บอกได้แค่ว่าเป็นถนนเส้นที่วิ่งเข้าสยามและมีขายกล้วยแขกตรงสี่แยกตอนรถติดไฟแดงแค่นั้น
วันที่ตัดสินใจไปเที่ยวย่านชุมชนนางเลิ้ง By Trawell
ห้วงมโนแรก...งานจิตอาสาต้องมา ความติสท์ต้องมี
Nostalgia เบาๆ ย้อนวัยสมัยเรียน Survey of Thai Art
เดินตะลอน ถ่ายรูป ศึกษาศิลปะวัฒนธรรม สวยๆ
คืนก่อนไป นี่ก็เตรียมตัว นั่งจัดข้าวจัดของ มโนไปตามเรื่องตามราว
เตรียมสมุดสเก็ชและดินสอ ใส่ไว้ในกระเป๋าผ้าอย่างดี กูมั่นใจมันต้องชิล ...
พอถึงวัน ตื่นสาย เหลือเวลาขับรถประมาณ 15 นาที ยังคงมั่นใจ ไปทัน
เส้นนี้ขับประจำ สบายมากกกก
ภาพตัดมาในรถ/ อีชิบหาย ที่นี่ที่ไหน จอดรถยังไง ถนนซับซ้อนมาก ขับวนไปค่ะ ...
มีความไปถึงช้า เค้าจับกลุ่มกันแล้ว รู้ยัง??
สตาฟก็เร่งแบบสุภาพ
"รีบไปไหว้พระเป็นสิริมงคลนะคะ ...โชคดีมาทันจุดแรกไม่งั้น อดไหว้พระพร้อมกันเลย"
เริ่มต้นจุดแรกที่ "วัดแค" เป็นวัดในชุมชนนางเลิ้งที่ปัจจุบันผู้คนจะมารวมตัวเวลามีกิจกรรม
สอดคล้องตามขนบเดิมของไทย ก็ถือเป็นตัวเลือกจุดเริ่มต้นที่ดีในหลายด้าน เช่น ด้านโลเคชั่น เพราะจากจุดสำคัญของชุมชนยังไงก็มักจะมีเส้นทางสะดวกในการไปจุดอื่นๆ
ในด้านการลำดับกิจกรรม นั้นก็ดีเริ่มดี สตอรี่ก็มา วัดถือเป็นจุดศูนย์กลางชุมชนที่สามารถเชื่อมโยงเรื่องราวเข้ากับจุดอื่นๆได้อีกแทบจะทุกจุด
แต่ที่เราชอบมากจะเป็นด้านความรู้สึก เพราะด้วยปัจจุบันมีโอกาศน้อยมากที่จะได้มาวัดตอนเช้า แล้วบริบทในชุมชนมันส่งเสริมกัน (มีคนขายน้ำเต้าหู้ที่มุมนั้น มีคนนั่งกินกาแฟที่มุมโน้น)
ทำให้บรรยากาศมันยิ่งอบอุ่น อีกอย่างมันก็ช่วยเสริมเรื่องความเชื่อแบบไทยๆ หรือที่บางคนเรียกว่ากุศโลบาย ว่าการเข้าวัด ได้สวดมนต์ไหว้พระนั้นเป็นศิริมงคล ดังนั้นการที่ได้ไหว้พระ ดึงสติกันแต่เช้าก็ทำให้วันนั้นเป็นวันดี :)
ที่วัดนี้มีภาพจิตรกรรมฝาผนังสวยงามพึ่งบูรณะเสร็จ และมีงานปั้นนูนต่ำบริเวณผนังวัดด้านนอกที่แสดงถึง Cycle of life แบบคลาสสิก ส่วนตัวชอบมาก เพราะสะท้อนแนวคิดกระแสหลักของสังคมแบบชัดเจน (ถ้าสังเกตุดูงานปูนปั้นนี้จะนำเสนอผ่าน "เพศชาย" เป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก)
นอกจากนั้นวัดแคยังเป็นสถานที่เก็บอัฐิของคุณมิตร ชัยบัณชา
นักแสดงชื่อดังในยุคคุณพ่อคุณแม่ ผู้ที่พาพวกเราลุยชุมชนหรือเป็นไกด์ท้องถิ่นก็คือคุณลุงคุณป้าในชุมชนนี่แหละ เมื่อถึงจุดที่เก็บอัฐิ คุณลุงได้พูดถึงคุณมิตรด้วย แต่ในด้านที่เขาเคยสัมผัส
ซึ่งมันน่ารักตรงที่เราเห็นประกายในตาเขาด้วยเวลาที่เขาพูด มันไม่เหมือนพูดถึงดารานะ มันเหมือนเวลาเราพูดถึงเพื่อนที่เราคิดถึงมากกว่า :D
พอจากจุดนี้ไปจะแบ่งกลุ่มกันเพื่อสลับ Route การท่องเที่ยว
กลุ่มของเราได้ไปต่อที่ "บ้านนางเลิ้ง" เป็นจุดที่คล้ายๆ Tourist Information
มีข้อมูลโดยสังเขบของย่านนี้ มีจัดกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย
นำโดยป้าแดง บรรยายเกี่ยวกับนางเลิ้งให้เราฟัง และอธิบายว่าทำไมอยู่ๆถึงจะทำให้มันเป็นชุมชนที่คนเข้ามาเที่ยวกันได้ ซึ่งก็ชอบอีก ชอบพลังคุณป้าแดง ชอบการลงมือทำจริง และเห็นผลที่เกิดขึ้นจริง
พอจากจุดนี้ไปจะเป็น "บ้านเต้นรำ" ทางชุมชนจัดเป็นนิทรรศการเก่ี่ยวกับวัฒนธรรมการเต้นลีลาศ ถ้าสนใจสามารถเรียนเต้นลีลาศกันได้ เราก็ชมงานไปเพลินๆ อาคารบ้านเต้นรำเค้าตกแต่งน่ารักดี มีกิมมิคที่เห็นแล้วแอบยิ้ม เช่น เอาเทปคาสเสตโปร่งแสงเก่าหลายๆสีมาทำเป็นผนังตรงช่องกั้นลมเหนือประตู และจัดวางโมเสกกระเบื้องที่พื้นเป็น Dance Move ต่างๆ จำไม่ได้ว่าหน่วยงานไหนออกแบบและปรับปรุงอาคารให้ แต่ทำได้น่ารักดี ชอบ
หลังจากนั้นได้เข้าไปเยี่ยมชม พูดคุยกับ "คณะละครจงกล โปร่งใส" คณะละครชาตรี
ที่มีครูหมูซุปเปอร์วูแมน รับสอนเยาวชนในชุมชนเล่นละครชาตรี เพื่อให้น้องๆสามารถใช้ทักษะเป็นความสามารถพิเศษในการสร้างทางเลือกในการศึกษาต่อ หรือขอทุนการศึกษา หรือเป็นอาชีพได้ โดยเด็กๆที่สนใจเรียนละครชาตรี ก็สามารถเรียนได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ฟังแล้วประทับใจ (อีกแล้ว ทำไมกูประทับใจอะไรเยอะจัง 555)
แล้วก็ไปดูการทำชุดโขน ปักลายชุดโขนที่ "บ้านนาราศิลป์" พี่เจ้าของบ้านอัธยาศัยดีมาก ชวนดูนู่นนี่ คุยสนุกเลยคิดว่าถ้าใครต้องการข้อมูลเรื่องเครื่องแต่งกายโขน มาที่นี่น่าจะได้อะไรกลับไปเยอะ
นี่ก็ไม่ได้อะไรเป็นพิเศษกับโขน จำได้ว่าเคยไปชมโขนครั้งนึง สนุกมาก
หลับสนุกเลย ไม่แน่ใจว่าหัวหรือใบพัดเฮลิคอปเตอร์ สัปหงกแบบ ควงคอ 360 องศา ...
ไปต่อที่ตลาดบกแห่งแรกในประเทศไทย "ตลาดนางเลิ้ง"
.
.
ไหนคือความชิล !!!!!!
สมุกสเก็ช ดินสอ นอนแห้งในกระเป๋า
ตัวเองตอนนี้ก็เยินมาก ร้อนมาก หิวมาก ถึงจุดวิกฤต
คนอื่นในทริปเริ่มแยกย้าย หาของกิน
Me/ร้านไหนมีแอร์บ้าง
เจอร้านบะหมี่หมูแดงซอยข้างตลาดมีแอร์โอเค ร้านนี้แหละ (*อร่อยด้วย*)
ก็กลับมารวมตัวเดินตลาดต่อ เค้าจะมีร้านที่เป็นตัวเด็ดอยู่ พาไป 2 ร้าน
เริ่มจากร้านแรก "ร้านสาคูข้าวเกรียบปากหม้อ"
ได้ชม ชิมและแน่นอนค่ะ ทริปล้วงลูกแบบนี้ต้องได้ ลองทำ
มีแบ่งกันไปทำสาคูกับข้าวเกรียบปากหม้อ แน่นอนว่าเราต้องเลือกอะไรที่ดูสลับซับซ้อน
ถ้าเป็นเกมนี่มักจะเลือก Advance Mode เสมอ ใครใคร่ทำตัวเหมือนกัน
นี่ขอเตือนตั้งแต่ตรงนี้
ไอน้ำร้อนชิบหายเลยนะคะมึง!!
ซื้อกินแหละ อร่อย จบ.
ไปร้านต่อไป "ร้านขนมถ้วยตะไล" ทำตามวิธีโบราณค่ะ ใช้กะลามะพร้าวเจาะรูหยอดขนม
ขนมนึ่งด้วยซึ้ง ไอน้ำลอย นี่ยืนไกลยังรู้สึกร้อน
สตาฟมองมายิ้มให้ มีให้ลองทำอีกแล้วนะคะ ...
Me/เหลือบมองมือแดงๆจากการปาดข้าวเกรียบปากหม้อ ยิ้มกลับแล้วตัดสินใจ
หยิบไม้พายตั้งท่ารอแคะขนมกิน...
คุณพระ อร่อยชิบหาย ดีต่อใจมากกกกกกกกกกกกกก
สามารถพูดได้เต็มปากว่านี่คือ
"ขนมถ้วยตะไลที่อร่อยที่สุดในกรุงเทพฯ"
(The best Kanom Tuay in Bangkok)
เราเจอแล้ว ขนมถ้วยที่ชั้นกะทิไม่ได้จืดจนไม่มีรสหรือเค็มเกินไป
ชั้นใบเตยไม่มีสัมผัสพลาสติก เหนียวไร้รสชาติ
ของจริงต้องแบบนี้!!
ชั้นกะทินิ่มแต่มีความคงตัว หอมกลิ่นกะทิ เค็มนำหวานตาม เป็นรสเค็มแบบติดลิ้นนิดๆ ส่วนชั้นใบเตยสัมผัสนุ่มหนึบ หอมใบเตยและค่อนข้างหวาน พอทานคู่กันคือดี ! คือดีมาก ! แล้วยิ่งทานตอนอุ่นๆนะ
โอเค ทิ้งชั้นไว้ตรงนี้ ไปเที่ยวกันเลย ขอบคุณสำหรับทริป 5555555
แต่ไม่ได้ค่ะ อย่าเห็นแก่กินค่ะ ไปต่อ ...
โปรแกรมสุดท้ายของวันนี้ "ศาลาเฉลิมธานี" แหล่ง Hang out ในอดีต ซึ่งปัจจุบันทรุดโทรมมากไม่สามารถเข้าไปชมภายในได้ รอการบูรณะ ดังนั้นก็เลยได้ชมละครชาตรี จากคณะละคะจงกล โปร่งใส
ที่ลานหน้าศาลาเฉลิมธานีแทน
ละครชาตรีที่ได้ชม เอาจริงๆ การแสดงก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ หรือพร้อมเพรียงกันเป็นพิเศษ
แต่สิ่งที่เราเห็นมันกลับสร้างอะไรบ้างอย่างที่มันมีค่ามากกว่าแค่ความเพลิดเพลิน
ข้อดีของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หรือท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมันมีเยอะมาก
และเราก็ยอมรับว่า "มันไม่แปลกหรอกที่คนในชุมชนจะอยากลุกขึ้นมาปรับปรุงชุมชนของเค้า
เพราะเขาเองก็ได้รับผลประโยชน์จากสิ่งที่เขาทำ มันไม่ได้ต่างจากการที่เขาทำเพื่อตัวเอง"
แต่บางสิ่งที่บังเอิญเจอระหว่างเดินเล่นครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่ามันจะสร้างกันขึ้นมาได้โดยง่ายสักเท่าไหร่
ที่เคยได้ยินว่า พลังด้านบวกมันส่งต่อกันได้ มันคงจะจริง เพราะอยู่ดีๆก็รู้สึกมีแรง
อยากทำอะไรดีๆแบบนี้ขึ้นมาบ้าง
แรงที่เค้าสร้างมันคงจะเรียกว่า แรงบันดาลใจ.
ส่วนพลังที่ขับเคลื่อนนั้น คิดว่าคงไม่ได้มาจากพลังกายอย่างเดียว
ก็หาคำตอบกันต่อไป :)
สรุป.
นางเลิ้งไม่ได้มีขายแค่กล้วยแขก
มี "ขนมถ้วยตะไล" ที่อร่อยที่สุดในกรุงเทพด้วย!
จบ/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in