วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2561
อย่างที่คร่ำครวญมาตลอด วอลลายครีกช่างเป็นเมืองสุดเส็งเคร็ง ผู้คนแสนโหล่ยโท่ย ภูมิอากาศก็ห่วยแตกเกินบรรยาย เหตุผลเดียวที่ทำให้ลิลิเบธตัดสินใจระหกกลับมาบ้านเกิดหลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคนเวก คือแม่สาวดอกไม้งามของเธอนั่นละ มิเชลกำลังจะจบมัธยมศึกษาในปีนี้ มิเชลกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เล็ก และหล่อนสมควรมีคนปกป้องดูแล ลิลิเบธไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น มิเชลเป็นเด็กสาวน่ารักไร้เดียงสาเกินไป เปรียบเหมือนกลีบดอกไม้บางแสนบริสุทธิ์ที่พึ่งร่วงหล่นจากต้นมาสัมผัสโลก เที่ยวสนทนากับผู้คนไปทั่ว ไว้ใจคนง่าย แถมไม่ระมัดระวังตัวเองอีก นั่นหล่อนรู้ตัวหรือเปล่าเถอะว่าหล่อนเกิดเป็นผู้หญิง แถมเป็นหญิงสาววัยขบเผาะหน้าตาน่าเอ็นดูที่ใครเห็นก็อยากเข้าขย้ำ แต่พร่ำบ่นไปก็เท่านั้น สุดท้ายตราบาปมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว มิเชลถูกชายนักท่องเที่ยวลวงไปข่มขืนเมื่อหลายปีก่อน ลิลิเบธเป็นคนที่ตามเข้าไปช่วย แม้จะไม่ทันก็ตาม ภาพสุดท้ายยังติดตาดี ร่างเปลือยเปล่าของมิเชลห่อตัวงุ้มงออย่างหวาดกลัวอยู่ในโรงรถเหม็นอับ สภาพเหมือนสัตว์เล็กถูกเฆี่ยนตี ผมสีทองกระเซิงไม่เป็นทรง ปากพร่ำความฟังแทบไม่ได้ศัพท์ จับความได้ว่ามิเชลพยายามอ้อนวอนให้รีบพาเธอออกไปจากที่เกิดเหตุ มิเชลไม่ต้องการให้ใครทราบเรื่อง เธออยากหลอกตัวเองว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในโรงรถโสมมนั่น แต่คนอย่างลิลิเบธรึจะยอม แม่ลิลี่ขาวที่เธอเฝ้าฟูมฟักถูกขยี้ หลังจากพาเด็กสาวไปส่งที่บ้านและกล่อมให้เธอนอนหลับด้วยนมเปปเปอร์มินต์กับช็อคโกแล็ตสามแท่งแล้ว ลิลิเบธจึงออกไปล่าชีวิตคนที่ขย้ำบริสุทธิ์ของมิเชลแบบไม่นึกตรองซ้ำสอง
วันนี้เป็นอีกวัน ที่มีคนหมายทำร้ายมิเชลอีกครั้ง ก็ยัยมิสลาน่าที่ฆ่าตัวตายนั่นไง ตายแล้วก็ควรอยู่ส่วนของคนตายแท้ ๆ จะมายุ่มย่ามอะไรกับชีวิตคนเป็น สูจิบัตรที่ถูกแจกจ่าย มีส่วนหนึ่งกล่าวไว้ว่า
'...หลังชีวิตแห่งความตาย ข้าพเจ้าหมายพาวิญญาณเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่งไปอยู่ร่วมกับข้าพเจ้าด้วย เด็กคนนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว เพียงคนเดียวที่จะช่วยหล่อนได้ คือคนเดียวที่ช่วยหล่อนไว้เมื่อหกปีก่อน การแก้แค้นด้วยการพรากชีวิต การเผาย่างอันน่าประทับใจ ข้าพเจ้าหวังจะได้พบเธอสักครั้ง เพียงนำดอกแวววิเชียรกลับไปดูแลพร้อมเรียกหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปพบเพื่ิอเจรจาข้อแลกเปลี่ยน '
อ่านถึงตรงนี้ ลิลิเบธเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งทันที ก็เธอนั่นไงที่ลากคอไอ้โจรหื่นกามขึ้น แก้แค้นเผาย่าง เหนือกองไฟด้วยตัวเอง แต่การส่งข้อความมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ มันออกจะสร้างความวุ่นวายไปหน่อย ผู้คนเริ่มวิ่งวุ่น เด็กสาววัยสิบเจ็ดผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในงานรึก็หวาดกลัวกันตัวสั่น เด็กชายเริ่มหัวเราะเย้ยหยันไล่ปาสูจิบัตรใส่โดมกระจก ดอกแวววิเชียรอะไรนั่นถูกโยนทิ้งเกลื่อนพื้่น ลิลิเบธก็พอเข้าใจ ใครมันจะกล้าเก็บกลับบ้านได้ เพราะไม่ว่าข้อความลิเก ๆ ที่กล่าวในสูจิบัตรจะจริงหรือเท็จ การเลี่ยงกระทำต่อสิ่งที่วิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ไม่ได้ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด มิเชลเองก็ดูจะตกใจ แต่เป็นการตกใจแบบคนทั่วไปที่ต้องมาอ่านข้อความจิตวิปลาสเสียมากกว่า มิเชลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลิลิเบธมีส่วนเกี่ยวข้องเต็ม ๆ กับคดีนักท่องเที่ยวถูกย่างในอดีต ตอนนั้นเธออายุสิบสองปี เมินเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แถมไม่ได้พยายามสนใจด้วยว่าไอ้โจรใจบาปที่ข่มขืนเธอนั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ด้วยความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่ต้องปกป้องแม่ไม้กลีบบางของตน ลิลิเบธรีบกลับบ้านไปจัดหาแจกันมาเติมน้ำหล่อเลี้ยงแวววิเชียร (ซึ่งหาไม่พบ ครอบครัวเธอไม่โปรดปรานการจัดดอกไม้มาแต่ไหนแต่ไร) ลิลิเบธคว้าขวดเหล้าเก่า ๆ ข้างเตาผิงมาใช้แทน ขวดเหล้าต่างหน้าที่เธอเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ของบิดาที่จากไปด้วยพิษสุราเรื้อรังก่อนวัยอันควร น่าอนาถใจยิ่ง
เธอไม่รู้หรอกว่าระบบการสื่อสารของวิญญาณกับมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร แต่ในระหว่างที่กำลังเสียบดอกแวววิเชียรเข้าขวด เธอรู้สึกขนลุกวูบวาบ เหมือนมีคนจ้องมองอย่างดุเดือดทะลุท้ายทอยอะไรทำนองนัั้น ไม่ผิดแน่
"ตามฉันมาสินะคะ" เธอเสี่ยงทักออกไป
ยัยผีมิสลาน่าไม่ตอบ แต่เธอค่อนข้างมั่นใจ กล้าพนันเลยว่าเป็นหล่อนแน่
"ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ? "
ลิลิเบธถามคำถามที่เธอสงสัยมากที่สุด และสงสัยมากขึ้นไปอีก มีกี่ชีวิตกันนะที่รู้เรื่องราวแผนฆาตกรรมเป็นอดิเรกของเธอ กระนั้นเธอก็ไม่ได้ทำการฆ่าจริงมากมาย อาจด้วยเกรงกลัวกฎหมายอยู่บ้าง จริงอยู่ที่ว่าศพแรกบังเอิญเกิดจากการแก้แค้น เป็นการฆ่าที่หุนหันพลันแล่น ไร้ซึ่งการวางแผนที่รอบคอบ หากตำรวจฉลาดกว่านี้ลิลิเบธคงได้นอนคุกไปแล้ว ว่าตามตรงช่วงที่ตำรวจจากวอลลายครีกไม่สามารถสืบสวนอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน จนต้องมีเจ้าหน้าที่พิเศษเข้ามาร่วมมือ ลิลิเบธก็ใจหายวูบมิใช่น้อย ด้วยกลัวว่าจะมีหลักฐานอะไรสาวมาถึงตน แต่โชคดีที่ตำรวจมุ่งไปยังประเด็นความแค้นส่วนตัวจากผู้คนรอบตัวของชายคนนั้นมากกว่า แถมกว่าตำรวจที่ทำงานเป็นจริง ๆ จะถ่อสังขารมายังที่เกิดเหตุได้ หลักฐานต่าง ๆ ก็ถูกชะไปจนไม่เหลือร่องรอยอะไรแล้ว เมื่อรอดพ้นช่วงสืบสวนมาได้ ลิลิเบธถึงรู้สึกดีแบบถึงจุดสุดยอด ความภาคภูมิท่วมท้นไปทั่วร่าง ยิ้มผยองอยู่ในโลกของตนอย่างหลงตัวเองว่าเธอคือฆาตรกรสุดอัจฉริยะ ความรู้สึกสุดยอดหลังการฆ่ากลายเป็นสิ่งที่เธอเฝ้าโหยหา เธอใช้เวลาฝันกลางวันถึงแผนฆาตกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ยิ่งแผนการฆ่าซับซ้อนพิสดารขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งสามารถเติมเต็มความกระหายในใจเธอมากขึ้นเท่านั้น เธอได้ค้นพบรสชาติของชีวิตว่าการล่ามนุษย์นี่ล่ะ คืองานในฝันอันยิ่งใหญ่ ตื่นเต้น และนำพาความหรรษาอย่างน่าอัศจรรย์มาสู่เธอได้อย่างท่วมท้นแม้เพียงจินตนาการ
“ว่าแต่ฉันตกใจมากเลยนะคะ ที่คุณมีแรงปรารถนาอยากตายสูงขนาดนี้ ถ้ารู้ ฉันอาจจะช่วยเหลือคุณ แต่คุณคงไม่ชอบใจนัก ฉันมองเห็นความคิดคุณแล้ว คุณนี่โลกแคบจริงเชียว ฉันขอแย้งอย่างสุดใจเลย เรื่องการตายของคุณคือศิลปะชิ้นเอก การฆ่าที่ไม่ได้หลั่งเลือดแม้กระผีก ดูอย่างไรก็เป็นผลงานที่ขาดทั้งรสชาติและรสนิยม”
ลิลิเบธรู้สึกได้ว่าพลังงานที่จ้องมองเธอนั้นรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เธอไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกว่ายัยมิสสุดไฮโซที่ฆ่าตัวตายอย่างสุนทรีย์อะไรนั่นต้องการสิ่งใดจากเธอ หากมิสลาน่าต้องการมิเชลขึ้นมาแล้ว มนุษย์อย่างเธอจะไปต่อกรอะไรได้
"หยาบคายจริงนะ หันมาพูดจากันดี ๆ ก่อนสิ"
ในที่สุดเสียงแหลมสดใสเหมือนนกตัวเล็กก็ดังขึ้น ลิลิเบธต้องยอมรับให้กับสำเนียงผู้ดี๊ ผู้ดีของมิสลาน่า แม้จะแหลมสูงไปบ้าง แต่กลับไม่ได้ฟังน่ารำคาญแต่อย่างใด
"คุณไม่ใช่เหรอคะ ที่หยาบคายกับฉันก่อน ปล่อยให้ฉันพูดจาเป็นบ้าอยู่คนเดียวไปได้"
"เอาเถอะน่า ว่าแต่เธอได้ยินเสียงฉันจริงด้วยสินะ น่าประทับใจแฮะ"
"ก็ถึงได้ตอบโต้อยู่ปาว ๆ นี่ไงคะ" ในที่สุดลิลิเบธก็วางมือจากดอกไม้ในขวดเหล้า พร้อมหันไปจ้องวิญญาณที่ลอยนวยนาดห่างเธอไปไม่ถึงครึ่งเมตร
"ฟังนะคะ ฉันไม่ได้เรียกคุณมาเพื่อสนทนายามบ่าย หรือมาช่วยคุณพิสูจน์ข้อข้องใจ ผีมีจริงไหม ฉันไม่ได้มาเพื่อวิจารณ์สุนทรียศาสตร์การตายของคุณ— ถึงแม้มันจะเห่ยสิ้นดี ฉันต้องการเพียงคำตอบค่ะ คุณต้องการอะไรจากฉัน และคุณจะทำอะไรกับมิเชล"
"โอ้.." ยัยมิสลาน่าทำตาโตยียวนกวนประสาท ปากของเธออ้าแล้วก็หุบ จากนั้นจึงเม้มสนิท
"มิสลาน่า! ฉันไม่มีเวลามาเสวนากับคุณทั้งวันนะ"
"นี่เธอ เป็นพวกอารมณ์ร้ายสินะ ดูท่าจะขี้บงการซะด้วย”
ลิลิเบธรู้สึกอยากเข้าไปบีบคอมิสลาน่าที่ส่ายหัวโคลงเคลงอยู่ตรงหน้าให้ชะตาขาดเป็นครั้งที่สอง ปกติเธอเป็นคนที่ใจเย็นและรอบคอบ แต่ทุกอย่างจะดุเดือดและไร้สติทันทีเมื่อเป็นเรื่องของมิเชล
"มิเชลสินะ" มิสลาน่ากระซิบกระซาบ ร่างซีดจางเหมือนควันสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น ไหล่งองุ้มเข้าหากัน อาการเหล่านั้นยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดใจแก่ลิลิเบธอย่างบอกไม่ถูก พวกผีนี่มันมีความสามารถมองทะลุความคิดของมนุษย์ได้หรืออย่างไร
"เอาเถอะ ไม่เกี่ยวกับมิเชลหรอก แค่ล่อให้เธอยอมคุยกับฉันน่ะ ฮ่าฮ่า ฉันมาในวันนี้ เพียงเพื่ออยากมายื่นข้อเสนอ นอกเหนือฉันจะมีความฝันที่อยากตายอย่างเป็นที่น่าจดจำ ซึ่งฉันก็ทำสำเร็จแล้ว..”
ยัยผีพูดจาใหญ่โต น่าจดจำ อย่างนั้นเรอะ ถ้าในทางที่อุบาทว์ชาติชั่วล่ะไม่แน่
“..นอกจากนั้น ฉันยังฝันอยากมีคู่หูร่วมก่อคดีฆาตกรรมอันยิ่งใหญ่ คดีฆาตกรรมต่อเนื่อง สร้างรูปแบบที่ยากจะลอกเลียน สร้างงานศิลป์ เติมเต็มความกระหายในใจฉัน ในใจเธอ ผลงานจากเนื้อหนังเครื่องในมนุษย์ที่บาปชั่วขัดกับศีลธรรม ผลงานที่จะถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์ตลอดกาล"
มิสลาน่าว่าพลางส่งยิ้มเพริศพรายมาให้ ว่าแต่ ยัยนั่นกำลังชักชวนเธอให้ไปเป็นคู่หูฆาตกรเนี่ยนะ ไม่ใช่ว่าเธอจะดูแคลนรสนิยมของมิสลาน่าหรอก เพราะมันก็มีส่วนที่น่าสนใจอยู่บ้าง ความวิปลาสของหล่อนนั้นถ้าได้มาร่วมผสานกับจิตที่หมกมุ่นของลิลิเบธแล้ว แม้กระทั่งลิลิเบธเองยังอดกระหยิ่มยิ้มย่องไม่ได้ว่าคดีที่พวกเธอร่วมกันสร้างจะออกมาตระการตาแค่ไหน แต่ในโลกมนุษย์ที่ลิลิเบธยังอยากมีชีวิตอยู่ครองคู่มิเชลอย่างสงบนั้น เธอยังไม่พร้อมถูกจับไปประหารจริง ๆ ยัยมิสลาน่าจะยืนยันได้อย่างไรว่าตำรวจจะไม่ดมกลิ่นมาเจอเธอเข้าสักวัน ถึงเวลานั้นคงถูกเชือดเดี่ยว ไอ้ครั้นจะบอกไปว่าฉันมีคู่หูนะ เขาเป็นผีไงล่ะ คงไม่มีใครเชื่อ
"ฟังดูดี แต่ฉันชอบทำงานคนเดียว ขอบใจ"
"โอ้ งั้นฉันจะไปฆ่ามิเชลซะ"
"อย่างนั้นมันเรียกการยื่นข้อเสนอเรอะ! "
มิสลาน่าฉีกริมฝีปากฉ่ำออก คล้ายว่าจะยิ้ม “เป็นอันว่าตกลง”
ลิลิเบธต้องขอถอนคำพูดที่ลั่นไว้ว่ามิสลาน่าเป็นคนดีในระดับหนึ่งเมื่อบทแรกทิ้ง หล่อนเป็นยัยตัวร้ายของแท้เลยทีเดียว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in