอ่ยปากชมว่า ดีที่ฉันไม่เครียดและไม่กังวลจนทุกคนต้องเป็นห่วง แต่ที่ไหนได้ ข้างในฉันนั้นเครียดจะตาย

    …ก็ยังไม่รู้จะจัดการเรื่องกลับไปสอบที่อังกฤษยังไงเลย
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in