เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
write in somewherestage_ken
Day 7 หลง : หญิงสาวผู้เติมไม่เต็ม
  • Warning : 18+ เนืองจากมีการกระทำและคำพูดซึ่งไม่เหมาะสม/Toxic Relationship/มีการทำร้ายร่างกายซึ่งไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง


    Day 7 หลง : หญิงสาวผู้เติมไม่เต็ม


    ผมเจอเธอครั้งแรกในคาบวิชาเรียนรวมว่าด้วยปรัชญาสุนทรียภาพตะวันออก


    เธอนั่งข้างหน้าผม ห่างออกไปสองแถวโต๊ะ ทุกครั้งที่เข้าเรียนผมยาวถึงกลางหลังสีดำสนิทดึงดูดความสนใจผมทุกครั้ง ใบหน้าด้านข้างยามเธอหันไปพูดคุยหัวร่อกับเพื่อนสาวนั้นงดงามราวกับพระเจ้าลงมือปั้นด้วยตัวเอง ผมไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด เพราะเพื่อนอีกสองคนของผมก็มีความเห็นเดียวกัน


    นอกจากเป็นวิชาที่ผมชอบแล้ว การได้เข้ามานั่งมองเธอในมุมนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมโปรดปรานเช่นกัน


    แต่เด็กนักเรียนไทยไม่ได้ถูกอบรมสั่งสอนมาให้เข้าถึงกับปรัชญาเท่าไรนัก ไม่นานวิชานี้ก็มีเด็กที่เข้าเช็คชื่อก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ พวกที่เหลือไม่เป็นพวกเด็กที่ต้องการจะประจบอาจารย์เพื่อให้ได้เกรดดี ๆ ก็พวกที่หลงใหลในปรัชญาจริง ๆ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเธอเป็นแบบไหน


    ที่นั่งมากมายที่เคยมีเด็กนั่งเรียนเต็มจนแน่นเมื่อตอนต้นเทอม บัดนี้เหลือแหว่งเป็นกระจุกกระจายกันไป ผมเลือกนั่งที่เดิม เห็นผมดำยาวของเธอจากจุดเดิม ที่ไม่เหมือนเดิมคือที่นั่งรอบตัวเราว่างเปล่า ผมได้ยินเธอสถบกับโทรศัพท์ในมือสองสามคำ ก่อนจะมองไปรอบตัวราวกับหาใครสักคน ก่อนที่สายตานั้นจะมาหยุดลงที่ผม


    เป็นครั้งแรกที่ผมสบกับดวงตาคู่นั้น ดวงตาดำสนิทไม่ต่างจากเส้นผมของเธอ เมื่อถูกจ้องมองเหมือนถูกดึงลงไปในหลุมดำที่มืดสนิท ไร้ซึ่งทางออก เธอขยับริมฝีปากพูดอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถจับใจความได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดกับผมหรือกับคนที่นั่งอยู่ข้างหลังผมหรือเปล่า แต่ผมก็พยักหน้าไปโดยไม่รู้ตัว เธอยิ้มกว้างก่อนจะเก็บข้าวของจากโต๊ะตัวเอง ก่อนจะเดินถือของพะรุงพะรังมานั่งโต๊ะที่ว่างเปล่าข้าง ๆ ผม เพื่อนทิ้งฉันแล้วพากันโดดเรียนไปหมดเลย นายก็เหมือนกันใช่มั้ย เธอเริ่มต้นบทสนทนา ผมจึงตอบไป ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจและชื่นชอบวิถีวาบิซาบิสักหน่อย เธอหัวร่อ ความงามคือความไม่สมบูรณ์แบบพร้อมกับพูดหลักการของวาบิซะบิล้อเลียนเสียงทุ้มต่ำของอาจารย์ เธอบอกชื่อของเธอพร้อมกับสาขาวิชาที่เธอสังกัด เธอพูดชื่อผมพร้อมกับบอกว่า ฉันรู้จักนาย ผมประหลาดใจ เธอยืนหน้าเข้ามาใกล้กระซิบกระซาบราวกับจะกลัวใครได้ยินทั้ง ๆ ที่รอบตัวเราไม่มีใคร เพื่อนสนิทฉันชอบนาย เธอมาพรรณนาเรื่องของนายให้ฉันฟังทุกวัน! เพื่อนสาวที่ว่าคือผู้หญิงผมสีแดงที่นั่งด้านขวาเธอเป็นประจำ ผมเห็นแต่ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไร เธอพูดอีกว่า นายน่าจะให้โอกาสเพื่อนฉันสักหน่อยนะ ยายนั้นเป็นผู้หญิงที่ดี ฉันจะเป็นแม่สื่อให้พวกเธอเอง ผมไม่ทันได้ตอบอะไร อาจารย์ที่งุ่นง่านไมค์หน้าห้องอยู่เป็นเวลานานก็เริ่มต้นสอน



    อาทิตย์ต่อมา ผมยังคงเข้าเรียนลำพังเช่นเคย นั่งตรงที่เดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือวันนี้เธอมาพร้อมกับ เพื่อนสาวผมแดงคนที่ว่า ดูเหมือนเธอตั้งใจจะทำหน้าที่แม่สื่ออย่างที่เธอว่าจริง ๆ ในคราแรกเธอทำท่าจะให้เพื่อนคนนั้นนั่งข้าง ๆ ผม แต่หล่อนยึกยัก ท่าทางดูเขินอายเกินกว่าจะกล้ามานั่ง ผมทักทายทั้งคู่และแสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทางเหล่านั้นของสองสาวเพื่อไม่ให้พวกเธอเสียความมั่นใจ ปล่อยให้ทั้งคู่เถียงกันทางสายตา ไม่กี่วินาที เธอก็เดินมานั่งข้าง ๆ ผม และสาวผมแดงก็นั่งถัดจากเธอ เป็นอันสรุปได้ว่าเพื่อนของเธอยังไม่กล้าที่จะนั่งข้างผม เธอเริ่มต้นทำหน้าที่ของเธอแม้ใบหน้าจะขุ่นเคืองเล็กน้อย แนะนำเพื่อนสาวของเธอให้รู้จักพอเป็นพิธี หันมาขยิบตาให้ผม ผมจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำความรู้จักกับเพื่อนคนนั้นของเธอไป อาทิตย์นี้อาจารย์ไม่มีปัญหากับอุปกรณ์การสอน เราพูดคุยกันไม่กี่คำ เสียงทุ่มต่ำที่คุ้นเคยนั้นก็ดังไปทั่วห้อง


    เวลาที่คนหน้าห้องกำลังบรรยาย เธอจะตัดตัวเองออกจากทุกสิ่ง


    ริมฝีปากล่างเผยลงเล็กน้อย ผมเดาว่าน่าจะเป็นการกระทำที่ไม่รู้ตัวของเธอเวลาจดจ่ออยู่กับอะไรมาก ๆ ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องไปที่ผู้สอน ในยามปกติดวงตาเธอจะลึกลับราวกับหลุมดำที่ดึงดูดผู้คนที่สบตาเธอ แต่เวลาเธอตั้งใจกับบางอย่าง ดวงตาสีดำนั้นจะแปรปรวน เคลื่อนไหวราวกับมีพายุความคิดนับล้านแล่นอยู่ภายในนั้น ผมคิดว่าบางทีหูของเธอคงดับไปด้วย เพราะผมได้ยินเสียงของเพื่อนเธอเรียกหลายต่อหลายรอบกว่าเธอจะได้สติและหันกลับไปโต้ตอบ เธอหันมายิ้มให้ผม ผมตัดสินใจถามเธอก่อนว่าเธอชอบวิชานี้มากงั้นเหรอ เพราะเกรงว่าเธอจะกลับเข้าไปในโลกส่วนตัวของเธอก่อน เธอพิจารณาคำถามของผมไม่กี่วินาทีก่อนจะตอบ เรียกว่าคลั่งไคล้เลยน่าจะเหมาะสมกว่านะ ก่อนจะทิ้งผมและกลับเข้าไปในโลกของเธอ


    หลังเลิกเรียน เธอขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งผมไว้กับเพื่อนสาวของเธอ เราชอบนายนะ คำพูดที่ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ผมคิดไว้สักเท่าไรดังขึ้นจากริมฝีปากคนตรงหน้า ผมคิดว่าหล่อนน่าจะรวบรวมกล้าในการพูดคำนั้นออกมาพอสมควร หล่อนไม่สบตาผมแต่กลับมองลงไปที่พื้น ใบหน้าตอนขึ้นสีระเรื่อจนแทบจะกลืนไปกับสีผม เธอเดินออกมาจากห้องน้ำพอดีและได้ยินทุกคำพูด เธอหยุดอยู่ตรงนั้นราวกับไม่มีตัวตน เพื่อนสาวไม่ทันได้เห็นเธอ แต่ผมสบตากับดวงตานั้นเข้าอย่างจัง ผมหลงเข้าไปในหลุมดำส่วนตัวของเธอ แววตาสีดำสนิทตรึงผมไว้ และมองมาที่เพื่อนของเธอราวกับบอกว่า จงรับรักหล่อนซะ พร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างที่เธอชอบทำเป็นประจำ


    วินาทีนั้นผมก็รู้ตัวเลยว่า ผมได้ตกหลุมรักเธอแล้วจริง ๆ



    อาทิตย์ต่อมา เพื่อนสาวผมสีแดงของเธอบอกกับผมว่า เธอโดดเรียนไปหาแฟนหนุ่ม

    ผมนิ่งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มตอบรับราวกับเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ บุคคลคนหน้าตาที่งดงามแบบเธอมีแฟนหนุ่มไม่ใช่เรื่องแปลก มันเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออกทุกเช้า เหมือนคลื่นที่ต้องซัดเข้าฝั่ง ไม่ต่างจากฟ้าที่ร้องก่อนฝนตก หากเธอไม่มีสิถึงเรียกว่าน่าแปลก วันนั้นแม่สาวผมแดงคุยกับผมมากเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะเลิกกังวลเรื่องกลัวผมปฎิเสธ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะไม่มีเธอมาทำให้เกร็ง แต่อย่างไรเสีย สิ่งที่หล่อนพูดนั้นแทบไม่ได้เข้าหัวผมสักนิด อยากรู้นักว่าแฟนหนุ่มของเธอมันเป็นใคร มันไม่รู้หรือไงว่าเธอชอบวิชานี้ขนาดไหน มันถึงได้กล้าให้เธอไปหาในเวลานี้ สุดท้ายเมื่อหมดคาบเรียน ผมไปส่งสาวผมแดงที่หอพัก ก่อนจะขอหล่อนคบ



    หลังจากวันนั้นผ่านมาแล้วหนึ่งปี วันนี้เป็นวันครบรอบของผมกับแฟนสาว อันที่จริงผมเพิ่งจะรู้หลังจากที่เธอเปิดประตูห้องเข้ามาในตอนเช้าพร้อมกับคำว่า สุขสันต์วันครบรอบหนึ่งปี พร้อมกับหนังสือเล่มหนาที่ผมเคยบอกว่าอยากได้ ผมยังไม่ทันได้เตรียมของอะไรให้เธอด้วยซ้ำ หล่อนดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก แต่สุดท้ายเราก็รับประทานอาหารเช้าด้วยกันง่าย ๆ ร่วมรักกันหนึ่งรอบ ผมขอตัวไปทำธุระในห้องน้ำก่อนจะรีบเปิดโปรแกรมสนทนาและส่งข้อความไปสั่งดอกไม้หนึ่งช่อจากร้านที่ใกล้ที่สุด เมื่อออกมาจึงพบกับแฟนสาวที่นั่งทำหน้าจริงจังให้กับโทรศัพท์อยู่บนเตียง ยายนั้นทะเลาะกับแฟนหนุ่มอีกแล้ว เธอกล่าว เรื่องเป็นอย่างไรล่ะ ผมว่า คำพูดเดิม ๆ ของหล่อนพ่นออกมาจากริมฝีปากนั้นราวกับคัดลอกมาจากครั้งที่แล้ว หึงหวง โมโห ใช้ความรุนแรง ร้องไห้ หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมสนทนาในมือหล่อนก็ดังขึ้น ผมขอเดาว่า เข้าใจผิด ขอคืนดี ดีใจ ยกโทษให้ ซึ่งนั้นเป็นการคาดเดาที่แม่นยำที่สุด เมื่อหล่อนจบการสนทนาจากคนในโทรศัพท์ หล่อนก็หันมาพูดอย่างใส่อารมณ์ ยายนั้นควรเลิกกับแฟนหนุ่มอารมณ์ร้ายแบบนั้น! มันเป็นบ้าไปแล้วทุกคนรอบตัวก็รู้ เธอก็ยังคบกับมันมาตั้งสามปี! สามปีเชียวนะที่ยายนั้นโดนทำร้ายขนาดนั้น ไม่รู้ว่ามันมีดีอะไรเธอถึงรักถึงหลงมันขนาดนั้น นั้นสิ ไอสารเลวนั้นมันมีดีอะไร ผมนึกในใจแต่ไม่ได้ตอบคำถามของแฟนสาวออกไป


    ผมเจอกับมันครั้งแรกเมื่อสองเดือนที่แล้ว มันเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันที่โตกว่าหนึ่งปี หลังจากสอบปลายภาค เธอเสนอว่าเราควรไปเที่ยวต่างจังหวัดกันและควรชวนผมไปด้วย แฟนสาวผมเห็นด้วยกับความคิดนี้จึงมากล่าวชวน ผมที่สนิทกับเธอมากขึ้นนับตั้งแต่คบกับแฟนสาว จึงยินดีเป็นอย่างมากเมื่อเธอชักชวน ถึงวันเดินทาง ผู้ร่วมการไปเที่ยวครั้งนี้มีสองสาวที่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับเธอ เพื่อนสาวอีกคนกับแฟนเลสเบี้ยน ผมและแฟนสาวผมแดง เธอและมัน ยานพาหนะมีรถยนต์สองคัน คันหนึ่งเป็นของผมและอีกคันเป็นของหนึ่งในเพื่อนของเธอ เราจึงสรุปกันว่าคู่ของผมและเธอกับมันควรนั่งไปด้วยกัน

    มันกระโดดขึ้นนั่งข้างหน้าอย่างไม่ทักถามคนอื่น พร้อมกับบอกว่า ผู้ชายสองคนนั่งหน้าสิถูกแล้ว ผมมีทีท่าจะโต้แย้ง แต่เห็นแฟนสาวกับเธอเปิดประตูนั่งข้างหลังและไม่มีทีท่าใด ๆ ผมจึงไม่ได้ตอบอะไรไป ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เพราะหลังจากนั้น มันก็เริ่มพล่ามไม่หยุดปาก สิ่งที่มันพ่นออกมาไม่มีแก่นสารสาระใด ๆ นอกจากชื่นชมตัวเอง เหยียดรสนิยมคนอื่น พร้อมกับแดกดันเพื่อให้ตัวเองดูสูงขึ้น ไอห่านี่ เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะ ผมก่นด่าในใจ ก่อนจะพูดขัดระหว่างที่มันกำลังพล่ามถึงเรื่องไหนก็มิอาจทราบได้ว่า รบกวนเงียบหน่อย ผมไม่มีสามาธิขับรถ มันจำต้องหุบปากลงอย่างเสียอารมณ์ แต่ผมสังเกตเห็นผ่านกระจกมองหลังว่าใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มขึ้นมาจาง ๆ

    ใช้เวลาไม่นานเท่าที่ผมจะขับให้เร็วที่สุดได้ พวกเราก็ถึงที่หมาย กลิ่นของลมทะเลตีเข้าหน้าผมอย่างจังในตอนที่เปิดประตูรถ เบื้องหน้าเป็นแสงแดดยามเย็นสะท้อนกับสีน้ำทะเล แสบตาจนผมต้องเบือนหน้าหนี บังเอิญไปสบกับสายตาของคนที่เพิ่งลงมาจากประตูหลังเช่นกัน ผมสีดำที่สะท้อนกับแสงแดดจนย้อมด้วยสีส้ม ปลายผมปลิวไสวไปกับแรงลม ดวงตาที่เคยดำสนิทบัดนี้โดนแสงกลืนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ลงตัวกับชุดเดรสกางเกงขาสั้นลายสก็อตสีน้ำตาลที่เธอเลือกใส่ ริมฝีปากแดงอมส้มคลี่ยิ้มที่ทำให้กับผมเป็นประจำ ราวกับเชื้อเชิญชวนให้สัมผัส ภาพนั้นงดงามจนไม่อาจละสายตาไปได้ และยังคงติดตาผมไม่เคยลืมเลือน

    ในคืนวันนั้นพวกเราทั้งแปดชีวิตนั่งล้อมวงกันกินปิ้งย่างบริเวณระเบียงหน้าบ้านพัก ผมค่อนข้างรำคาญไอห่านั้น เพราะเมื่อมีใครสักคนพูดเรื่องอะไร ไอห่านั้นจะแทรกอย่างไรมารยาทและกดข่มด้วยคำพูด ยิ่งเหล้าเข้าปากมันยิ่งพูดไม่หยุด เธอนั่งกินเงียบ ๆ ได้สักพักแล้วตั้งแต่ไอห่านั้นเริ่มแหกปาก ส่วนผมเลิกพูดกับมันตั้งแต่ลงจากรถแล้ว มีเพียงเพื่อนของเธอและแฟนของผมที่สลับกันตอบและพูดเพื่อให้การมาเที่ยวครั้งนี้ดูไม่น่าเบื่อ ทั้งที่ในความเป็นจริงมันกร่อยตั้งแต่ตัดสินใจจะลากไอห่านี่มาแล้ว ไม่นานแฟนผมก็กระซิบกระซาบบางอย่างกับผม ใจความคือหล่อนเบื่อมันเต็มทีและต้องการไปนอนแล้ว ใจหนึ่งผมอยากที่จะอยู่เป็นเพื่อนเธอ แต่ท่าทางของแฟนผมดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเต็มที ผมจึงจำใจบอกลาคนอื่นเพื่อพาเธอไปนอน แต่ก่อนที่จะจากไป ปากหมา ๆ ของไอเหี้ยนั้นก็พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา

    เฮ้ย มึงน่ะ

    มึงชอบแฟนกูใช่มั้ย กูรู้นะ

    กูดูผู้ชายด้วยกันออกอยู่แล้วโว้ย

    ถามหน่อยดิตอนที่มึงอยู่กับแฟนกูอะ มึงอยากเอาอีนี่ไปกี่ครั้งแล้ว

    เธอจะห้ามไอเหี้ยนั้นพูดต่อ แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะผมกระชากมันขึ้นจากที่นั่งก่อนจะกระหน่ำหมัดลงไป คราแรกมัดขวาไปที่แก้มซ้ายของมัน พอมันลงไปนอนกับพื้น จึงใช้มืออีกข้างที่ไม่ถนัดอัดไปที่แก้มขวา เมื่อมันมีทีท่าว่าจะสู้กลับ ผมจึงลุกขึ้นและเตะไปทีหน้าท้องของมันอีกอย่างแรงจนมันตัวงอ ไม่มีใครห้ามการกระทำของผมราวกับทุกคนรอเวลานี้มานานแล้ว ผมเตะมันจนกระทั่งเธอรู้สึกตัวว่าควรทำหน้าที่แฟนที่ดี เธอเข้ามาห้ามผมนั้นจึงทำให้ทุกคนได้สติและจับผมแยกออกมา ปากมันยังคงพ่นสัตว์ต่าง ๆ นา ๆ ลามไปถึงการต่อว่าบรรพบุรุษผมไม่หยุด ทั้ง ๆ ที่สภาพของมันแค่ลุกขึ้นเองยังทำไม่ได้ แฟนผมฉุดแขนให้ผมเข้าไปในบ้านเพื่อสงบสติอารมณ์ ภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นคือเธอกำลังผยุงไอเหี้ยนั้นขึ้นมาจากพื้นเพื่อพาไปโรงพยาบาล

    วันต่อมา เพื่อนของเธอบอกเพียงว่าเธอกลับมาเอาของตอนเช้ามืด ไม่มีใครว่าเธอกลับยังไงหรือไปหารถจากที่ไหน อาการของมันเป็นอย่างไร รู้เพียงว่าหลังจากวันนั้นเธอก็ไม่เคยพามันมาให้คนในกลุ่มเห็นอีก นั้นจึงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอหน้ามัน



    เรื่องมีเพียงเท่านั้น แฟนผมยังคงไม่เห็นด้วยที่เธอยังคบกับมันอยู่ แต่ก็ไม่อาจละความเป็นห่วงที่มีต่อเธอได้ หล่อนจึงถามไถ่ความสัมพันธ์ของเธอกับมันเป็นระยะ ซึ่งก็ไม่ต่างจากเดิมที่กล่าวไปข้างต้น หล่อนบ่นอีกสองสามคำขณะที่กำลังใส่เสื้อผ้า หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น หล่อนอาสาไปเปิดก่อนจะพบกับดอกไม้ช่อโต ก่อนจะทำท่าทางดีใจราวกับไม่คาดคิดสักนิดว่าจะได้สิ่งนี้ ก่อนที่อาการไม่พอใจก่อนหน้านี้จะหายไปทั้งหมดราวกับคนมาส่งดอกไม้ได้นำมันกลับไปด้วย



    หลังเรียนจบ ผมบอกเลิกกับแฟนสาว

    หล่อนขอร้องอ้อนวอนขอให้ผมอยู่ ฉันผิดอะไร ฉันผิดตรงไหน ได้โปรดบอกฉัน ฉันพร้อมจะปรับปรุงเพื่อคุณ หล่อนว่า ผมตอบกลับไปเพียง ผมไม่ได้รักคุณ แทนที่จะใช้คำว่า ผมไม่ได้รักคุณแล้ว เหลือเพียง ผมไม่ได้รักคุณ เพราะในความเป็นจริง ตลอดเวลาที่คบกับหล่อนมา ผมไม่เคยรักหล่อนเลยสักนิด

    หล่อนเสียใจและพร่ำเพ้อลงโซเชียลได้ไม่นาน ข้อความเหล่านั้นก็หายไปจากหน้าไทม์ไลน์ของผม มารู้ทีหลังว่าหล่อนบล็อคผมไปเรียบร้อย เพราะผมเริ่มไม่เห็นโพสของเพื่อนสนิทรอบตัวของหล่อนด้วยเช่นกัน


    ยกเว้นแค่เธอ


    หลังเรียนจบ ผมยืนแฟ้มผลงานสมัครงานไปกับบริษัทที่ขึ้นชื่อด้านการออกแบบแห่งหนึ่ง ผมได้เข้าทำงานและเงินเดือนก็ดีอย่างไม่น่าเชื่อ และสิ่งที่น่าประหลาดใจกว่าเดิมคือเธอได้ตำแหน่งงานในธนาคารแห่งหนึ่งซึ่งไม่ตรงกับสายที่เธอจบมาสักนิด และสำนักงานของธนาคารที่ว่านั้นก็เช่าตึกอยู่ที่เดียวกับที่ทำงานของผม เราเจอกันบ่อยขึ้น กลายเป็นว่าเวลาเที่ยงเมื่อถึงเวลาพัก เราจะมาหาร้านนั่งกินข้าวด้วยกัน การที่ผมเลิกลากับแฟนเก่าของผมที่เป็นเพื่อนสนิทกับเธอนั้นไม่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราสั่นคลอนเลยสักนิด ซ้ำยังลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น วันหนึ่งเมื่อกลางดึก เธอมาหาผมที่คอนโด กุญแจสำรองที่ผมเคยให้เธอเก็บไว้ถูกไขเข้ามาในห้อง ใบหน้าเธอเบื้อนด้วยน้ำตาและแผลฟกช้ำที่ยังคงแดงอยู่ และคงจะม่วงในเวลาไม่ช้า ผมเลือดขึ้นหน้า เธอกางแขนกั่นไม่ให้ผมออกจากห้อง เสียงที่ออกจากริมฝีปากช้ำเลือดนั้นมีเพียง เขาเลิกกับฉันแล้ว เขาทิ้งฉันไปแล้ว เขาไปแล้วผมทนไม่ได้ คว้าใบหน้าเธอมาก่อนจะแนบริมฝีปากลงไป


    พวกเราร่วมรักกันเป็นครั้งแรก เธอไม่ต่างจากจินตนาการที่ผมเคยคิดไว้เวลาช่วยตัวเองเลยสักนิด เว้นเสียแต่เพียงรอยช้ำบนใบหน้าที่เริ่มม่วง กับร่องรอยแผลเป็นตามลำตัวมากมาย หลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์เราไม่ได้แย่ลง เรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน สิ่งที่มีเพิ่มเติมคือเราร่วมรักกันบ่อยครั้งขึ้น ทุกครั้งที่เธอคิดถึงแฟนเก่า ไอห่านั้นแหละ เธอจะไขกุญแจห้องผม ไร้ซึ่งคำพูดใดก่อนที่จะจบลงที่เตียงเมื่อถึงยามเช้าทุกครั้ง สิ่งเหล่านี้ดำเนินต่อไปจนกินเวลาจากแรมเดือนกลายเป็นปี


    ผมไม่อาจทราบได้ว่าเธอคิดอย่างไรกับผมจริง ๆ กันแน่ ครั้งหนึ่งหลังจากร่วมรักกับเธอ ผมลองเปิดรูปสาวผมแดงผู้เป็นเพื่อนของเธอและแฟนเก่าของผมให้เธอดู แล้วใช้คำพูดราวกับยังมีใจให้ เธอกล่าวว่า เอาเลยซิ่! พ่อหนุ่ม ความจริง เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันเพิ่งพูดคุยกับหล่อนมา หล่อนยังรักนายอยู่นะ น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งวี่แววการประชดประชัน ความเศร้าหรือความโกรธ หลุมสีดำสนิทขนาดย่อมมองมาที่ผมเพื่อย้ำถึงความจริงใจในคำพูด ผมได้แต่หวังว่าวันนั้นเมื่อเธอกลับไป เธอจะไปนั่งร้องไห้เพราะต้องทนฝืนพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับใจบ้างสักนิด


    เสียงเปิดประตูดังขึ้น แต่ในครั้งนี้ไม่ใช่ห้องของผม แต่เป็นห้องของเธอ ผมไขกุญแจสำรองที่เธอเคยให้ไว้ ก่อนจะเข้าไปในห้องอย่างถือวิสาสะ เธอประหลาดใจเล็กน้อยเพราะโดยปกติเธอจะไปห้องผมเสียมากกว่า ห้องของเธอนั้นมีแต่เฟอร์นิเจอร์เก่า ๆ ช่างแตกต่างจากห้องสไตล์มินิมอลที่กำลังเป็นที่นิยมแบบที่พวกเพื่อนสาวของผมชอบถ่ายลงอินสตาแกรม เธอเคยให้เหตุผลว่าเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นของเธอมีความทรงจำ เธอทิ้งมันไม่ลงหรอก หลังจากร่วมรักกันวันนั้น ระหว่างที่ผมเขี่ยผมยาวสีดำนิทของเธอเล่น ผมตัดสินใจถามเรื่องสถานะระหว่างเรา ฉันชอบคุณนะ เธอพูด ดวงตาสีดำสนิทที่ผมหลงไหลมาตลอดจ้องตอบไม่หลบสายตา ฉันชอบคุณมาก แต่ไม่ได้ชอบขนาดนั้น

    ได้โปรดฟังฉันก่อนที่คุณจะอารมณ์เสีย จำได้หรือไม่ที่คุณเคยถามฉันว่าเพราะเหตุใดถึงเลิกลากับคนรักเก่า เหตุผลนั้นคือเขาพลาดท่าไปทำให้ลูกสาวของคนใหญ่คนโตท้อง ฉันรู้มาตลอดว่าเขาคบใครอีกคนอยู่ แต่ฉันเลิกรักเขาไม่ได้ ทุกครั้งที่เขาทำร้ายร่างกายของฉัน ฉันเสียใจจนเจียนตาย แต่ทุกครั้งที่เขามาขอคืนดีพร้อมกับช่อดอกไม้และหนังสือเล่มที่ฉันอยากได้ ฉันกลับรักเขาเพิ่มมากขึ้นทุกครั้ง เขามีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์และการกระทำ เราเคยเปิดใจคุยกันหลายครั้งแล้ว ความเป็นจริง เขาดีขึ้นจากปีแรกที่เราคบกันด้วยซ้ำ เธอหยุดพูดราวกับพยายามสะกดไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ฉันเคยก่นด่าพ่อที่ชอบทำร้ายฉันเมื่อวัยเด็ก แต่สุดท้ายฉันก็โตมาเหมือนกับแม่ ฉันพยายามที่จะคบผู้ชายดี ๆ แล้ว พยายามแล้วจริง ๆ สุดท้ายคนที่ทำให้ฉันมีความสุขกลับเป็นผู้ชายประเภทที่คุณเรียกว่า ไอห่านั้น กลับมีแต่คนแบบนั้นที่เติมเต็มฉันได้ คุณคิดว่าจะเป็นคำสาปของตระกูลฉันหรือเปล่า จึงทำให้ผู้หญิงทุกคนของตระกูลนี้ตกหลุ่มรักแต่ผู้ชายเลว ๆ

    ในวันนั้นผมไม่ได้ตอบคำถามของเธอ ผมลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้า ผมตั้งใจบรรจงใส่อย่างเชื่องช้า หวังว่าจะมีคำพูดบางอย่างรั้งให้ผมอยู่ต่อ แต่ทุกสิ่งมีเพียงความเงียบ เธอไม่ได้จับจ้องไปที่ไหนอย่างเจาะจง ริมฝีปากล่างเผยลงเล็กน้อย ในดวงตาเริ่มก่อตัวเป็นพายุ จนกระทั่งผมทิ้งกุญแจสำรองไว้ที่โต๊ะของเธอ ก่อนจะเปิดประตูและเดินออกไป ผมเห็นดวงตาสีดำสนิทมองมาที่ผมอย่างว่างเปล่าเป็นครั้งสุดท้าย




    ผมได้พบกับแฟนคนปัจจุบันของผมที่ทำงานเดียวกัน หลังจากที่ผมเลิกกินข้าวกลางวันกับเธอมาหนึ่งเดือน หล่อนเดินมาหาผมพร้อมกับยืนข้าวกล่องมาให้ เป็นการกระทำที่น่ารักเสียจนทำผมใจเต้นไปชั่วครู่ เราคุยกันอีกประมาณหนึ่งเดือน ก่อนที่หล่อนจะเป็นฝ่ายขอผมคบ หล่อนขอตั้งสถานะและโพสรูปลงบนโซเชียล ให้เหตุผลว่าหล่อนไม่ชอบคบกับใครแบบปิดบัง ผมไม่เคยมีปัญหากับเรื่องนี้จึงไม่ได้ห้ามปราม เธอมากดถูกใจให้กับความสัมพันธ์ในครั้งใหม่ของผม พร้อมกับแสดงความคิดเห็น ยินดีด้วยนะ


    ไม่นาน ผมได้ยินเรื่องของเธอผ่านเพื่อนของผม เธอมีแฟนหนุ่มคนใหม่แล้ว ท่าทางนิสัยไม่ต่างจากคนเก่าของเธอ เธอเป็นคนไม่ค่อยเล่นโซเชียล จึงเป็นเรื่องยากของคนที่อยากจะรู้เรื่องส่วนตัวของเธอ ล่าสุดผมเพียงเห็นใบหน้าเธอผ่านไทม์ไลน์ สีภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของกล้องฟิล์ม คำบรรยายภาพผมจับใจความได้เพียง ไอห่านั้นคนใหม่ของเธอเป็นคนถ่ายให้ ผมสีดำสนิทโดนตัดสั้นจนเหลือแค่ประบ่า ดวงตาสีดำที่กระทบกับแฟลชกล้องสะท้อนออกมาเป็นสีน้ำตาลเข้มทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาที่เราไปเที่ยวทะเลด้วยกัน ดวงตานั้นยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดี ตรึงผมให้หลงลงไปในหลุมดำขนาดย่อมนั้น


    เสียงเปิดประตูดังขึ้น เสี้ยวหนึ่งของความคิดผมหวังให้เธอเป็นผู้ไขเข้ามา



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in