#ความน่าจะเป็น#รวมเรื่องสั้นไทย #ปราบดา หยุ่น #
.
ถึงคุณ
.
สืบเนื่องมาจากจดหมายฉบับที่แล้วได้กล่าวพาดพิงอิงแอบ อ้างถึงหนังสือเล่มหนึ่งเล็กน้อยถึงปานกลางเอาว่าครั้งนี้ฉันจะเล่าถึงเสียหน่อยก็แล้วกัน ไม่อยากให้น้อยอกน้อยใจในเมื่อรักใคร่กันขนาดนี้ภายในวงเล็บหมายถึงนักเขียนไม่ใช่คุณอันที่จริงฉันอ่านความน่าจะเป็นมาเกินครึ่งปีเข้าไปแล้ว และอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้อีกกี่สิบรอบในเวลาต่อมา
.
เป็นหนังสือที่กวนทุกส่วนอวัยวะให้แตกตื่นมากกกตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า คือมันโหยอะไรจะขนาดน้านนน นี่พูดจริงไม่ได้เอาความหลงใหลได้ปลื้มส่วนตัวมาเอี่ยวด้วยสักนิดและฉันไม่ใช่พวกฝักใฝ่กับรางวัลการันตี ที่อ่านนี่เพราะความปริ่มคุณนักเขียนร้อยเปอร์
.
นั่นไง คุณพูดงี้ใช่มั้ยอย่าเพิ่งเบรกเซ่ ฉันหมายถึงว่าเพราะฉันปริ่มนักเขียนมาก่อนจึงอ่านไม่เกี่ยวกับรางวัล และต่อให้เป็นนักเขียนที่ชอบไม่ได้หมายความว่าหนังสือทุกเล่มของเขา จะเป็นที่ต้องตาต้องใจไปเสียหมดหรอก(ด.ญ.ต้องตาเป็นหนึ่งในตัวละครที่ฉันว่าเธอร้ายเดียงสาน่ารักใคร่จริงเชียว)
.
อย่างหนึ่งที่เรามักพบเสมอเวลาซื้อหนังสือรวมเรื่องสั้นมาอ่านคือความผิดหวังซ้ำซาก ด้วยว่าเรื่องที่โดนใจกลับมีเพียงเรื่องเดียว ตามมาด้วยความคิดที่ว่าไม่น่าซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะงั้นฉันถึงไม่นิยมอ่านหนังสือรวมเรื่องสั้นมากนักเว้นเสียแต่ว่ารวมเรื่องที่ว่านักเป็นของนักเขียนในดวงจิต
.
“กฎบางอย่างมักมีข้อยกเว้นให้ความปริ่มอยู่เสมอ”
.
สำหรับความน่าจะเป็นคุณจะไม่เจอกับสถานการณ์ที่ว่า ฉันยืนยันกับคุณได้ นี่คือสุดในการรวมเรื่องสั้นเล่มหนึ่งอันคับแน่นไปด้วยความยียวนกวนเส้นประสาท ปวดแสบปวดร้อนไปทุกอณูรูขุมขน หลังจากอ่านไปยิ้มไปแถมหลายคำหัวเราะในรอบแรกจบลงหนังสือของฉันเต็มไปด้วยเส้นมาร์กเกอร์สะท้อนแสงพรึบหมายความว่าอ่านขาดอีกแล้ว(หนังสือยับเยิบ)
.
หลังจากรอบแรกจบไปหนังสือเล่มนี้คืออยู่ใกล้มือตลอด หยิบอ่านตอนไหนก็โอ๊ย
.
และหนึ่งในเรื่องที่ขาดเสียมิได้ของพี่ท่านคือการตบมุกเล่นกับตัวเองสักหน่อยเถอะน่า ซึ่งมักพบเห็นประปรายในงานเขียนไม่ต้องเชื่อฉันหรอกแค่ลองสังเกตดู พี่ท่านชอบเล่นมุกนี้ไม่เบาทีเดียว เอาจริงถึงขนาดอุทิศเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งเพื่องานนี้นั่นคือมารุตมองทะเล
.
เย้าหยอกกับตัวเองด้วยคำว่านักคิดนักเขียนนักนั่นนักนี่ สารพัดนัก และความอวดโอ่ เอ่อ...แต่ว่าคำว่านักคิดช่างน่าคิดเมื่อวันก่อนเจอประโยคนี้จากหน้าฟีด แล้วมาฉุกแอะใจว่าอย่างไหนที่เรียกว่านักคิดคุณต้องเป็นคนแบบไหนเหรอถึงได้คำนี้มา คุณต้องเป็นนักเขียน นักกวี นักปรัชญานักไหนกัน
.
นักธรรมดาอย่างคุณอย่างฉันชาวบ้านร้านตลาด พ่อค้าแม่ขาย ชาวไร่ชาวนา เด็กขายพวงมาลัย พอจะเรียกว่านักคิดได้หรือเปล่าหรือคุณต้องออกความเห็นโน่นนี่นั่นเชิงวิเคราะห์ด้วยความเห็นส่วนตัวงี้เหรอ เอาว่าแค่เปรยลอยๆด้วยความสงสัยหรอก ไม่ได้คิดไรเพราะมิใช่นักคิด
.
สะกิดถึงการถามหาความหมายของการมีชีวิตอย่างที่ฉันยกแนบไปในจดหมายฉบับที่แล้วด้วยเรื่องขัปปะ กับชีวิตในและนอกมหา-ลัยว่าด้วยเรื่องสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดในหมู่ชนชาว คอนเซ็ปต์ ทั้งหลาย ในเรื่องความน่าจะเป็น
.
ด้วยตาเปล่าของคนอย่างไอ้ปลง ย้อนฉันไปหาคำพูดของยอดนายทุนเกลในขัปปะอีกเหมือนกัน
“ความชั่วนั้นมักมาพร้อมกับปฏิญาณไหวพริบ การรู้จักเอาตัวรอดความสามารถพิเศษในการเสแสร้งแสดงละครตบตา คนชั่วทำตัวให้เป็นคนดีได้ในขณะที่คนดีจะไม่มีวันเข้าใจความชั่วอย่างถ่องแท้ ใครๆก็รู้ว่าสังคมมนุษย์ไม่มีวันทรงโครงสร้างอยู่ได้ด้วยความดี
.
เห็นๆ กันอยู่ว่าความชั่วคือปัจจัยสำคัญในการปกครองโลก หากทุกคนเป็นคนดีโลกนี้จะไม่มีนักการเมือง และหากโลกนี้ปราศจากนักการเมือง สังคมมนุษย์จะขาดระบบระบอบ ระเบียบ และระเบิด
.
อันเป็นอาวุธสำคัญในการชะล้างความเหลวแหลกเพื่อเริ่มต้นใหม่เฉกเช่นการกดปุ่มลบล้างความผิดทั้งหมด เพื่อเริ่มทำความผิดอีกครั้งสิ่งที่ความชั่วเสนอให้มนุษย์คือโอกาส
.
ความดีไม่มีทางคิดสร้างสรรค์ได้เพียงนั้น ความชั่วคือศิลปะและความบันเทิงความดีคือความน่าเบื่อหน่าย” (น.๓๗)
หมายเหตุ ทั้งหน้าปักอกมากกกก(ทั้งเล่มยิ่งกว่า)
.
จะให้ฉันขยายความของหนังสือเล่มนี้ทุกเรื่องคงยาวเหยียดเพราะระหว่างบรรทัดของหนังสือรวมเอาความตลกเสียดสี ที่ทำให้ยิ้มหรือหัวเราะได้ทุกครั้งที่หยิบมาอ่านและฉันมักเจอความสะกิดใจใหม่ได้อีกนับไม่ถ้วนในแต่ละเรื่อง ดังนั้นยิ่งอ่านหนังสือของฉันยิ่งลายพร้อยขึ้นเรื่อย และหนังสือเล่มไหนที่เลอะเทอะมากด้วยการขีดเส้น นั่นหมายถึงว่าฉันยิ่งรักหนังสือเล่มนั้นเป็นพิเศษ
.
ฉันมองเห็นความคิดบางอย่างในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ไปเกิดในเบสเมนต์มูน ด้วยล่ะ.
.
ด้วยรักและคิดถึง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in