เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
You’re all I see [Jongin x Kyungsoo]Nuynyaloners
(OS) Sweet Lies




  • Oh 가끔 진실이란

    โอ้ บางครั้งความจริงนั้น

     

    Oh 거짓말보다 아픈

    ก็ฟังแล้วเจ็บยิ่งกว่าคำโกหกเสียอีก

     

    Oh 모두 상처받긴 겁나는

    ด้วยกลัวว่าจะต้องเจ็บ

     

    진실에서 고개를 돌려

    เราเลยไม่ยอมรับความจริงกัน








    โอ้ย! เจ็บหัวชะมัด ชายในชุดเสื้อกาวน์สีขาวดูสะอาดตากำลังลูบท้ายทอยตัวเองพร้อมกับบ่นกระปอดกระแปดในใจด้วยความเจ็บปวด หลังจากที่เขาลืมตาและยันตัวเองลุกขึ้นจากพื้น คงน่าจะเป็นเพราะว่าศีรษะของเขาดันไปกระแทกกับโขดหินเต็มๆ นิ้วเรียวสวยรู้สึกได้ถึงเลือดที่ไหลซึมออกมาแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตกใจมากนัก คงเป็นเพราะว่าเขาเป็น ‘หมอ’ ด้วยล่ะมั้ง เห็นเลือดของคนไข้เวลาทำการรักษาและผ่าตัดจนชินตาแล้ว

     

    “อ่า…นี่เราอยู่ที่ไหน” เขาพูดพึมพำกับตัวเองพร้อมกับใช้ดวงตากลมโตกวาดตามองเพื่อสำรวจพื้นที่รอบๆเห็นลำแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ยามเย็นส่องลอดผ่านใบไม้ของต้นไม้สูงใหญ่หลายต้น ตามทางเดินมีใบไม้สีน้ำตาลที่แห้งกรอบเต็มพื้น เขานั่งยองๆลงกับพื้นพร้อมกับหยิบผ้าก็อซหลายแผ่นจากกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำ ซึ่งเป็นกระเป๋าปฐมพยาบาลประจำตัวของเขาเพื่อใช้มันในการกดปากแผลตรงท้ายทอยและเพื่อเป็นการกันไม่ให้เขาเลือดไหลออกจนหมดตัวไปซะก่อน

     

    คยองซูจำได้ว่าเขากำลังเดินขึ้นเขาเพื่อที่จะไปรักษาคนไข้ที่อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกลจากกรุงโซล ซึ่งไปเขาในฐานะแพทย์อาสาของโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่ ในขณะที่เขาเดินรั้งท้ายอยู่คนเดียวของกลุ่มแพทย์อาสา และเหมือนกับว่าเขาจะเดินสะดุดอะไรซักอย่างจนหงายหลังแล้วพลัดตกจากไหล่เขาหลังจากนั้นภาพที่เขาเห็นครั้งสุดท้ายก็คือภาพสีดำมืดเหมือนกับทีวีที่ถูกดึงปลั๊กออกไปนั่นแหละ

     

    “มือถือมาแบตฯ หมดอะไรตอนนี้เนี่ย! แล้วจะติดต่อกับคนอื่นยังไงละวะ” คยองซูพูดอย่างหัวเสียเนื่องจากกดทั้งปุ่มโฮมปุ่มพาวเวอร์ของมือถือก็ไม่เกิดปฎิกิริยาอะไรขึ้นมานอกจากหน้าจอดำๆ

     

    ฝ่าเท้าทั้งสองข้างที่อยู่ภายใต้รองเท้าผ้าใบสีขาวกำลังถูกใช้ในการย่ำกองใบไม้แห้งจนเกิดเสียงดังกรอบแกรบ ‘นายแพทย์ โด คยองซู’ กำลังก้าวเดินอย่างช้าๆ ในขณะที่มือขวาของเขาก็ทำหน้าที่ในการกดแผลที่เกิดจากการกระแทกตรงท้ายทอยไปด้วย เขาเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงที่น่าจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขา เท่าที่ได้ฟังแล้ววิเคราะห์เสียงภายในหัว เสียงที่เขาได้ยินน่าจะเป็นเสียงคนจำนวนมากส่งเสียงร้องตะโกนเอะอะโวยวายและเสียงวัตถุที่น่าจะเป็นของแข็งกระทบกันจนเกิดเสียง ‘เคร้ง’

     

    “ถ่ายหนังกันอยู่เหรอ ไม่เห็นมีกล้องหรือไมค์บันทึกเสียงอะไรสักตัว” คยองซูพูดด้วยความสงสัยเพราะภาพที่เขาเห็นเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ต้นตอของเสียงก็คือ ผู้คนในชุดเกราะถือดาบ ถือธนู มีบางคนที่อยู่บนหลังม้า ผู้คนเหล่านี้แบ่งออกเป็น 2 ฝั่งอย่างเห็นได้ชัดกำลังปะทะกันโดยใช้ดาบทั้งฟันและแทงฝ่ายตรงข้าม

     

    แต่แล้ว..ไม่กี่นาทีต่อมา หลังจากที่ยืนหลบดูเหตุการณ์สู้รบอยู่หลังต้นไม้เล็กๆ อย่างเงียบๆ จู่ๆก็มีลูกธนูดอกนึงพุ่งตรงมายังเขา!

    คยองซูทำอะไรไม่ถูกได้แต่หลับตาปี๋ เพราะเขาไม่มีทั้งทักษะการต่อสู้และไม่เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนนอกจากดูผ่านซีรี่ย์และภาพยนตร์พีเรียดเท่านั้น

     

    ถือว่าเป็นโชคดีของเขารึเปล่านะ? เพราะจู่ๆ ก็มีผู้ชายคนนึงในชุดเกราะเต็มยศที่ทั้งตัวมีแต่คราบเลือดของศัตรูที่กระเซ็นมาเกาะตามตัวเป็นดวงๆ วิ่งอย่างรวดเร็วมาตรงหน้าเขาและใช้ดาบสีเงินเล่มใหญ่ปัดลูกธนูออกไปด้วยท่าทางที่สวยงามในแบบของนักรบจริงๆ

     

    “นี่เจ้า! เป็นอะไรมากรึไม่ แล้วเจ้ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ไม่รู้หรือว่าที่แห่งนี้คือสนามรบ” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคายพูดกับคยองซูด้วยน้ำเสียงเข้ม เขาหอบหายใจแรงเนื่องจากกำลังต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่หยุดพัก ตราบใดที่ยังฆ่าและตัดหัวแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ สงครามในครั้งนี้ก็ไม่มีวันจบ

     

    ในระหว่างที่ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำผิวแทนออกไปทางเกือบคล้ำ ผมยาวตรงสลวยสีดำมัดเกล้าครึ่งศีรษะโดยมวยผมถูกมงกุฎสีเงินเล็กๆ ครอบเอาไว้และกลัดด้วยปิ่นสีเงินอีกที ส่วนผมหน้าม้ามีความยาวประมาณดวงตาไม่ได้ถูกมัดรวบเก็บไปด้วย เขากำลังรอคำตอบจากชายหนุ่มตัวเล็กผมสั้น และสวมชุดประหลาดๆ ที่เกิดมาคนอย่างเขาไม่เคยพบเจอมาก่อนนั้นลูกธนูอีกดอกถูกยิงมาจากทหารอีกฝ่ายที่พุ่งตรงมาหาพวกเขา

     

    แม่ทัพหนุ่มนามว่า “คิม จงอิน” ผู้มีปฎิกิริยาต่อสิ่งรอบตัวไวราวกับสายฟ้าเพราะเขาถูกฝึกให้มีทักษะต่อสู้จากบิดาอย่างดีนั้นหลบลูกธนูที่พุ่งตรงมาทางเขาไม่ทัน ลูกธนูนั่นจึงปักอยู่ที่หัวไหล่ด้านหลังของเขาอย่างจัง ชายตัวเล็กเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะจู่ๆ ชายหนุ่มที่เพิ่งช่วยชีวิตเขาให้รอดพ้นจากลูกธนูโถมตัวทั้งตัวลงมาใส่เขาโดยที่ศีรษะอิงซบกับไหล่บางทำให้คยองซู เห็นเลยว่าคนๆ นี้ถูกยิงและเลือดก็เริ่มไหลซึมออกมาจากปากแผลแล้ว

     

    .

    .

    .

     

     

    “นี่คุณ อย่าเพิ่งลุกขึ้นนั่งสิ นอนลงไปก่อน” คยองซูที่ยังสวมชุดเสื้อกาวน์และเพิ่งตื่นเนื่องจากคนไข้หมาดๆ ที่มียศระดับแม่ทัพของโครยอที่เขานอนหลับเฝ้าอยู่ข้างๆ บนเตียงแบบโบราณ คยองซูนั้นอดที่จะดุตามนิสัยของเขาไม่ได้เพราะแม่ทัพที่ถูกยิงฟื้นจากอาการสลบไม่ได้สติจู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมา แต่คงเพราะว่าลุกขึ้นนั่งเร็วเกินไปจนแรงน่าจะไปกระทบกับแผลตรงหัวไหล่ด้านหลัง ทำให้แม่ทัพหนุ่มส่งเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวด ส่วนคยองซูจับไหล่ที่ดูทั้งแกร่งและกว้างอย่างเบามือที่สุดเพื่อให้คนไข้นอนราบลงไปกับเตียงอีกครั้ง

     

    เมื่อวานหลังจากที่ท่านแม่ทัพสลบคาอ้อมแขน เขาก็ถูกลูกน้องของท่านแม่ทัพพาเขาและคนที่ถูกธนูยิงใส่หลบหนีออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะตามมาฆ่า หลังจากนั้นเขาก็ต้องวุ่นวายกับการอธิบายเรื่องราวกับลูกน้องของท่านแม่ทัพ และเขาก็ต้องตั้งคำถามกับคนที่พาพวกเขาหลบหนีออกมาว่าเขาอยู่ในช่วงยุคเวลาไหนของเกาหลีกันแน่ แล้วสุดท้าย เขาก็พบคำตอบที่ทำให้ล้างความเชื่อไปได้เลยว่าการย้อนเวลานั้นไม่มีอยู่จริง

     

    “คุณ… เอ่อ..ท่านแม่ทัพ ยังเจ็บที่แผลอยู่รึเปล่า?” คุณหมอในยุคปัจจุบันถามคนไข้ยุคโครยอพร้อมกับแสดงท่าทางประกอบคำถามด้วยการเอามือไปจับที่หัวไหล่ด้านหลังของตัวเอง แม่ทัพจงอินพยักหน้าเบาๆ คยองซูจึงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปข้างนอกห้อง ส่วนแม่ทัพได้แต่มองตามคนตัวเล็กที่เดินออกไปอย่างไม่ละสายตา

     

    เวลาผ่านไปสักพัก คยองซูจึงกลับมาที่ห้องนอนของแม่ทัพพร้อมกับถือถาดไม้ที่ในนั้นมีถ้วยข้าวต้มกลิ่นหอมฉุยวางอยู่พร้อมกับช้อนและแก้วน้ำไม้ไผ่มาวางที่โต๊ะไม้เล็กๆ ข้างเตียง

     

    “คุณ อะ..เอ่อ ท่าน…”

     

    “เรียกตามที่เจ้าอยากจะเรียกเถอะ หนุ่มน้อย” จงอินพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มต่างจากคราวที่เจอกันครั้งแรกเขายิ้มน้อยๆ ด้วยความเอ็นดูท่าทางเคลื่อนไหวที่เรียบร้อยราวกับเป็นสตรี ในขณะเดียวกันกับที่เขากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงไม้โบราณที่แกะสลักอย่างสวยงาม

     

    “งั้นคุณต้องกินข้าวต้มก่อน แล้วก็กินยาตามไปด้วย คุณจะได้หายปวดแผลไวๆไงครับ”

     

    “ข้า…”

     

    “ครับ?”

     

    “ข้ากินไม่ได้หรอกนะ เพราะแขนของข้า…”

     

    “อ่า…ผมลืมไปว่าคุณยังยกแขนขึ้นไม่ได้ มาครับ เดี๋ยวผมป้อน” คยองซูพูดด้วยเสียงนุ่มพร้อมกับลากเก้าอี้ไม้เล็กๆ เพื่อนั่งลงข้างเตียง เขาหยิบถ้วยข้าวต้มมาถือไว้และใช้ช้อนตักเมล็ดข้าวที่ถูกต้มจนนุ่มและปรุงรสอ่อนๆ เพื่อป้อนท่านแม่ทัพ

     

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลอันใดข้าวต้มที่ชายตัวเล็กป้อนเขาถึงได้มีรสชาติอร่อยกว่าที่เคยกินในชีวิต แม่ทัพหนุ่มรู้ตัวเองดีว่ามิอาจละสายตาจากใบหน้าสวยหวานราวกับผู้หญิงนี้ไปได้ ดวงตากลมโตมีประกายสวยราวกับท้องทะเลยามราตรี จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ริมฝีปากอิ่มเอิบ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยพบเจอใครที่มีใบหน้าสวยจนมิอาจละสายตาขนาดนี้มาก่อน

    พวงแก้มกลมสีขาวนวลขึ้นสีอมชมพู หนุ่มน้อยคนนี้เขินอายเขาอย่างนั้นหรือ

     

    คุณหมอหนุ่มรู้สึกว่าใบหน้าของเขาเริ่มร้อนผ่าว ตอนแรกเขาก็นึกว่าตัวเองมีอาการไข้เพราะตัวเองก็มีแผลที่ท้ายทอย แต่แผลมีขนาดเล็กและเขาก็รักษาตัวเองไปแล้วเพราะกระเป๋าสำหรับการปฐมพยาบาลเคลื่อนที่มีทั้งยาแก้ปวดแก้ไข้ยารักษาอาการอื่นๆหลายเม็ด รวมทั้งยังมีอุปกรณ์ทำแผลและผ่าตัดแผลเล็กๆอีกด้วย แต่คิดไปคิดมา ดูๆ แล้วที่เขามีอาการหน้าร้อนๆ เป็นเพราะว่าสายตาอ่อนโยนที่มองเขาไม่ยอมลดละจากแม่ทัพคนนี้ต่างหาก คยองซูหาที่วางสายตาไม่ได้เลย เพราะถ้ามองที่ใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพก็อาจเจอสายตาที่พร้อมจะหลอมละลายเขาได้ทุกเมื่อหรือมองไปที่ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าโดยมีแค่ผ้าพันแผลพาดที่ไหล่ขวาเอาไว้นอกนั้นก็เห็นแต่หน้าอกและหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยคยองซูทำได้แค่มองถ้วยข้าวต้มที่เขาถืออยู่ อยากจะถามกลับเหมือนกันว่ามองหน้าเขาทำไมหนักหนา แต่ก็เขาขอปิดปากเงียบไว้ก่อนเพราะกลัวว่าจะถูกลงโทษ รักษาตัวรอดไว้ก่อนจะดีกว่าในยุคเวลาแบบนี้

     

    “เจ้า…มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไรหรือ หนุ่มน้อย”

     

    “คยองซู โด คยองซูครับ”

     

    “เจ้ามีชื่อที่ไพเราะทีเดียวนะ คยองซู”

     

    “คะ..ครับ”

     

    “คยองซู เจ้าเป็นคนรักษาข้า ใช่หรือไม่”

     

    “ค..ครับ”

     

    “เจ้าคงเป็นหมอสินะ แต่ท่าทางของเจ้านั้นเหมือนกับคนจากต่างแคว้น…”

     

    “ครับ ผมเป็นหมอ ส่วนอีกเรื่องนั้น..บอกไปท่านก็คงไม่เชื่อผมหรอก ท่านแม่ทัพ”

     

    “อย่าคิดดูถูกข้าเชียว ข้าไม่ใช่คนหัวโบราณคร่ำครึที่เคร่งครัดจารีตประเพณีหรอกนะ ถึงเรื่องที่เจ้าอยากจะเอ่ยออกมาอาจจะดูไม่น่าเชื่อถือสำหรับคนอื่น แต่สำหรับข้า ข้าเชื่อเจ้า ด้วยความสัตย์จริง”

     

    “อ่า…”

     

    “พูดมาเถิด คยองซู”

     

    “ผมมาจากอนาคต อนาคตในอีกราว 1100ปีข้างหน้า”

     

    “อย่างนั้นเองหรอกหรือ ยุคสมัยคงเปลี่ยนไปอย่างมากเลยสิ”

     

    “ครับ เปลี่ยนไปมากจนท่านอาจจะช็อกตายเลยถ้าท่านได้เห็น”


    "ฮ่าๆ" ท่านแม่ทัพระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แต่ก็ต้องลดเสียงลงเพราะหัวเราะมากไม่ได้ เนื่องจากยังมีอาการเจ็บจากแผลที่ถูกธนูปักอยู่

     

    คนสองคนภายในห้องต่างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ตัวเองเคยพบเจออย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ในขณะที่คุณหมอยุคปัจจุบันป้อนข้าวป้อนน้ำคนไข้ในยุคโครยอไปด้วย ความอึดอัดในตอนแรกก็เริ่มผ่อนคลายลง เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้เพราะทั้งคุณหมอและท่านแม่ทัพต่างก็ไม่สนใจอะไรนอกจากใบหน้าของอีกฝ่าย จนกระทั่งยาแก้ปวดเริ่มออกฤทธิ์ทำให้แม่ทัพหนุ่มต้องนอนหลับพักผ่อนร่างกายอย่างเลี่ยงไม่ได้คยองซูจึงเดินออกจากห้องเพื่อไปจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อย

     

    .

    .

    .

     

    กาลเวลาดำเนินไปเรื่อยๆ ตามการหมุนตัวเองของโลก เวลาผ่านไปนานเรื่อยๆ จนคยองซูจากที่มีผมสั้นเกรียน ผมก็เริ่มยาวขึ้นจนตอนนี้เขาสามารถมัดผมครึ่งศีรษะแบบที่ผู้ชายในยุคโครยอนิยมทำกันได้แล้ว

     

    คยองซูเริ่มปรับตัวจนเข้ากับสังคมและผู้คนในยุคนี้ได้อย่างที่ตัวเขาเองไม่เชื่อเหมือนกันว่าเขาจะทำได้อย่างเช่น การเรียนอักษรจีนโบราณ ขนบธรรมเนียมประเพณีและยาสมุนไพรที่ใช้รักษาคนในยุคนั้นด้วย โดยมีแม่ทัพจงอินคอยให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างเขาเสมอ

    ถึงในยุคปัจจุบัน ที่ที่เขาจากมา เขาจะมีอาชีพเป็นหมอรักษาคนทั่วไป แต่ในยุคโครยอเขาก็ต้องทำแบบเดียวกันไม่ต่างกันเลย ด้วยความที่เขาไม่อยากอยู่เรือนของท่านแม่ทัพเฉยๆ โดนไม่ได้ทำอะไรเลย เขาจึงขอท่านแม่ทัพหนุ่มให้ตัวเขาได้เข้ารับราชการเป็นหมอรักษาผู้คนบ้าง โชคดีที่พระราชาและพระมเหสีต่างก็ทรงเมตตาและเอ็นดูในตัวเขา คยองซูจึงใช้ชีวิตอยู่ในยุคนี้และทำหน้าที่เป็นหมอคอยรักษาคนเจ็บไข้ได้อย่างสบายใจ ถึงแม้จะมีขุนนางคนอื่นๆที่คอยค่อนแคะเขาเพียงเพราะว่าเขาอาศัยอยู่เรือนเดียวกันกับท่านแม่ทัพแห่งโครยอ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด

     

    ยิ่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้นานๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่อยากกลับไปในยุคปัจจุบันเลย คงเป็นเพราะว่าเขารู้สึกผูกพันธ์และรักท่านแม่ทัพหนุ่มคนนี้มากเหลือเกิน ทุกช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เขามีความสุขมาก มากเสียจนไม่อยากจากไปไหนอีกแล้ว

     

    แม่ทัพหนุ่มเองก็เช่นกัน ยิ่งมีคุณหมอตัวน้อยน่ารักมาอยู่เคียงข้างกาย คอยดูแลปรนนิบัติในทุกเรื่อง ในยามที่เขาทำงานราชการมาเหนื่อยๆ หรือแม้กระทั่งไปออกศึกกลับมา คนๆ นี้ก็ไม่เคยปริปากบ่นแม้สักคำพูดเดียวแถมยังคอยพูดให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่นเสมอ

    คยองซูคือคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตที่เคยว่างเปล่า โดดเดี่ยวอ้างว้างและน่าเบื่อของแม่ทัพอย่างเขา ให้ชีวิตของเขามีสีสัน เสียงหัวเราะ และความสุขอย่างที่ตลอดชีวิตแม่ทัพอย่างเขาไม่เคยได้จากใครมาก่อน

     

    ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หัวใจทั้งสองดวงนี้ต่างก็แสดงออกว่ามีความรักให้แก่กันในฐานะคนรักมากขึ้น ถึงแม้ว่าสามารถแสดงความรักต่อกันได้แค่ในเรือนที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็ตาม เพราะว่าความรักระหว่างเพศเดียวกันเป็นเรื่องต้องห้ามและถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมในยุคสมัยนี้อย่างยิ่ง

     

    คยองซูไม่มีวันที่จะพยายามทำความเข้าใจในเรื่องนี้ แต่ก็ทำได้แค่เก็บเงียบเอาไว้ในใจเท่านั้น เขาทำได้แค่คิด คิดว่าความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกระหว่างคนสองคน เพศสภาพก็เป็นเพียงแค่คำที่คนในสังคมไปกำหนดและให้ความหมายกับมัน แถมยังกำหนดเอาตามลักษณะทางกายภาพของมนุษย์และกำหนดกึ่งบังคับด้วยว่าความรักที่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมเป็นเรื่องของชายและหญิงเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วความรักระหว่างเพศเดียวกันก็คือความรักที่มีคุณค่าเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

     

    .

    .

     

    ในค่ำคืนเทศกาลวันขับไล่ภูตผี ซึ่งจัดในเดือน 12 ตามจันทรคติ ท่านแม่ทัพได้รับพระราชทานอนุญาตจากฝ่าบาทให้สามารถลาหยุดในวันนี้ได้ นานๆทีจะได้หยุดพัก แต่แทนที่เขาจะนอนหลับพักผ่อนอยู่ที่เรือนเฉยๆ ตามที่เขาเคยในทำเวลาที่ได้หยุด เขากลับไม่อยากอยู่ที่เรือนเฉยๆ จึงพาคุณหมอตัวเล็กออกไปเปิดหูเปิดตากับงานเทศกาลของผู้คนในยุคนี้บ้าง แล้วก็คิดไม่ผิดจริงๆ เพราะคุณหมอคยองซูยิ้มแย้มร่าเริงมากกว่าทุกๆ วัน เจ้าตัวเดินไปนู่นมานี่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแถมยังกินอาหารและขนมนมเนยอย่างไม่หยุดปาก ไม่ว่าคุณหมอตัวเล็กจะทำอะไรก็น่ารักไปซะหมดจนแม่ทัพที่ยิ้มยากอย่างเขาอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ 

     

    “สวยจัง” คยองซูหยุดเดินตรงร้านขายเครื่องประดับ เขาสะดุดตากับแหวนหยก 2 วงที่วางคู่กัน เป็นแหวนหยกที่มีขอบสีเงินและลวดลายดอกไม้เถาวัลย์ตรงกลางของแหวน

     

    “พ่อหนุ่ม สนใจเครื่องประดับชิ้นไหนบอกป้าได้เลยนะจ้ะ”

     

    “อ่า…ครับ” คยองซูยิ้มแห้งๆ ใส่คุณป้า แม่ทัพจงอินที่วันนี้สวมชุดลำลองแบบชายโครยอสีดำซึ่งทำให้เขาดูดีเป็นพิเศษ ส่วนคนตัวเล็กในชุดลำลองแบบเดียวกันแต่ความยาวของชุดจะสั้นกว่าเพื่อให้พอดีกับขนาดลำตัว คยองซูถูกใจแหวน 2 วงนี้มากจนเขารู้สึกอยากได้มัน แต่ความรู้สึกเกรงใจท่านแม่ทัพนั้นมีมากกว่าเพราะคนตัวสูงออกเงินให้เขามามากพอแล้ว

     

    “พ่อหนุ่ม อย่าเพิ่งไป”

     

    “ครับ?”

     

    “ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพ่อหนุ่มหรอกนะ เจ้าควรจะกลับไปในที่ที่เจ้าจากมา อีก 12 วันจะถึงวันจันทรุปราคาเต็มดวง เมื่อถึงวันนั้นให้เจ้าไปที่วัดมังจองกัมและตรงไปยังที่ตั้งของเจดีย์ เมื่อจันทรุปราคาเต็มดวง ประตูมิติกาลเวลาจะเปิดออก เมื่อนั้นเจ้าจะได้กลับไปยังที่ที่เจ้าจากมา”

     

    คยองซูไม่พูดอะไรตอบกลับ เพราะจู่ๆ สมองของเขารู้สึกหนักอึ้งราวกับว่ามีใครเอาก้อนหินมาทับที่ศีรษะ ความรู้สึกที่จะได้กลับไปในโลกของเขาก็เริ่มกลับเข้ามาในใจทำให้เขาสับสนอีกครั้ง ใบหน้าหวานสะบัดหัวน้อยๆ เพื่อไล่ความคิดบ้าๆ นี้ออกไป ถ้าท่านแม่ทัพไม่ไล่เขา เขาก็จะไม่กลับไปในโลกปัจจุบันอีก

     

    คนตัวเล็กรีบไปหาคนตัวสูงที่กำลังยืนดูหน้ากากหลากหลายรูปแบบของร้านขายหน้ากากซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่

     

    “คยองซู เจ้าไปรอพี่ที่โรงเตี๋ยมแดงได้หรือไม่ พอดีว่าพี่มีธุระต้องไปจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน”

     

    “ได้สิ พี่ไปไม่นานใช่ไหม?”

     

    “ไม่นานหรอก เดี๋ยวพี่ก็กลับมา” ก่อนที่จงอินจะเดินออกไปจากร้านขายหน้ากากเขาก็ลูบหัวของคนตัวเล็กอย่างเบามือด้วยความรักและส่งยิ้มสวยพิมพ์ใจให้เพื่อให้คยองซูสบายใจ

     

    คุณหมอคยองซูมักจะกังวลจนพาลร้องไห้เสมอ เพราะในทุกๆ ครั้งที่เขาออกไปทำธุระนอกเหนือเวลาราชการ เขามักจะได้แผลกลับมาให้คนตัวเล็กคอยรักษาทั้งน้ำตาทุกครั้งไป อาจเป็นเพราะบทบาทหน้าที่ของแม่ทัพที่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่และสามารถตายได้ตลอดเวลาแล้วด้วย แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ไปทำธุระที่ไหนไกลๆ หรอกนะ

     

    จงอินเดินกลับมายังร้านขายเครื่องประดับที่คยองซูหยุดดูเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เขาหยิบแหวนหยกสองวงที่มีลวดลายสวยงามขึ้นมาดู ก่อนที่จะล้วงไปที่ใต้ชายแขนเสื้อสีดำเพื่อหยิบเงินออกมาจ่ายค่าแหวนหยก

     

    “พ่อหนุ่ม ป้าไม่คิดเงินหรอก”

     

    “อ้าว..”

     

    “รับเอาไปเถิด” ถึงแม้ว่าท่าทีของคุณป้าดูแล้วน่าฉงน แต่เมื่อได้แหวนหยกมาแล้วเขาก็ไม่มีเวลาให้สงสัยอะไรเพราะต้องรีบกลับไปหาคุณหมอตัวเล็ก เขากลัวว่าคุณหมอจะมีความกังวลอีก

     

    ในระหว่างทางที่เดินไปยังโรงเตี๋ยมแดง จงอินเกิดความคิดขึ้นมาในหัวว่า อีก 12 วันซึ่งเป็นวันที่เขาต้องไปจับกุมและล้างบางพวกเสนาบดีใหญ่ที่กำลังคิดก่อการกบฎ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้วและเขาเดินทางกลับมาถึงเรือนที่พัก เขาก็จะมอบแหวนหยกนี้แก่คยองซูเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักแทนใจระหว่างกัน เพื่อเป็นการบอกว่าเขารักคนๆ นี้แค่คนเดียวเท่านั้น และเพื่อแทนคำขอโทษที่เขาไม่ค่อยเอ่ยวาจาบอกรักคุณหมอตัวน้อยนี้ซะเท่าไหร่ด้วย

     

    .

    .

    .

     

    เช้าวันต่อมา

     

    “ท่านแม่ทัพ ข้ามีข่าวจะมาแจ้งให้ท่านทราบขอรับ” ลูกน้องที่ชื่อว่า ยอนซี จู่ๆก็มาหาถึงที่เรือนแต่เช้า ตอนนี้กำลังยืนรอเข้าพบท่านแม่ทัพที่หน้าห้อง

     

    “เข้ามาสิ” เมื่อสิ้นคำพูดจากปากของเจ้าของเรือน ลูกน้องคนสนิทจึงเปิดประตูและเดินเข้ามา ส่วนคยองซูคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากจึงเดินออกจากห้องไปเพื่อให้พวกเขาได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว

     

    แต่ความรู้สึกในใจลึกๆ ในคราวนี้กลับบอกว่าให้แอบฟังให้ได้ คยองซูจึงรีบเดินลงจากเรือนแล้วเดินไปตรงหน้าต่างของห้องนอนแม่ทัพเพื่อแอบฟัง

     

    “มีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับท่านและท่านหมอคยองซูขอรับ”

     

    “ข่าวลือ? ข่าวลืออันใดกัน”

     

    “ข่าวลือเรื่องความรักระหว่างท่านกับท่านหมอ…”

     

    “ที่ผ่านมามันก็มักจะมีข่าวลือแบบนี้ไม่ใช่หรือ ข้าฟังจนชินหูเสียแล้ว”

     

    “แต่คราวนี้ ข่าวลือนี้กำลังจะทำให้ท่านเดือดร้อนนะขอรับ เพราะพวกขุนนางกรมวังกำลังเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมสภาขุนนางในอีก 11 วันข้างหน้า พวกนั้นอาจจะเอาเรื่องนี้มาโจมตีท่านได้.. ยิ่งท่านแข็งขืน พวกนั้นก็อาจจะเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านได้รับรู้ ท่านอาจจะโดนเนรเทศออกจากเมืองหลวงและโดนปลดออกจากการเป็นแม่ทัพได้เลยนะขอรับ” ยอนซีพูดด้วยสีหน้าวิตกกังวลเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขารับรู้ในความสัมพันธ์ของท่านแม่ทัพกับท่านหมอมาโดยตลอด เขาไม่เคยคิดขัดขวางใดๆ แถมยังช่วยปกปิดไม่ให้พวกขุนนางล่วงรู้ด้วยซ้ำ

     

    “โดนเนรเทศ ก็ดีน่ะสิ! ข้าเริ่มเบื่อหน่ายกับการเมืองในราชวงศ์นี้เต็มทนแล้ว”

     

    “แต่ท่าน ช่วงนี้บ้านเมืองยังคงวุ่นวาย แล้วฝ่าบาท…พระองค์ไม่มีใครเลยนะขอรับนอกจากท่านแม่ทัพ..”

     

    “แล้วข้าควรทำเช่นไร”

     

    คยองซูที่ยืนแอบฟังเงียบๆ ดวงตาเริ่มมีน้ำใสๆออกมาจนมันไหลอาบแก้ม ความรู้สึกทั้งหลายถาโถมประดังประเดเข้ามาจนเขาเกินจะรับไหวอีกต่อไปแล้ว

     

     

    ความคิดที่จะอยู่กับท่านแม่ทัพตลอดไปในโลกนี้ มันไม่มีวันเป็นไปได้ใช่ไหม

    ความรักบริสุทธิ์ของเขาที่มีให้กับท่านแม่ทัพนั้นจะกำลังจะกลายเป็นอุปสรรคในชีวิตของคนๆ นั้น

    การที่พวกเรารักกันมันผิดมากใช่ไหม สวรรค์ช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว

     

     

    ความคิดที่จะกลับไปในโลกปัจจุบันกลับเข้ามาในหัวของคยองซูอีกครั้ง คราวนี้มันครอบครองจนทำให้คยองซูเหม่อลอยไม่เป็นอันทำอะไรหลายวัน จนวันสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่ในโลกนี้ก็มาถึง วันที่เขาสมควรต้องกลับไปโลกเขา วันนี้มาถึงแล้วจริงๆ

     

    แม่ทัพจงอินออกจากเรือนด้วยความกังวลใจ เพราะใบหน้าที่อมทุกข์พร้อมที่จะร้องไห้ตลอดเวลาของคุณหมอคยองซูตอนที่กำลังสวมชุดเกราะให้กับเขา ใบหน้าแบบนั้นไม่อาจละออกจากหัวได้เลย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะวันนี้เป็นวันที่สำคัญอย่างยิ่ง

     

    เมื่อเจ้าของเรือนออกเดินทางไปแล้ว คยองซูจึงเก็บข้าวของๆ ตัวเองพร้อมกับวางซองกระดาษจดหมายสีขาวที่จ่าหน้าซองถึงท่านแม่ทัพ พร้อมๆกันนั้น ขาของเขาก็เริ่มอ่อนแรงและทรุดลงกับพื้น น้ำใสๆ เริ่มเอ่อท้นออกมาจากดวงตาร้อนผ่าวอีกครั้ง เขาร้องไห้อย่างเงียบๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนในท้ายที่สุดมันหยุดไหลไปเอง

     

    “เจ้าไม่ต้องตามข้าไปหรอกนะ เดี๋ยวข้าออกไปรักษาคนไข้ที่เจ็บป่วยบนภูเขา เสร็จแล้วข้าก็จะกลับมาเอง” คยองซูบอกกับคนรับใช้ที่ท่านแม่ทัพคอยให้ติดตามเขาเวลาที่ออกไปไหนมาไหน

     

    “ขอรับท่านหมอ”

     

    ก่อนที่เท้าจะก้าวเดินออกจากประตูไม้บานใหญ่ คยองซูในชุดลำลองสีขาวสะอาดตา ไหล่บางสะพายกระเป๋าปฐมพยาบาลสีดำเอาไว้หันกลับไปมองยังหน้าต่างห้องนอนของท่านแม่ทัพอีกครั้ง ความรู้สึกเศร้าใจและอาลัยอาวรณ์ถาโถมประดังเข้ามาจนเขาเกือบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ในหัวใจของเขาไม่อยากลาจากท่านแม่ทัพจงอินคนที่เขารักสุดหัวใจ เขาไม่อยากจากที่แห่งนี้ไปเลย

     

    แต่…เพื่อให้ชีวิตของพี่ราบรื่น ตัวอุปสรรคอย่างเขาขอเป็นฝ่ายลาจากจะดีกว่า

     

    .

    .

    .

     

    ยามพลบค่ำของวันที่12 วันที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง


    ดวงจันทร์บนท้องฟ้าค่อยมีเงาๆ คืบคลานเข้ามาปิดบังทีละน้อย


    “คยองซูอยู่ไหน! ข้าถามเจ้าว่าคยองซูอยู่ที่ไหน!” จงอินตะคอกใส่คนรับใช้ที่กำลังก้มหน้างุดด้วยความกลัวเป็นเพราะว่าหลายปีที่ผ่านมาท่านแม่ทัพไม่เคยโมโหขนาดนี้มาก่อน

     

    แม่ทัพจงอินที่เดินทางกลับมาถึงเรือนพร้อมกับรอยยิ้มและอารมณ์ดีเนื่องจากวันนี้เขาทำการสำเร็จเพราะปราบพวกเสนาบดีใหญ่ลงได้ ดาบที่อยู่ในฝักยังเต็มไปด้วยคราบเลือดเนื่องจากเขารีบกลับมาที่เรือนจนไม่มีเวลาที่จะเช็ดคราบเลือดออกและตามร่างกายของเขาก็ยังไม่ได้ทำความสะอาดด้วยซ้ำ

     

    แต่เมื่อกลับมาถึงเรือนและย่างเท้าเดินเข้าไปในห้องนอน หวังว่าจะเจอคุณหมอตัวเล็กที่มักจะยิ้มกว้างอย่างน่ารักเสมอเมื่อเขาเดินทางกลับมาถึง แต่บัดนี้ ทั้งห้องมีแต่ความว่างเปล่า ข้าวของเครื่องใช้ของคยองซูก็หายไปด้วย เขาเดินตามหาคนตัวเล็กด้วยความหวาดหวั่นและความกลัวในใจ ความคิดหนึ่งที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ จู่ๆ มันก็เข้ามาอยู่ในหัว

     

    คนที่มาจากต่างโลกกัน เมื่อพบกัน ก็ต้องมีการจาก ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

     

    จงอินที่เดินกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งก็พบกับซองจดหมายสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะไม้กลมกลางห้องหน้าซองจดหมายเขียนชื่อของเขาด้วยพู่กัน ซึ่งเขียนด้วยตัวอักษรจีนโบราณ เขาแกะผนึกออกและดึงกระดาษที่อยู่ในซองจดหมายออกมาด้วยมือที่สั่นเทา

     

     

     

     

     

     

    ถึง ท่านแม่ทัพผู้ที่ข้ารักอย่างสุดหัวใจ

     

    เมื่อท่านได้อ่านจดหมายฉบับนี้ นั่นก็แสดงว่าข้าได้กลับไปยังโลกของข้าแล้ว

    ใจจริงๆ ของข้านั้นไม่อยากจากท่านไปเลย ข้าไม่เคยแม้แต่จะคิด ไม่เคยแม้สักชั่วยามเดียว

     

    ข้านั้นรู้ตัวเองมาตลอดว่าสักวัน…สักวันเราก็ต้องจากกัน

     

    ในวันที่ยอนซีมาแจ้งข่าวกับท่าน เวลานั้นข้าได้แอบฟังและรู้เรื่องราวทุกอย่าง

    ข้ารู้ว่าในหัวใจของท่านไม่ได้คิดว่าข้า…หรือความรักของเรา เป็นอุปสรรคสำหรับท่าน ข้ารู้ดี

    แต่…เป็นข้าเองที่คิดอย่างนั้น

    ไม่ใช่เพราะว่าข้าไม่รักท่าน แต่เพราะข้ารักท่านมาก มากเสียจน

     

    ถ้าตัวข้า และความรักของข้าเป็นอุปสรรคสำหรับท่าน ถ้าอย่างนั้น…ข้าขอลาจากท่านเสียดีกว่า

     

    ชีวิตที่เป็นดั่งความฝัน ได้มีความรักที่ดี ได้รับความรักอันมากมายจากท่าน เป็นดั่งความฝันจนข้าไม่อยากจะตื่นเลย

    แต่ถึงเวลาที่ต้องตื่นจากฝันนี้เสียที

    ชีวิตช่วงหนึ่งท่านที่มีข้าอยู่ในนั้น มันจะถูกฝังไปตามกาลเวลาและหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

     

    ขอบคุณความเมตตากรุณาของท่านสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา

    ขอบคุณสำหรับความรักที่ท่านมีให้แก่ข้า

     


    ข้าขออธิษฐานกับสายลมและดวงดาว

     

    ขอให้ท่านได้โปรด…ลืมข้าไปเสียเถิด

     

    และขอให้ท่านใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่เจ็บป่วย และได้ครองคู่กับคนที่ท่านรักในอนาคต

    ถ้าท่านมีความสุข ข้าก็จะมีความสุขตามไปด้วย

     

    คยองซู

     

     

    เมื่ออ่านเนื้อความในจดหมายจบกระดาษแผ่นน้อยๆ สีขาวร่วงลงกับพื้นห้องทันที แม่ทัพผู้แข็งแกร่งหมดสิ้นแรงกายที่จะยืนไหว เขาคุกเข่าลงกับพื้นและตัวเริ่มสั่นเทา

     

    ถ้าข้ารั้งตัวเจ้าเพื่อถามไถ่ว่าทำไมถึงมีสีหน้าอมทุกข์เช่นนั้น ถ้าข้าเอ่ยปากถามเจ้าสักนิด

     

    จงอินหยิบแหวนหยกที่เขาเก็บไว้ในกล่องสมบัติเล็กๆ และวิ่งออกจากห้องนอน ขึ้นไปบนหลังม้าและขี่ควบออกจากเรือนไปด้วยความบ้าคลั่ง ถ้าตอนนี้…ถ้าออกตามหาในตอนนี้ น่าจะเจอคยองซู


    แต่แล้ว…ขี่ม้าควบตามหาไปในที่แห่งหนทางไหน ก็ไม่พบเจอแม้แต่เงาหรือแม้แต่กลิ่นกายหอมๆ ของคนตัวเล็ก เขาก็ยังไม่ได้กลิ่นเลย

     

    นี่ข้า…ข้าสูญเสียเจ้าไปแล้วตลอดกาลใช่ไหม

     

     

     

     

     

    “คำอธิษฐานผ่านสายลมและดวงดาว”

     

     

    ชายหนุ่มรูปงามในชุดเสื้อเกราะสีเงินเต็มยศนั้นยืนอยู่ตรงหน้าผาของขุนเขาท่ามกลางหมู่แมกต้นไม้ใหญ่

    ท่าทางของเขาช่างดูอิดโรยและเหนื่อยล้า

     ความแวววาวที่แฝงไปด้วยจุดดวงสีแดงจากคราบเลือดของศัตรู

    ดาบสีเงินเล่มใหญ่ในมือข้างซ้ายอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉาน

     

    มือข้างขวาของเขากำแหวนหยกวงหนึ่งไว้แน่นจนเส้นเลือดที่หลังมือขึ้นนูนจนเด่นชัด

     

    ชายหนุ่มคุกเข่าลงกับแผ่นดินที่เขาใช้แรงกายและชีวิตต่อสู้เพื่อรักษามันเอาไว้

    หยดน้ำใสๆ รูปทรงกลมราวกับไข่มุกค่อยๆ หยดลงบนพื้นดินแข็งกระด้าง

    หยดน้ำใสๆ ที่ค่อยๆ ไหลลงมาจากดวงตาคู่สวยและไหลผ่านอาบแก้มตอบ

    ร่างกายของเขาสั่นเทา ไม่ใช่เพราะความหนาวเย็น แต่เป็นเพราะว่า…เขากำลังร้องไห้

    เขาร้องไห้เป็นครั้งแรกในชีวิต

     

     

    ในคืนจันทรุปราคาเต็มดวง

    ในคืนที่ข้าต้องพรากจากคนที่รักดั่งดวงใจ

    หัวใจของข้าแหลกสลาย

     

    ท้องฟ้ายามไร้แสงจันทร์และเมฆหมอกนั้นช่างเงียบสงบเหลือเกิน มีเพียงดวงดาวและสายลมเย็นยะเยือกเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างข้า

    สายลมเอ๋ย ได้โปรดนำพาความรักของข้าไปให้ถึงคนๆ นั้นด้วย

    ดวงดาวเอ๋ย ได้โปรดรับฟังคำอธิษฐานและความรู้สึกของข้าด้วยเถิด

     

    “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่แห่งหนใด ขอให้เจ้าพบเจอแต่ความสุขตลอดไป

    ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่แห่งหนใด ขอให้เจ้าจงรับรู้ไว้ว่าความรู้สึกของข้าไม่มีวันแปรผัน

    และได้โปรดอย่าร้องไห้ในยามที่ข้าไม่ได้อยู่เคียงข้าง

     

    “ข้ารักเจ้า คยองซู”

     

     

     

     

    Talk Talk


    ถ้าอ่านจบแล้ว…อย่าเพิ่งด่าเรานะ

    เรารู้ว่ามันโหดร้าย แต่ตอนแต่งเราก็ร้องไห้เหมือนกันนะ ยิ่งตอนท่านแม่ทัพจงอินอ่านจดหมายTT ฮึก

     

    แต่งฟิคด้วยความอยากล้วนๆเลย ความหมายของเพลงกับเนื้อหาของฟิคไม่น่าเกี่ยวกันได้ ภาษาและความเป็นพีเรียดจึงค่อนข้างกระท่อนกระแท่นพอสมควร กราบขอโทษคนอ่านทุกคนมา ณ ที่นี้

    เพราะเราอยากแต่งจริงๆนะ

     

    พล็อตฟิค Inspiration จากซีรี่ย์ Faith

     

    ปล. ตามไปด่าเราได้ที่ #รักแห่งไคซู on twitter




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in