เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ดูหนังมาจิรัตน์ เสือป่า
The last dance
  • The Last Dance

          

                         หากให้พูดถึงกีฬาบาสเก็ตบอลเชื่อได้เลยว่าร้อยทั้งร้อยต่อให้ไม่รู้จักวงการนี้เลยก็คงคุ้นชื่อของ ไมเคิล จอร์แดน นักบาสยุค90ที่แม้แต่ปัจจุบันตำนานและสถิติมากมายที่เข้าได้สร้างไว้ก็ยังคงเป็นที่พูดถึงในยุคสมัยนี้ มาในทศวรรษใหม่อย่างปี2020สถานีโทรทัศน์กีฬายักษ์ใหญ่อย่างESPNก็ปล่อยซีรี่ย์สารคดี10ตอนให้แฟนบาสทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนๆของ ไมเคิล จอร์แดน ได้รับชมกันทั่วโลก สำหรับตัวผู้เขียนนั้นแม้จะไม่ทันการแข่งขันของไมเคิล จอร์แดน (ปีที่ไมเคิล จอร์แดน กลับมาเล่นบาสเก็ตบอลอีกครั้งหลังจากรีไทร์ไปเล่นเบสบอลผู้เขียนยังแบเบาะอยู่ฮ่า ๆ) แต่มาในยุคสมัยนี้การจะหาเกมเก่าๆที่จอร์แดนเคยฟาดฟันอุปสรรคต่าง ๆเพื่อจะสร้างไว้ซึ่งตำนานก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรมาก การได้เห็น ไมเคิล จอร์แดน,สก็อตตี้  พิพเพ่น ,เดนนิส ร็อดแมน ,บิล คาร์ทไรท์, ฮอเลส แกรนท์, บีเจ อาร์มสตรอง ออกมาโชว์ลีลายัดห่วงต่อกรกับเหล่านักบาสระดับตำนานร่วมยุคร่วมสมัยไม่ว่าจะเป็น  จอห์น สต็อคตั้น,คาร์ล มาโลน ,แพรททริค อีวิง,ฮาคีม โอลาจูวอน,เมจิค จอห์นสัน มันคือความบันเทิงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

                         The Last Dance ใช้วิธีการเล่าสองเส้นเรื่องสลับเป็นช่วงเวลาระหว่างช่วงต้น ไมเคิล จอร์แดน เข้าสู่วงการบาสเก็ตบอลNBAตัดสลับกับช่วงเวลาซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นปีที่ทีมชิคาโก้บลูส์ชุดดีที่สุดในประวัติศาสตร์จะได้เล่นด้วยกันเป็นปีสุดท้ายก่อนที่ทีมบริหารจะทำการสร้างทีมใหม่ ในแต่ละตอนจะมีการเล่าเรื่องของเพื่อนร่วมทีมคนอื่นเป็นอีกแกนหนึ่งของตอนนั้น ๆไปด้วยในเวลาเดียวกัน  ด้วยเรื่องราวที่มีการเล่าสลับกันไปมาแถมผู้ให้สัมภาษณ์แต่ละคนเล่าเรื่องต่าง ๆอย่างมากมายก็อาจเป็นไปได้ว่าผู้ที่ไม่เคยดูบาสเก็ตบอลมาก่อนอาจจะเกิดความสับสนได้ในช่วงแรกๆแต่เมื่อผ่านไปประมาณสักสามตอนผู้ชมก็จะจับแพทเทิร์นการเล่าเรื่องสลับไปมาได้เมื่อนั้นความสับสนที่เกิดขึ้นก็จะหมดไป สำหรับผู้ที่รู้เรื่องและเหตุการณ์อยู่แล้วนั้นก็จะยิ่งเข้าใจมันมากยิ่งขึ้นว่าการตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆที่นักบาสต้องเผชิญในการแข่งขันอันแสนกดดันว่าพวกเขากำลังคิดอะไรกันอยู่ทำไมถึงทำแบบนั้นแม้ว่าจะเคยทราบผลลัพธ์กับสิ่งที่ตามมาอยู่แล้วก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสในการรับชมลดลงมาเลย

             ต้องยอมรับเลยว่าสารคดีสมัยนี้มีการเล่าเรื่องเหมือนภาพยนตร์อย่างมากไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องที่มีการตัดต่อเข้ากับจังหวะเพลงอย่างถึงใจเพื่อเร้าอารมณ์คนดู การเล่าเรื่องที่มีการสร้างปมไว้ก่อนค่อยมาเฉลยหรือว่าคลายปมที่สร้างไว้ทีหลัง ซึ่งการนำสารคดีมาเล่าด้วยวิธีทางภาพยนตร์แบบนี้มันสนุกมากทลายอคติยุคก่อนซึ่งผู้คนต่างมองว่าสารคดีเป็นยาขมมีประโยชน์แต่น่าเบื่อไปอย่างหมดสิ้น The Last Dance ก็เป็นอย่างที่กล่าวมาข้างต้นนั่นคือมันเป็นสารคดีที่มีการเล่าเรื่องแบบหนังที่สนุกเล่นกับอารมณ์คนดูมีการสร้างปมไว้คลายตอนหลังความสนุกระดับที่ทำให้ความยาว10ตอนดูสั้นไปอย่างน่าประหลาดเนื่องจากตัวผู้เขียนนั้นไม่ค่อยมีความอดทนพอที่จะดูซีรี่ย์จนจบได้เพราะคุ้นชินกับการชมภาพยนตร์มากกว่าแต่สารคดีเรื่องนี้ทำให้คลิกตอนต่อไปรัวๆอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

             สิ่งที่ผู้ชมจะได้เห็นมันคือภาพฟุตเตจจำนวนมหาศาลที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกันของนักกีฬาในห้องล็อคเกอร์ การฝึกซ้อม การสังสรรค์หย่อนใจของเหล่านักกีฬา บางภาพอาจจะดูธรรมดาอย่างมากแต่มันก็ทำให้เราเข้าใจความเป็นมนุษย์ของพวกเค้า เข้าใจความคิดทัศนะคติว่าทำไมถึงมองโลกแบบนั้น อะไรถึงทำให้ตัดสินใจแบบนี้ เสียใจกับการกระทำบางอย่างที่เคยทำลงไปบ้างหรือเปล่า มันเป็นอะไรที่มีค่ามากกับการที่จะได้เรียนรู้ถึงความคิดของบุคคลซึ่งทั่วโลกต่างยอมรับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด การที่ทำให้เราเห็นภาพจำนวนมหาศาลขนาดนั้นแถมทำให้เกิดความรู้สึกต่างๆมากมายต้องขอชื่นชมการตัดต่อที่ทำได้อย่างลื่นไหลสร้างจังหวะการเล่าเรื่องที่สนุกมากเราแทบจะไม่เห็นช่วงแผ่วของการเล่าเรื่องสักนิดเดียว

                         ในการเล่าเรื่องมีการสร้างโทนอารมณ์ไล่น้ำหนักต่างๆซึ่งสร้างมิติอันหลากหลายมันมีตั้งแต่อารมณ์ขบขันไปจนถึงความเดือดดาลที่คุกรุ่นพร้อมจะปะทุเสมอของเหล่าผู้ให้สัมภาษณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละครหลักอย่างจอร์แดน จะได้เห็นถึงการปะทะกันทั้งทางความคิดและทางกำปั้นที่มันเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งโดยสารคดีเรื่องนี้ก็เป็นกลางพอที่จะรับฟังความคิดเห็นของทั้งสองฝั่งไม่ได้คล้อยตามไปทางฝั่งใดฝั่งหนึ่งชัดเจนปล่อยให้ผู้ชมหนึ่งในนั้นก็คือตัวผู้เขียนเองต้องมานั่งพิจารณาเอง  

                 โดยภาพรวมแล้ว The Last Dance คือสารคดียุคใหม่ที่มีสร้างอารมณ์ที่คล้ายคลึงภาพยนตร์บวกรวมเข้ากับการตัดต่อที่นับว่าเป็นการจัดการกับภาพฟุตเตจมหาศาลเพื่อสร้างอารมณ์สะเทือนอารมณ์หลายรูปแบบอันเป็นงานอุตสาหะอันน่าชื่นชม มีการระบายโทนอารมณ์เพื่อเล่าเรื่องได้หลากหลายดูมีมิติรับรู้ได้ถึงความเป็นมนุษย์ของผู้เล่าได้เป็นอย่างดีเป็นอีกหนึ่งในสารคดีที่ไม่ควรพลาด

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in