Chapter 9
To.D
I could spend hours looking at you and your smile.
K.
กลิ่นหอมละมุนเหมือนกับกลิ่นหอมที่เขาได้กลิ่นเมื่อตอนเช้า กลิ่นหอมที่ยังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึก กลิ่นหอมที่ยังคงค้างอยู่ที่ปลายจมูก กลิ่นหอมละมุนละไมของโกโก้ในรูปแบบเย็น กลิ่นหอมประจำตัวของไค
ทันทีที่คยองซูและชานยอลก้าวเท้าเดินออกมาจากห้องเรียนหลังจากที่เกินเวลาเลคเชอร์มานิดหน่อยเพราะว่าพวกเขาต้องปรึกษากับอาจารย์ประจำวิชานี้เกี่ยวกับเรื่อง Project ส่งหลังสอบ พวกเขาทั้งคู่ก็พบกับไคและแบคฮยอนที่ยืนรอพวกเขาอยู่หน้าห้องอยู่เป็นเวลานานแล้ว ซึ่งนานพอที่ไคจะเดินออกไปซื้อโกโก้เย็น 2 แก้วที่ร้าน Coffee shop หน้ามหาวิทยาลัยและก็เดินกลับมาที่เดิมอีกครั้ง
ร้าน Coffee shop สถานที่ที่เขาและพี่คยองซูเดินชนกันหน้าร้านแบบไม่ได้ตั้งใจ ที่ที่เขาได้เจอกับพี่คนนี้เป็นครั้งแรก ที่ที่เขาเลี้ยงกาแฟเพื่อเป็นการไถ่โทษในความผิดที่เขาไม่ได้ก่อ ที่ที่เขาได้นั่งมองคนที่มีใบหน้าตาน่ารักเหมือนกับเพนกวินเวลาที่เจ้าตัวกำลังเคี้ยวชิ้นพายไก่ในปากตุ้ยๆ พร้อมๆ กับพวงแก้มกลมขึ้นสีชมพูอ่อนๆ
เขารู้แค่ว่า ณ ช่วงเวลานั้น เขามิอาจละสายตาจากคนๆ นี้ได้เลย…แม้สักวินาทีเดียว
รุ่นน้องร่างสูงนั้นมีความตั้งใจที่จะซื้อโกโก้เย็นให้พี่คยองซูได้ลองดื่มแทนการดื่มอเมริกาโน่ซึ่งเป็นเมนูประจำของเจ้าตัวบ้าง ขืนเขาซื้อมาให้รุ่นพี่ดื่มอีก มีหวังในคืนนี้เจ้าตัวอาจจะตาแข็งไม่ได้หลับไม่ได้นอนแน่ถ้าดื่มกาแฟเข้มๆ นี้ไปอีกแก้ว
ทันทีที่ชานยอลก้าวเท้าพ้นออกจากประตูห้องเรียนก็เดินตรงดิ่งไปหาแฟนตัวเล็กโดยไม่หันมาสนใจเพื่อนสนิทอย่างคยองซูอีกเลย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็รู้สึกชินไปเสียแล้ว เพราะว่าเวลาที่แบคฮยอนมายืนรอที่หน้าห้องเรียน ชานยอลก็มักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ก็คนเป็นแฟนกันนี่นะ
คนที่ตัวสูงที่สุดในที่นี้ใช้มือหนาขยี้เส้นผมนุ่มของคนที่มีความสูงระดับแค่แผ่นอกด้วยความรัก การกระทำของคนตัวโตเรียกรอยยิ้มจากคนตัวเล็กได้เสมอ คนที่เห็นภาพแบบนี้จนชินตาอย่างคยองซูก็อดที่จะอมยิ้มตามไม่ได้อยู่ดี
คนที่มองเห็นและรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 คนนี้มาตลอดอย่างเขา ในห้วงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน คำนิยามเชิงสัญลักษณ์ที่น่าจะใช้แทนตัวพวกเขาได้ก็ผุดขึ้นมาในสมองทุกครั้ง
แบคฮยอน คือ รอยยิ้มและแสงสว่างอันแสนสดใสสำหรับชานยอล
[Baekhyun is a smile and light an extremely bright for Chanyeol.]
ชานยอล คือ ความสุขและความอุ่นใจสำหรับแบคฮยอน เช่นกัน
[Chanyeol is happiness and peace of mind for Baekhyun.]
คยองซูเคยถามชานยอลเหมือนกันว่าเพราะอะไรและทำไมถึงรักรุ่นน้องหน้าหวานนามว่า 'แบคฮยอน' คนนี้ได้ แถมยังตามเทียวไล้เทียวขื่อตั้งหลายเดือนแต่ก็ไม่ยอมขอเป็นแฟนซะทีเพราะความป๊อดของเพื่อนตัวโย่ง จนเขาเองต้องออกแรงสร้างแผนการบีบบังคับให้ชานยอลขอรุ่นน้องคนนี้เป็นแฟนจนได้
‘กูคงให้คำตอบแบบชัดเจนกับมึงไม่ได้หรอกนะว่าทำไม แต่กูแค่รู้สึกว่า…สายตาเป็นประกายในทุกครั้งที่มองนั้นทำให้หัวใจของกูเต้นแรงมาก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเหมือนหมาตัวสั้นๆ แบบหมาคอร์กี้ที่ทำให้กูแทบละลายลงกองไปกับพื้น’
‘…’
‘มึงอาจจะคิดว่าคนอื่นๆ ที่น่ารักกว่านี้ก็ทำแบบแบคฮยอนได้ ทำไมกูถึงไม่ชอบล่ะ…อืม พูดมาถึงตรงนี้กูก็ยังตอบคำถามมึงแบบชัดเจนไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ’
‘…’
‘แต่กูเชื่อนะ กูเชื่อว่ามันจะมีสักวันนึง วันที่มึงอาจจะเจอคนที่ทำให้มึงรู้สึกว่ารอยยิ้มและสายตาของเขาทำให้มึงอยากเห็นเขาอยู่ในสายตาและอยากอยู่ใกล้ๆ เขาตลอดเวลา ถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่…มึงคงจะเข้าใจในคำตอบของกูเอง’
.
.
“They say when you meet the love of your life, time stops, and that’s true.”
[ว่ากันว่า เมื่อคุณเจอรักแท้ในชีวิต เวลาจะหยุดเดิน มันเป็นเรื่องจริงด้วย]
- Big Fish (2003)
“นี่ครับ ผมซื้อโกโก้เย็นมาฝาก” ไคยื่นแก้วสีใสที่ข้างในนั้นบรรจุน้ำแข็งและน้ำสีน้ำตาลเข้มเอาไว้ให้คนตัวเล็กที่มายืนอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าหวานที่ซ่อนความเข้มเอาไว้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่แก้วน้ำที่อยู่ในอุ้งมือของรุ่นน้องอย่างไม่วางตา
“ฝากพี่? ก็…เดี๋ยวไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันแล้วไม่ใช่เหรอ” คยองซูรับแก้วโกโก้เย็นมาจากมือคนตัวสูงแบบงงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยกแก้วขึ้นมาถือในระดับคางแล้วก็ใช้ปากงับหลอดเพื่อที่จะดูดทันที
“คือ ผมคิดว่าพี่น่าจะเพลียแล้วก็เหนื่อยหลังจากที่เรียนเสร็จ ก็เลย…หาอะไรหวานๆ เย็นๆ ให้พี่ดื่มก่อนน่ะครับ”
“อื้อ ขอบคุณนะ พี่รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย :)” ก็จริงอย่างที่ไคบอก พอเขาได้สัมผัสกับรสชาติหวานละมุนและความเย็นจากน้ำแข็งของโกโก้เย็นนั้นก็ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที เป็นโกโก้เย็นที่ไม่หวานในรูปแบบที่ทำให้แสบคอ แต่เป็นความหวานแบบพอดีๆ แถมยังคงกลิ่นหอมของเมล็ดโกโก้เอาไว้ครบถ้วน
อ่า…อีกแล้วนะ รอยยิ้มแบบนี้มาอีกแล้วนะ เสียงความคิดในหัวสมองของไคดังขึ้นทันทีที่เจ้าตัวเห็นริมฝีปากรูปหัวใจนั่นขยับขยายเป็นหัวใจดวงกว้างอีกครั้ง แต่คราวนี้พิเศษกว่าเดิมเล็กน้อยตรงที่เจ้าของรอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นยิ้มพร้อมๆ กับที่ดวงตากลมโตก็กลายเป็นเส้นขีดครึ่งวงกลมไปแล้ว เวลาที่พี่คยองซูยิ้มทีไรทำให้เขานึกถึงแมวทุกที รอยยิ้มที่เหมือนกับลูกแมวตัวเล็กๆ ในเวลาที่มันออดอ้อนเจ้าของให้ลูบหัวมันด้วยความรัก
อยากเป็นเจ้าของแมวตัวนี้จัง ต้องทำยังไงถึงจะได้เป็นนะ
ว่าแล้วเขาก็อดใจไม่ได้ ฝ่ามือหนาของคนตัวสูง 182cm ก็ย้ายตำแหน่งไปอยู่บนเส้นผมนุ่มสีดำเงาแทน เขาวางมือและลูบเบาๆ ราวกับกำลังลูบหัวของลูกแมวตัวน้อย ด้านคนที่ถูกลูบหัวโดยไม่ทันตั้งตัวแทบจะสำลักโกโก้เย็นที่กำลังดูดอยู่ คยองซูนั้นทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ในเวลาที่เขาเขินนั้นสมองมักจะประมวลอะไรไม่ได้เลยแม้สักความคิดเดียว เขารู้สึกได้ว่าอุณหภูมิที่ผิวหน้าโดยเฉพาะบริเวณแก้มนั้นเริ่มสูงขึ้น แน่นอนว่าใบหน้าของเขาต้องแดงมากแน่ๆ
“
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย”
‘ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง เราได้กลับมาก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ น่าสมเพชจริงๆ นะเรา’
เทพผู้พิทักษ์ที่หล่อเหลาราวกับเป็นเทพบุตรจากสวรรค์กำลังพูดรำพึงรำพันกับตัวของเขาเอง ภายในห้องส่วนตัวซึ่งตกแต่งในแบบสไตล์โกธิคและหน้าต่างกระจกบานใหญ่ เป็นห้องที่เขาเอาไว้ดูการเจริญเติบโตของเหล่าต้นไม้และเป็นห้องไว้พิจารณาตนเอง
ความรู้สึกผิดหวังและความรู้สึกสุขใจที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน นี่มันคืออะไร?
คิมชินระบายยิ้มน้อยๆ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
แต่แล้ว ความรู้สึกสุขใจนั้นเอาชนะความรู้สึกผิดหวังลงไปได้อย่างราบคาบ เพียงเพราะว่า…เขายังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ได้มองใบหน้าเจ้าสาวของเขาต่อไป
แสงจันทร์ในยามราตรีสาดส่องกระทบกับแผ่นกระดาษน้อยๆ สีขาว บนนั้นมีลายมือน่ารักจากเจ้าสาวของเขาที่เขียนร่างพันธะสัญญาเอาไว้ หึ…เธอทำราวกับว่าการที่เขาจะเลือนหายไปจากโลกใบนี้นั้นเป็นเรื่องใหญ่
‘ในวันหิมะแรกของทุกปี คุณโทแกบีจะต้องยอมให้ฉันเรียกมาหา
ฉันจะรอคุณนะคะ..
ลงชื่อ คิมชิน’
ก็อบลินหนุ่มในอายุ 939 ปี อ่านทวนพันธะสัญญาบนกระดาษแผ่นน้อยๆ ซ้ำไปซ้ำมา…ด้วยรอยยิ้ม
เขานั่งนึกทบทวนเหตุการณ์ในตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อสาวน้อยไฮสคูลชั้นปีสุดท้ายวัย 19 ปี ได้ย่างก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา…อาจจะด้วยช่วงเวลาและโชคชะตาที่เขากำหนดขึ้นมาเองแบบไม่ได้ตั้งใจ
ความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งสุขและเศร้า เกิดขึ้นสลับกันและขึ้นลงไปมาเหมือนกับกราฟที่ผันผวนของระบบหุ้น
จะว่าไปแล้ว ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา กราฟชีวิตของเขาก็มีแค่ความรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดเท่านั้นเพราะเขาต้องทนอยู่ใช้ชีวิตกับบทลงโทษที่พระเจ้ามอบให้ นั่นคือ ความอมตะ
แต่ทว่า…ตั้งแต่ที่ ‘จีอึนทัค’ ก้าวเข้ามาในชีวิตอันเงียบเหงาโดดเดี่ยว ก็อบลินหนุ่มก็รู้สึกว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดการณ์และไม่สามารถควบคุมได้
เป็นเพราะอะไรกันแน่?
- ก่อนที่เจ้าสาวแค่ในนามจะมาพักอาศัยอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน ตัวเขามักจะหาข้ออ้างไปแอบดูหรือไปหาเธออย่างเงียบๆ ทั้งที่ร้านขายหนังสือที่เธอเดินผ่านและร้านขายไก่ทอดที่เธอทำงานพิเศษ
- ในเมืองควิเบก เขาเผลอใช้อำนาจในการเรียกดาบประจำตัวและเล่นตลกกับทางม้าลายข้ามไฟแดงบนท้องถนน…เพื่อเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
- เขาเมาเพราะเบียร์กระป๋องในขณะที่กำลังเดินอยู่ในสวนสาธารณะกับเธอ เขาพูดอะไรหลายอย่างและไม่ยอมไปไหนเมื่อเธอไล่ให้เขากลับบ้าน แต่ทว่า…หลังจากที่เขาตื่นนอนในสภาพที่ดูไม่ค่อยได้ เพราะถูกหลานชายปลุกเพื่อจะต่อว่าต่อขานกับสิ่งที่เขาทำลงไปในตอนเมาอย่างไม่รู้ตัว เพียงแค่เขาทำให้อากาศอุ่นขึ้นผิดปกติและทำให้ดอกท้อบานในฤดูใบไม้ร่วง…ตอนเมาเขามักจะเป็นแบบนี้แหละนะ
- หรืออย่างที่เขาถูกเจ้าสาวจุมพิตท่ามกลางหิมะแรกของปีตกในทุ่งดอกบัควีท เพียงเพราะว่าเธอร้อนรนอยากจะดึงดาบออกจากอกของเขาโดยเร็ว เนื่องจากเธอมีความเชื่อว่าเจ้าชายที่ถูกคำสาปจะถอนคำสาปออกได้ก็ด้วยการจุมพิต…ช่างโง่เขลาเสียจริง
แต่…ในขณะที่ริมฝีปากของเขาและของเธอประกบกันอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นหิมะที่กำลังตกโปรยปรายก็ไหลย้อนกลับคืนสู่ท้องฟ้าในช่วงเวลาสั้นๆ
เขาเขินอายราวกับตัวเขาเป็นสาวแรกแย้มยังไงยังงั้น แต่เขาก็กลบเกลื่อนด้วยการพ่นคำที่ไม่สมควรพูดออกไป
‘ลืมตา ทำไมเธอ…บ้าไปแล้วเหรอ?’
‘บ้าเหรอ…’
อ่า…หลังจากนั้นเธอก็โวยวายยกใหญ่ พูดอะไรออกมาหลายอย่างด้วยอารมณ์โมโห นั่นเป็นเพราะว่าเธอก็เสียจูบแรกเหมือนกันกับเขา
อ่า…สติหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ บ้าบอเสียจริง
หรือเพราะว่า…เขากำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก ก็เลย..ควบคุมตัวเองไม่ได้
”
“คือ…ฮยอนกับพี่ชานไปก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับพี่คยองซู มึงด้วย” แบคฮยอนพูดพร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อยต่อหน้ารุ่นพี่ที่กำลังหน้าแดงราวกับผลมะเขือเทศสุก เขาบอกลาทั้งรุ่นพี่และเพื่อนเพื่อที่เขาจะได้ไปใช้เวลาส่วนตัวกับพี่ชานยอล
“อือ บายเพื่อน” ไคยกมือที่วางอยู่บนหัวของรุ่นพี่ตัวเล็กขึ้นมาเพื่อที่จะโบกมือบอกลาคนทั้งคู่
ทั้งเขาและพี่ชานยอลนั้นอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เมื่อได้เห็นภาพไคลูบหัวพี่คยองซูแล้วเจ้าตัวก็อมยิ้มชอบใจและก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกมากๆ เพราะว่าพี่คยองซูไม่ค่อยชอบให้พวกเขามาสกินชิพด้วยซะเท่าไหร่ แถมยังออกหมัดทุบตีพี่ชานยอลทุกครั้งที่เจ้าตัวโดนลูบหัวซะด้วยซ้ำไป
หรือว่าไค อาจจะเป็นข้อยกเว้นสำหรับพี่คยองซู
หลังจากที่ชานยอลและแบคฮยอนเดินออกไปจากบริเวณนั้นและลงลิฟต์ของตึกคณะไปแล้ว คยองซูที่หลุดออกจากห้วงแห่งภวังค์ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และถอนหายใจออกอย่างช้าๆ ประมาณ 2-3 ครั้ง เพื่อเรียกสติสัมปชัญญะกลับคืนมา ท่าทางราวกับเป็นเด็กเนิร์ดที่กำลังท่องสรุปเนื้อหาหน้าห้องสอบของรุ่นพี่ตัวเล็กนั้นทำให้ไคหลุดหัวเราะในลำคอเบาๆ
“พี่ ส่งกระเป๋าโน๊ตบุ๊คมาสิครับ เดี๋ยวผมถือให้” ไคชี้ที่กระเป๋าโน๊คบุ๊คของรุ่นพี่ตัวเล็กที่เจ้าตัวกำลังสะพายอยู่พร้อมกับแบฝ่ามือออก คยองซูเองรู้สึกเกรงใจแต่ก็ไม่อยากขัดใจคนตัวสูงจึงยื่นสายกระเป๋าที่แขวนอยู่บนไหล่และยื่นส่งไปให้ตามคำร้องขอ
“ไปที่ร้านกันเถอะ”
“ครับ :)”
รุ่นพี่ที่มีความสูง 173cm รอให้คนตัวสูงกว่าจัดการระเบียบร่างกายให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นทั้งคู่จึงก้าวเดินออกจากบริเวณหน้าห้องเรียนไปพร้อมกัน ตลอดระยะทางที่จะไปร้านอาหารญี่ปุ่นนั้น จังหวะการก้าวเท้าของคนทั้งคู่เริ่มที่จะเป็นจังหวะที่เท่าๆ กันและใกล้เคียงกัน ไม่มีใครเดินเร็วหรือเดินช้าไปกว่าใครอีกคน
.
.
ทั้งคยองซูและไคเดินมาถึงบริเวณหน้าร้านอาหารญี่ปุ่น โดยพี่ตัวเล็กเป็นคนนำทาง เพราะที่ตั้งร้านอยู่ไกลออกมาจากบริเวณย่านค้าขายหน้ามหาวิทยาลัยพอสมควร เพราะแถวๆ บริเวณนี้ไม่ค่อยมีผู้คนเดินจอแจซะเท่าไหร่ รูปลักษณ์การตกแต่งภายนอกของร้านนี้ให้อารมณ์เหมือนกับร้านที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น แบบ Izakaya เพราะหน้าร้านตรงประตูทางเข้ามีโคมไฟและป้ายชื่อร้านแบบผ้าสีขาวและตัวอักษรญี่ปุ่นสีดำขนาดใหญ่กำลังดี ทำให้เห็นชื่อร้านได้ง่ายและชัดเจน ส่วนโครงสร้างก็เป็นไม้ทั้งตัวร้าน
เมื่อรุ่นพี่ตัวเล็กเลื่อนเปิดประตูแบบหน้าต่างกระจกไม้บานใหญ่ออกและเดินเข้ามาข้างในร้าน พวกเขาก็พบกับพนักงานผู้หญิงที่น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นออกมาต้อนรับ
“いらっちゃいませ 何名様ですか?”
(อิรัชไชมาเซ นัมเมซามาเดะโชก๊ะ? – ยินดีต้อนรับค่ะ มากี่ท่านคะ?)
“二人です”
(ฟูตาริเดส –2 คนครับ)
“こちらへどうぞ”
(โคชิระเอะ โดโซะ – เชิญทางนี้ค่ะ)
หลังจากที่รุ่นพี่คยองซูพูดโต้ตอบกับพนักงานผู้หญิงเป็นภาษาญี่ปุ่นเสร็จ เจ้าตัวจึงสะกิดเรียกที่ต้นแขนของรุ่นน้องซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเพื่อให้เดินคุณพนักงานผู้หญิงคนนี้ ไคก็มีสีหน้าที่ดูตกใจเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนตัวเล็กจะพูดภาษาญี่ปุ่นได้
“คือ พี่เคยไปแบ๊คแพ็ค (backpack) ที่ญี่ปุ่นช่วงปิดเทอมน่ะ เลยได้เรียนภาษาญี่ปุ่นมาบ้าง” ราวกับว่าคยองซูนั้นอ่านความคิดของไคออก เจ้าตัวจึงหันมาพูดกับรุ่นน้อง
ทั้งคยองซูและไคถูกพนักงานผู้หญิงพามาตรงที่นั่งแบบเคาน์เตอร์บาร์ซึ่งติดกับห้องครัว มีเพียงกระจกบานใหญ่กั้นเอาไว้เท่านั้น ทำให้สามารถเห็นรายละเอียดเกือบทั้งหมดของห้องครัวร้านอาหารนี้ได้ รุ่นพี่ตัวเล็กหยิบสมุดเมนูอาหารที่เสียบอยู่หลังกล่องไม้ไผ่ทรงกระบอกซึ่งใส่ตะเกียบไม้เอาไว้ขึ้นมาและยื่นให้รุ่นน้องดูก่อน ในระหว่างที่ไคกำลังดูเมนูอาหารอยู่นั้น พ่อครัวซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของร้านเลื่อนประตูกระจกมาทักทายคยองซูด้วยภาษาเกาหลี
“ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีนะ คยองซู” พ่อครัวพูดภาษาเกาหลีด้วยสำเนียงที่ออกไปทางกระท่อนกระแท่นเล็กน้อย
“สบายดีครับ กิจการเป็นยังไงบ้างครับ คุณเคนตะ” คยองซูพูดแบบช้าๆ เพื่อให้พ่อครัวที่ชื่อว่า เคนตะ ที่ไคคิดในใจว่าน่าจะรู้จักกันได้ฟังแบบเข้าใจ
“ก็เรื่อยๆ น่ะ แล้ววันนี้คุณจะทานอะไรดีล่ะ?”
“ผมเอา คัตซึคะเร (ข้าวราดแกงกะหรี่หมูทอด) ครับ ไคล่ะ?”
“อ่า…งั้นผมเอา คาราอะเกะด้ง (ข้าวหน้าไก่ทอดคาราอะเกะ) ครับ”
“ครับ กรุณารอสักครู่” เมื่อพูดจบ พ่อครัวเจ้าของร้านจึงหันไปที่เตาเพื่อลงมือทำหารทันที
“พี่คยองซูรู้จักพ่อครัวของร้านนี้ด้วยเหรอครับ?”
“อือ รู้จักกันตอนพี่ท่องเที่ยวอยู่ในญี่ปุ่น แถวๆเมืองอินุยามะน่ะ เพราะพี่ไปกินข้าวที่ร้านคุณพ่อคุณเคนตะบ่อยๆ ทุกวันที่ไปกินก็เจอเขาฝึกทำอาหารอยู่ในร้านเป็นประจำ และคุณเคนตะเพิ่งจะมาเปิดสาขาร้านอาหารของครอบครัวในเกาหลีได้ไม่ถึงปีเอง” คยองซูเขยิบเข้าไปใกล้ๆ เพื่อที่จะกระซิบคุยกับรุ่นน้องที่นั่งข้างๆ โดยใบหน้าหวานเกือบจะชิดติดกับใบหูของไคอยู่แล้ว ทำให้ลมหายใจอุ่นร้อนของพี่คยองซูกระทบกับใบหูของเขาโดยตรง
รุ่นพี่ตัวเล็กนั้นไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังจี้จุดที่ไวต่อการสัมผัสของไคเข้าอย่างจัง ทำให้ใบหน้าของรุ่นน้องไหล่กว้างขึ้นสีอมชมพูเพราะความเขินและก็เก็บอาการไม่ค่อยจะอยู่ด้วย เจ้าตัวจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยท่าทีเงอะงะเพื่อกลบเกลื่อนความเขินของตัวเองและเพื่อเลี่ยงการสบตากับคนตัวเล็กที่กำลังจ้องมองเขาด้วยความเอ็นดู
“
“Your eyes”
Your eyes when you look at me.
[สายตาของคุณเวลามองมาที่ผม]
It’s so intense, I try to avoid it.
[มันรุนแรงมาก ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยง]
But you make me look at you from the corner of my eye.
[แต่ผมก็แอบชำเลืองมองคุณอยู่ดี]
The BPM of my heart gets faster.
[หัวใจของผมในตอนนี้มันเต้นแรงมากๆ]
It pounds so much, I’m going crazy.
[มันเต้นหนักเสียเหลือเกิน ผมแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว]
Should I melt or should I evaporate?
[ผมควรจะละลายหรือระเหยไปดี]
I’m getting so scared baby.
[ผมกลัวจังเลย ที่รัก]
My heart is getting hot.
[หัวใจของผมร้อนรุ่มไปหมดแล้ว]
เหมือนเช่นดั่งเคย ผมแพ้ให้กับสายตาของคุณอีกแล้ว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทำไมนะ? ก็แค่…ดวงตากลมโตเป็นประกายสีดำนิลแวววับราวกับท้องมหาสมุทรยามราตรีของคุณในเวลาที่มองผม
แค่ไม่กี่วินาทีที่สบตากับคุณ ผมพยายามแล้วนะ แต่ก็นั่นแหละ...
จะหาว่าผมขี้ขลาดก็ได้ ที่ผมไม่ยอมสบสายตากับคุณ
แต่นั่นเป็นเพราะ ผมกลัวว่าถ้าผมสบตากับคุณโดยไม่ละสายตาไปเลย ผมอาจจะละลายกลายเป็นไอและระเหยขึ้นไปในอากาศก็ได้
และผมกลัวว่าอาจจะไม่ได้เจอคุณอีก
คุณเป็นเหมือนสารอะดรีนาลีน และคุณเป็นเหมือนสารเอนดอร์ฟินสำหรับผม
- K.
”
.
.
.
Warning!!
.
.
ในค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวงและส่องแสงนวลสว่าง
กลิ่นคาวเลือดหอมหวานคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ภายในซอกตึกซึ่งเป็นมุมอับใจกลางกรุงโซล
แต่ทว่ากลับไม่มีแม้กระทั่งเลือดสักหยดไหลลงสู่พื้นซีเมนต์
- (OS) Monster
Coming soon
.
.
Talk Talk
แฮร่! มาต่อแล้วนะฮะ อาจจะช้านิดนึงเพราะช่วงนี้เหนื่อยจริงๆ อ่านหนังสือเยอะมากแถมยังเป็นภาษาวิชาการที่เราไม่มีวันทำความเข้าใจได้ (ด้วยความโง่ส่วนตัวล้วนๆ)
ในเรื่องของคำนิยามระหว่างชานยอลกับแบคฮยอน คือเราคิดตามที่เราเขียนเลย คิดแบบนี้ทุกครั้งในเวลาที่เห็นโมเม้นท์ของคนทั้งคู่ และเราคิดว่าก็มีหลายคนที่คิดแบบเดียวกันกับเราด้วย
มีคำถามจะถามแหละ ถึงไม่มีคนตอบก็ไม่เป็นไร55555 คือเราจะถามว่า ทำไมเราถึงบทความเขียนเปรียบเทียบตัวละครในฟิคกับซีรี่ย์Goblin ล่ะ?
ใครตอบถูกเดี๋ยวจะส่งคลิปเสียงเราตอนอ่านบทความในChapter 6 ให้ฟังนะ (ใครเขาจะฟังแก นังนุ้ย!)
แอบสปอยล์ (OS) Monster เล็กน้อยนะ กรุบกริบๆ คาดว่าเร็วๆนี้อาจจะมาอัพนะครับผม
เหมือนเดิมและเหมือนเดิม แวะไปหวีดให้กำลังใจไรท์ได้ที่ #รักแห่งไคซู ออนทวิตเตอร์นะจ้ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in