เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Everything Sweden : ตัวอยู่ไกล ใจอยู่สวีเดนMaya Jett
My Life in Sweden - ชีวิตงงๆ ในสวีเดนช่วง Pandemic
  • กลับมาอีกครั้งหลังจากไม่ได้มาเขียนในนี้นานมาก ใครยังงงๆ ว่าเราคือใคร หรือเราเคยเขียนอะไรมาก่อน ลองเข้าไปดูบทความต่างๆ ได้ที่นี่ ที่มีตั้งแต่เรื่องสวีเดน เรื่องความรัก เรื่องทั่วไปกึ่งๆ จิตวิทยาหน่อยๆ เรื่องเพลง อ่านเพลินๆ ได้เสมอจ้า 

    วันนี้อยากจะมาเล่าเรื่องชีวิตในสวีเดนหลังจากเรียนจบ ป.โท มาได้สักพัก แถมยังจบในช่วงโควิด บอกเลยว่าตอนที่จบคือไม่แฮปปี้เลย ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่เศร้าและต้องเจอแต่ความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก เนื่องจากเป็นนักเรียนสาย art ที่แน่นอนว่าถ้าเรียนจบ จะต้องมี exhibition โชว์งานอลังๆ ของตัวเอง แต่พอโควิดมาทุกอย่างก็โดนระงับ รวมไปถึงงานเลี้ยงการจบการศึกษาและปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ที่รักด้วย :( 

    ถ้าจะเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงโควิดมาอาจจะยาวไป ถ้างั้นบทความนี้ขอเล่าแค่คร่าวๆ สำหรับช่วงนี้ก็แล้วกัน...

    โควิดในสวีเดนแบบงงๆ อิหยังวะ

    เซลฟี่ที่ห้องน้ำมหาลัยช่วงโควิดมาใหม่ๆ แบบอิหยังวะ

    ด้วยความที่อยู่สวีเดนมาเกือบ 3 ปี ก็รู้สึกว่าประเทศนี้มีความชิลและเนิบๆ ซึ่งก็ไม่ได้แย่อะไร แต่พอมีโควิดเข้ามาก็แอบรู้สึกว่า... เออ มึงเนิบไปป่ะ? เพราะเท่าที่เรามีเพื่อนอยู่ในยุโรปที่ไม่ใช่สวีเดน เค้าเริ่มใส่แมสก์กันตั้งแต่โควิดมาแรกๆ แล้ว ซึ่งมันก็เป็นมาตรการปกติ และเป็น mind set ของคนปกติทั่วไป (อ่ะ อาจมีช่วงแรกๆ ที่ชาวยุโรปยังต้องปรับตัวกับการเห็นคนใส่แมสก์และการที่ตัวเองจะต้องใส่แมสก์หน่อย แต่ซักพักพวกเค้าก็ปรับตัวได้) แต่ที่สวีเดนเพิ่งจะมีมาตรการ "ขอความร่วมมือ" ให้ใส่แมสก์เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเอง และมาตรการนั้นก็ยังมีการกำหนดช่วงเวลาที่แนะนำให้ใส่ด้วย นั่นก็คือช่วง rush hour และแนะนำให้ใส่เมื่ออยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ เช่น บนรถสาธารณะ 

    นอกจากจะมีมาตรการที่หลวมๆ แล้ว เราก็แอบงงกับไมน์เซ็ตของคนที่นี่ก็คือ หลังจากมีมาตรการใส่แมสก์ ผู้คนใส่กันมากขึ้นก็จริง แต่พอวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ ทำไมคนมันใส่แมสก์กันน้อยลงวะ!? อันนี้คืออิหยังวะมาก แล้วเราก็เอาไปพูดกับเพื่อนแบบงงๆ ว่า เออ... เค้าคงคิดว่าเชื้อโรคมันหยุดเหมือนกันมั้ง 555 ซึ่งสุดท้ายแล้วเราก็ไม่สามารถไปบังคับใจใครให้ใส่หรือไม่ใส่ได้ ดังนั้นการเอาตัวรอดที่นี่ก็คือต้องป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด เราใส่แมสก์ทุกวันและใส่ตลอดเวลาที่อยู่ข้างนอก จะถอดบ้างก็ต่อเมื่อได้ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะที่มีคนน้อยๆ หรือไปเดินป่า ธรรมชาติต่างๆ ที่ได้สูดอากาศสดชื่นบ้าง นอกจากนั้นเวลาไปไหนทำอะไรก็ต้องไม่ลืมที่จะใช้เจลแอลกอฮอลคอยล้างมืออยู่บ่อยๆ (แต่ล้างแอลกอฮอลบ่อยมือก็แหกเช่นกัน ต้องพกครีมทามือควบคู่ไปด้วย) 

    ส่วนเรื่องโควิด ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีคนรอบตัวติดกันไปหลายคน และอาจพูดได้ว่าเป็นจำนวนมากเลยก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะความชิลของสวีเดนที่ทำให้เราชินไปด้วยหรือว่าคนรู้จักพวกนี้ไม่ได้มีอาการป่วยร้ายแรง พอหายแล้วก็กลับมาทำงาน ทำอะไรได้ปกติ ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าโรคนี้ใครๆ ก็เป็นได้ และติดกันง่ายเหมือนกัน และถ้าเกิดว่าเราเป็นจริงๆ ก็คงต้องทำใจ และรู้ว่ามันจะต้องหาย แต่ทั้งนี้ก็พยายามระวังอยู่เสมอ และตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงวันนี้ เราตรวจโควิดไปทั้งหมด 3 ครั้ง รวมถึงตรวจแอนติบอดี้ ก็ยังเป็น negative ทุกครั้ง และจะพยายามไม่พาตัวเองไปอยู่ในที่เสี่ยงและติดโรคมาได้ เพราะถ้าเป็นโควิดขึ้นมาจริงๆ อาจจะลำบากเพราะเช่าบ้านอยู่กับคนอื่น และไม่รู้ว่าถ้าเราป่วยเป็นโควิดจริงๆ เพื่อนร่วมบ้านจะรู้สึกยังไง การติดโควิดที่สวีเดนถ้าหากไม่มีอาการป่วยร้ายแรงจะต้องดูแลรักษาตัวอยู่ที่บ้านโดยการหายามากินเอง ดูแลตัวเองดีๆ กักตัว 14 วันก่อนจะแข็งแรงและกลับไปเรียนหรือทำงานได้ตามเดิม

    งดก็คือยังทำได้อยู่

    รูปจากตอนปิกนิคเลี้ยงวันจบป.โทกับเพื่อนที่มหาลัย ที่สวนสาธารณะ
    ยังดีหน่อยที่สวีเดนยังไม่เคยประกาศ lockdown อะไรทั้งสิ้น และร้านรวงต่างๆ ยังเปิดอยู่ตามปกติ เพียงแต่จำกัดเวลามากขึ้น เช่น ร้านอาหาร (น่าจะรวมถึงบาร์ต่างๆ ด้วยมั้ง) ทุกร้านจะต้องปิด 20.00 น. หรือสองทุ่ม แต่ก็ยังแอบได้ยินมาบ้างว่าบางร้านยังแอบเปิดต่อ หรือแอบปิดแต่ก็แอบเปิดต่อ งงป่ะ งงเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงไม่จริงแค่ไหน และส่วนมากจะมีป้ายติดหน้าร้านว่าในร้านจะจำกัดคนเข้าได้กี่คน ซึ่งก็ดีเหมือนกัน แต่ก็ยังเห็นหลายๆ ที่ไม่ได้ทำแบบนี้ เช่น คาเฟ่ที่เราไปมากับเพื่อนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา คนเข้าเยอะมาก แบบแออัดเลย ก็งงๆ เหมือนกันว่าปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้ยังไง

    แต่พอมีโควิดมา ต่อให้ร้านที่เราเคยไปจะยังเปิดอยู่แบบจำกัดเวลา ด้วยความปลอดภัยนั้นเราก็เลยไม่ค่อยได้นัดเพื่อนออกไปไหนเท่าไหร่ โดยเฉพาะไปดริ้งค์เบียร์กันที่บาร์ที่ชอบไปกัน รู้สึกว่าไม่ได้ไปอะไรแบบนั้นมานานมากแล้ว แต่ถ้ามีร้านไหนที่ดูสะอาดและมีเพื่อนที่ไม่ได้กลัวโควิดมากอยากจะไป เราก็ยังไปอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ตามโอกาส สิ่งที่น่าเสียดายอีกเรื่องคือมิวเซียมส่วนมากก็ปิดกันหมด เลยรู้สึกว่าช่วงเวลาแห่งโควิดเนี่ยทำให้เราเหงาหงอยและพลาดโอกาสในหลายๆ อย่างไปเยอะมากๆ 

    Theilska Gallery, Stockholm

    เมื่อวันศุกร์ที่แล้วเราทนไม่ไหว พอมีวันหยุดก็เลยนัดเพื่อนไปแกลเลอรี่ที่นึงที่ยังเปิดในช่วงโควิดอยู่ พอได้ไปก็พบว่าคนมาดูงานศิลปะเยอะกว่าที่คิด และส่วนใหญ่เป็นคนแก่ด้วย แต่อย่างน้อยเราก็รู้สึกดีที่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ช่วงนี้อากาศกำลังอุ่นขึ้นและแสงแดดเพิ่งจะกลับมาหลังจากหน้าหนาวอันโหดร้ายและยาวนานของสวีเดน เลยทำให้คนอยากออกข้างนอกมากขึ้นด้วยแหละ 

    แดดออก = มีความสุข

    Summer in Sweden, 2020

    เนื่องจากสวีเดนเป็นประเทศที่มีระยะเวลาแห่งความหนาวมากที่สุด และขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่หนาว จำได้ว่าช่วงเดือนธันวาที่ผ่านมาเป็นเดือนที่ไม่มีแสงแดดแม้แต่วันเดียว ลองคิดดูว่าจะหดหู่ขนาดไหนอ่ะ 5555 ดังนั้นช่วงนี้เมื่ออากาศอุ่นขึ้น (จากติดลบก็อุ่นขึ้นมาเป็นประมาณ 3-10 องศา ซึ่งหลังจากอากาศติดลบมานาน วันไหนอากาศมากกว่า 7 องศาก็คือรู้สึกร้อนแล้วอ่ะ งงเว่อร์) และแสงอาทิตย์มาพบปะประชาชนมากขึ้น เลยทำให้ทุกคนออกจากบ้านมากขึ้นและทำตัวเหมือนหน้าร้อนมาถึงแล้ว เช่น นั่งคาเฟ่ด้านนอก ใส่แว่นกันแดด ออกมาวิ่งเล่นเฮฮา ปิ้งบาร์บีคิว ต่างๆนานา ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ก็ทำให้ผู้คนมีชีวิตชีวาและมีความสุขมากขึ้น จากที่อยู่สวีเดนมาได้สักพักก็ต้องยอมรับว่าบรรยากาศช่วงหน้าร้อนคืออะไรที่มีความสุขที่สุดแล้ว ดังนั้นพอช่วงนี้มีบรรยากาศที่มีกลิ่นอายคล้ายหน้าร้อนมันก็ทำให้หัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูกแม้จะยังมีโควิดอยู่ก็ตาม

    เมื่อวานเพื่อนจากมหาลัยนัดออกไปเดินเล่นกัน หลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมาพักใหญ่เพราะโควิด เราเพิ่งรู้ว่าบ้านใหม่ที่เราเพิ่งย้ายมาอยู่ใกล้มหาลัยของตัวเองมาก และรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เจอบ้านนี้ตั้งแต่ตอนเรียน ป.โท เพราะตอนนั้นบ้านอยู่ไกลและต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงเพื่อเดินทางมาเรียน แต่เมื่อวานพอเพื่อนนัดไปร้านกาแฟแถวมหาลัย เราเลยลองเดินจากบ้านตัวเองไป เดินไปแค่ไม่ถึงสิบนาทีก็เพิ่งรู้ว่าเนี่ยมันทางเดียวกับทางที่เคยออกมาเดินเล่นช่วงพักเที่ยงที่มหาลัยเลย พูดแล้วก็คิดถึงสมัยเรียนจริงๆ ถึงแม้ว่าเพิ่งจะจบมาได้ไม่ถึงปี แต่เพราะโควิดทำให้เรารู้สึกห่างไกลจากเพื่อนเก่าและหลายๆ คนที่เคยสำคัญในชีวิตมากเลย

    เราชอบชีวิตที่สวีเดนอย่างนึงคือเป็นประเทศที่ไม่ว่าจะไปอยู่เมืองไหน หรือแม้กระทั่งเมืองหลวงอย่างสตอกโฮล์ม เราก็สามารถใกล้ชิดกับธรรมชาติได้เสมอ เพราะทะเลสาปเอย ป่าไม้เอย กระต่าย กวาง นก อะไรที่เป็นธรรมชาตินั้นอยู่ใกล้เราแบบไม่ต้องนั่งรถไปไกล รวมถึงอากาศที่หนาวเย็นตลอดเลยทำให้เราสามารถเดินไปไหนมาไหนได้สะดวกและสดชื่น ตั้งแต่มาอยู่สวีเดนเราเดินเยอะกว่าอยู่ไทยมาก เพราะประเทศไทยร้อนและไม่เหมาะแก่การเดินไกลเป็นกิโลๆ มาอยู่สวีเดนเราเดินอย่างต่ำคือวันละ 2 กิโลเมตร วันไหนเดินเยอะหน่อยก็ 5-6 กิโลเมตร ยิ่งฤดูใบไม้ผลิ หรือหน้าร้อนก็จะยิ่งสวยเพราะมีดอกไม้หลายชนิดขึ้นตามทาง หรือไม่ก็ช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่มีใบไม้เปลี่ยนสีถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนในนิทาน 

    เป็นคนคลั่งรัก (ตัวเอง)

    เปลี่ยนดอกไม้ในห้องทุกอาทิตย์

    ตั้งแต่โควิดเข้ามา เราได้ยินมาจากหลายคนมากว่ามันเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างคนไปมาก ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบใดก็ตาม แรกสุดเลยคือช่วงนั้นเรากำลังจะเรียนจบ พอมีมาตรการมาใหม่คือปิดมหาลัย ทำให้เราไม่สามารถเจอเพื่อนได้เหมือนเดิม เจอครูก็ไม่ได้ กลายเป็นว่า new normal ของตอนนั้นก็คือการเรียนและคุยกันผ่าน zoom แบบงงๆ นอกจากนั้นยังลามไปถึงเรื่องความรัก เช่น เรื่องเดทต่างๆ หรือจะคบหากับใคร ความสัมพันธ์ของเรากับหลายคนต้องเปลี่ยนไปเพราะพิษโควิดแบบช่วยไม่ได้ และเราเองก็ไม่สามารถฝืนอะไรได้และก็ต้องปล่อยมันไป แต่ในความน่าเศร้าเหล่านั้นยังมีเรื่องดีๆ คือเราได้ค้นพบการมีตัวตนของคนๆ นึงเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา และคนๆ นั้นก็ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และเป็นไปในทางที่ดีมากๆ ซึ่งเราจะไม่พูดถึงเค้าในบทความนี้เพราะมันยาว

    แต่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีตั้งแต่วันนั้นคือการที่คนๆ นี้มาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเรื่องศิลปะของตัวเอง เรื่องความใฝ่ฝัน มุมมองความคิดในหลายๆ อย่าง และที่สำคัญที่สุดคือเค้าทำให้เรารู้สึก "มีความสุข" มากขึ้นตั้งแต่ช่วงนั้น แต่ชีวิตก็มีขึ้นลงเป็นธรรมดา ช่วงปลายปีที่ผ่านมาเราก็เจอเรื่องเหี้ยๆ เยอะ (ขออภัยที่ใช้คำหยาย แต่ช่วยไม่ได้ 555) จนรู้สึกว่าทำไมอะไรๆ หนักหน่วงมันต้องมารุมที่เราในเวลาเดียวกัน และในเดือนเดียวกันด้วยวะ เป็นเรื่องที่พีคแบบรู้สึกว่าฟาดเคราะห์มากๆ ที่ไม่สามารถเล่าออกสื่อได้เพราะไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไหร่ แต่เอาเป็นว่าพอมันผ่านช่วงเวลาแย่ที่สุดมาได้ พอเข้าปี 2021 นี้ เราไปอ่านดวงของราศีสิงห์ของเราไว้โดยรวมๆ และดวงก็พูดประมาณว่า..

    ปี 2021 นี้จะเป็นปีที่สำคัญของเธอมาก เพราะเป็นปีที่เปิดโอกาสให้เธอได้รักตัวเองและเรียนรู้ความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ นั่นก็คือ 'การรักตัวเอง'

    My roses 
    ซึ่งตอนอ่านเราก็คิดว่ามันมีแนวโน้มจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว และพอเข้าปีนี้มาจริงๆ ก็รู้สึกว่าเราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเยอะขึ้นมากๆๆๆ ทุกวันนี้มีความสุขมากๆ อย่างที่ไม่ต้องมีใครมาเป็นสาเหตุ เพราะเรามีความสุขจากการที่ได้ตามใจตัวเองในเรื่องดีๆ เช่น อยากเรียนรู้อะไรก็เรียนเลย อยากทำอะไร ทำเลย อยากเล่นดนตรี เล่นเลย อยากซื้อดอกไม้ ก็ซื้อให้ตัวเองทุกสัปดาห์และเอามาใส่แจกันไว้ อยากออกกำลังกาย ก็เริ่มออกแบบจริงจังครั้งแรกในรอบหลายปี เจออะไรยากๆ เหรอ? ก็ยอมรับและเรียนรู้ที่จะรับมือและฝ่าฟันมันไป ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่อยู่กับตัวเองและเป็นกำลังใจให้ตัวเองตลอด พอได้ทำทุกอย่างแบบนี้ก็เห็นแนวโน้มที่ตัวเองจะพัฒนาไปได้อีกไกล พอเป็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้มีความสุขได้ไง :)

    ณ ตอนนี้สถานะในชีวิตเรายังไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่เนื่องจากเรื่องของวีซ่าที่ถืออยู่ และการงาน หลังจากเรียนจบ ป.โท เมื่อกลางปีที่แล้วก็พยายามหางานมาตลอด แต่ด้วยโควิดและเหตุผลอะไรอีกร้อยแปดอย่างทำให้การหางานที่ต่างประเทศเป็นเรื่องยากมากๆ ที่ไม่เกี่ยวว่าจบ art มาแล้วจะหางานยากกว่าสายไหน แต่ช่วงนี้มันหายากจริงๆ แบบแทบจะยอมแพ้และกลับไทย ยังดีที่มีงานชั่วคราวให้ทำช่วงนี้ที่ทำให้รู้สึกแฮปปี้ขึ้นและเป็นโอกาสดีๆ แบบชั่วขณะ แต่หลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อไปก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปและหางานต่อไป การวางแผนอนาคตในช่วงที่โลกไม่มั่นคงแบบนี้มันไม่ง่ายเลย เราโทรหาแม่ทุกอาทิตย์ก็มีแต่บ่นเรื่องเดิมๆ แต่อย่างน้อยก็ยังมีความสุขให้แม่เห็น เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม เราจะให้ priority ตัวเองให้มีความสุขไว้ก่อน.... ก็นอกจากจะคลั่งรักคุณเค้า (ที่ยังไม่บอกว่าใคร) แล้ว คลั่งรักตัวเองนี่แหละ คุ้มสุด! <3 

    ACAB (All Cops Are Bastards)

    ไว้ว่างๆ จะมาเขียนเรื่องชีวิตในสวีเดนใหม่ ไม่รู้จะมีอะไรให้เขียนบ้างมั้ยน้อ เพราะที่นี่ไม่สนุกเท่าไทยอ่ะขอบอก 5555 

    ใครถูกใจ แชร์ได้ คอมเมนต์ได้ และกลับไปอ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
    ใครอยากติดตามผลงานวาดรูปของเรา ไปเจอกันได้ที่ ig เด้อ: @mayajett


    ขอให้มีวันดีๆ นะคะ 
    Have a great day :)  




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in