เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
South Africa ใครว่าน่ากลัวkhunhoneyh
South Africa ใครว่าน่ากลัว Chapter 1
  • สวัสดีทุกคน ณ ตอนที่เขียนอยู่นี้ เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ที่แอฟริกาใต้ คือเขียนอัพเดทชีวิตแบบ real time กันเลยทีเดียว เมืองที่เราอยู่มีชื่อว่า Durban (เดอร์บัน) เคยเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันฟุตบอลโลกปี2010 และเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด KwaZulu-Natal อีกด้วย ภาษาหลักที่ใช้คือ ภาษาซูลู เป็นภาษาถิ่นที่ใช้สื่อสารกันทั่วไป และยังใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารควบคู่กันไปด้วย ถ้าใครเคยคิดว่าทำไมบางคนพูดไทยคำอังกฤษคำ มาอยู่ที่นี่อาจจะช่วยให้เปลี่ยนความคิดได้ เพราะที่นี่ก็ใช้ภาษาถิ่นคู่กับภาษาอังกฤษบางคำเหมือนกัน เพราะงั้นมันไม่แปลกเลยที่จะใช้สองภาษาคู่กัน และคนที่นี่พูดอิ้งคล่องมากกก เพราะงั้นไม่ต้องกลัวเรื่องการสื่อสารเลย ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้คือสบายละ

    การเดินทาง
    จากกรุงเทพ เราเลือกเดินทางกับสายการบิน Turkish Airline เพราะอะไรถึงเลือกบินกับสายการบินนี้?
    ...เพราะเราแพลนจะเที่ยวตุรกีนั่นเอง เหตุผลคือแค่นี้เลย ไหนๆก็ผ่านแล้วก็แวะเที่ยวสักหน่อย

    ค่าตั๋วเครื่องบิน
    ต้องบอกก่อนว่าเราจองตั๋วค่อนข้างใกล้วันเดินทาง เพราะฉะนั้นราคาอาจจะดูแรงไปนิด
    ราคาตั๋วไป-กลับ รวมโหลดกระเป๋า20กิโล และCarry On 7กิโล อาหารบนเครื่อง และStop Overที่ตุรกี
    รวมทั้งหมด 41,240บาท อันนี้เราจอง9วันก่อนวันบินนะ ถ้าจองล่วงหน้านานๆอาจจะได้ราคาดีกว่านี้
    หมายเหตุ 
    สายการบิน Turkish Airline ไม่มีให้ซื้อน้ำหนักเพิ่มนะทุกคน ถ้าน้ำหนักเกินจ่ายเป็นค่าปรับ
    1,110บาท/กิโล เพราะงั้นพยายามอย่าเกินเลย ไม่งั้นต้องไปเสียเวลาเอาของออกหน้าเคาเตอร์

    Turkish Airline
    เราไม่เคยใช้บริการสายการบินนี้มาก่อน สิ่งที่ทำก็คือไปหาอ่านรีวิวเพื่อเตรียมความพร้อม
    สิ่งที่อ่านเจอส่วนมากเลยคือเรื่อง delay เราก็มีเตรียมใจไปเผื่อเครื่องดีเลย์แล้วส่วนหนึ่ง แต่...
    พอไปถึงจริงแล้วเครื่องไม่ดีเลย์เลยออกตรงเวลา ถึงตรงเวลา และสิ่งที่ประทับใจคือ 
    การใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ และการบริการของพนักงานบนเครื่องบิน

    ขึ้นเครื่องไปสักพักก็จะมีแจกขนม น้ำดื่ม และกระเป๋าของใช้ ในกระเป๋าของใช้จะมี:  
    รองเท้าแตะ เอาไว้เปลี่ยนใส่บนเครื่องบิน
    ถุงเท้า
    ที่อุดหู
    ผ้าปิดตา
    ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แบบพกพา แปรงจะแข็งๆหน่อย เหมาะกับใช้แปรงแค่ชั่วคราว
    ลิปมัน ดีมากกก ทาแล้วชุ่มชื้น ปากไม่แห้ง แล้วให้มาครึี่งกระปุก จนทุกวันนี้ยังใช้ไม่หมดเลย

    อาหารบนเครื่องบิน
    มื้อแรก
    เป็นไข่ข้น+เห็ด เราเป็นคนไม่ชอบกินเห็ดเลย แต่ด้วยสถานะการณ์บังคับก็ลองกินดู
    ปรากฎว่า เห้ยยย..นางก็ไม่ได้แย่นะ ขนาดเราไม่ชอบกินเห็ดยังกินได้สบายมาก มีขนมปัง และของหวานด้วย อยากบอกว่าขนมปังกินตอนอุ่นๆกับแยมที่ให้มา คือดีย์มากกก แล้วก็มีเสริฟน้ำต่างๆ อันนี้แล้วแต่เราจะเลือกเลย มีบอกอยู่ในเมนู จบไป1มื้อ
    มื้อที่สอง
    ที่จริงในเมนูมีให้เลือกเมนูที่เป็นไก่ และอีกเมนูเป็นเนื้อ แต่ของเราไม่ได้เลือกเพราะไก่หมด เลยได้เนื้อมาแทน ซึ่งเราไม่กินเนื้อ เพราะเราไม่ชอบกลิ่น แต่ก็ต้องกิน เพราะหิวมาก เลยเลือกกินแค่ข้าวกับผัก ขนมปังกับแยม แล้วก็ของหวาน //ขอบอกเลยว่ามื้อนี้เราประทับใจของหวานมากกก เพราะนางอร่อยมากจริงๆ อยากให้ทุกคนได้ลอง

    TURKEY
    เรารอเปลี่ยนเครื่องที่ตุรกี 9ชม. เลยคิดว่าจะออกไปเที่ยวข้างนอกสักหน่อย แต่ถ้าจะออกไปข้างนอกต้องผ่านตม. ซึ่งจะบอกว่าไม่ต้องกลัวเลย ผ่านง่ายมากกก ของเราแค่บอกว่า เรารอต่อเครื่อง9ชม. 
    (พร้อมยื่นpassport กับ boarding pass) อยากออกไปเดินเล่นข้างนอก จะพอเป็นไปได้ไหม? 
    เจ้าหน้าก็ถามว่า city tour? เราก็บอกว่า yess เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา แล้วก็ปั๊มให้เราผ่านออกมาเลย ง่ายมากกก ทั้งหมดใช้เวลาคุยไม่ถึง1นาที
    หลังจากผ่านตม.ออกมาได้ ตอนนั้นเรายังไม่ได้คิดเลยว่าจะไปไหน ทำอะไร แล้วก็คิดได้ว่างั้นไปเดินเล่นแถว Taksim squareแล้วกัน...

    ไป Taksim squareยังไง?
    พอผ่านออกมา ก็เดินตามป้ายไปที่ทางออก ไม่หลงแน่นอนเพราะว่า ป้ายใหญ่มากก มีทั้งภาษา
    ตุรกีและอังกฤษ เพราะงั้นเดินตามป้ายได้เลยไม่มีหลง ป้ายจะบอกเลยว่า ยืมรถไปทางไหน, แท็กซี่ และtransportation(Bus) แน่นอนว่าเรานิยมเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง ก็เดินไปหาบัสกันเลย
    พอไปถึงเราก็ดูป้ายหน้ารถได้เลย ว่าคันไหนไปไหน เราต้องการไปTaksim เราก็ขึ้นคันที่เขียนว่าTaksim แต่...เราต้องซื้อบัตรเดินทางก่อน หรือที่เรียกว่า Istanbul Kart หรืออีกทางเลือกคือ 
    จ่ายผ่านcredit card ตอนนั้นทำไมเราถึงคิดจะไปกดบัตรก็ไม่รู้ 
    วิธีกดบัตรIstanbul Kart
    ตอนแรกเราต้องกดบัตรออกมาก่อน จ่าย6ลีร่า เหมือนเป็นค่ามัดจำบัตร
    แล้วเราก็ค่อยเติมเงินเข้าไปในบัตรอีกรอบ การเติมเงินก็คือเอาบัตรที่เราได้ แตะลงไปตรงที่แตะบัตร
    แล้วก็กดเลือกว่า ต้องการเติมเงินลงไปเท่าไหร่ ของเราจากสนามบินไปTaksim 18ลีร่า แต่เหมือนเครื่องจะไม่มีให้เติม18 เราก็เติมไปเลย20 แค่นี้ก็ไปขึ้นรถได้

    หมายเหตุ
    เพื่อนๆควรมีเงินสกุลLira(ลีร่า) เตรียมมาเผื่อด้วย เพราะถ้าจะกดบัตรต้องจ่ายเครื่องเป็นเงินลีร่า เรานี่ต้องกลับเข้าไปในสนามบินอีกรอบเพื่อไปแลกเงิน เสียเวลาไปอีก ต้องผ่านเครื่องสแกนด้วย บลาๆ

    แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปทุกคน..เพราะว่า เครื่องเราลงประมาณบ่าย3:50 กว่าเราจะทำธุระส่วนตัวต่างๆเสร็จ ผ่านตม. ก็หายไปแล้ว 1ชม. กว่าจะเดินไปหาบัส แล้วต้องกลับเข้ามาแลกเงินอีก หมดไปอีก30นาที
    รอบัสคันใหม่มา รอคนเต็มบัสอีก แล้วใช้เวลาจากสนามบินไปถึงTaksimประมาณ50นาที ถ้ารถไม่ติด แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าตีไปเลย 1ชม. ไป-กลับก็ 2ชม.แล้ว พอเราคำนวนเวลาดูแล้วเลยตัดสินใจไม่ไปดีกว่า เพราะมันต้องรีบๆไปหมดเลย แล้วกลัวตกเครื่องด้วย เลยใช้เวลาอยู่ที่สนามบินไปเลย 9ชม.

    การรอคอยที่แสนยาวนาน
    หลังจากที่ตัดสินใจจะรออยู่ที่สนามบิน9ชม. เราก็ต้องไปหาอะไรกินกันก่อน ในสนามบินมีร้านอาหารหลายร้าน แต่ละร้านราคาก็ทำให้กระเป๋าตังเบาได้แต่ทำให้ท้องหนักไม่ได้ เราเลือกกิน
    ร้าน CAG HEBABI เพราะเห็นคนต่อแถวเยอะ ก็เลยคิดว่าน่าจะอร่อย ไม่มีเหตุผลอื่นใดๆ55555 เราสั่งเมนู Chicken Wrap Shawarma คิดว่าเป็นเมนูที่มีความเสี่ยงในรสชาติน้อยสุด ดูเบสิก กินง่าย ในราคา190บาท ได้ Chicken Wrapมา1ชิ้น กับ Chips อีกนิดหน่อย ซึ่งไม่สามารถทำให้เรารู้สึกอื่มได้ เราเลยไปเดินดูของกินอื่นต่อ

    ร้านนี้อยู่ข้างๆกับร้าน CAG HEBABI มีของหวานและของคาวน่าตาน่ากินอยู่หลายอย่าง เราเลือกเป็นขนมหวาน Baklava 1ในขนมหวานขึ้นชื่อของตุรกี ที่ร้านจัดใส่จานมาให้แล้ว 3ชิ้นเล็กๆ ราคา25Lira หรือประมาณ 130บาทไทย ตอนจ่ายเงินคือมือสั่น หงึกๆ รสชาติหวานมากกกกก ขนาดเราเป็นคนชอบกินหวาน เรายังว่านางหวานเกินไปมากกก แต่ปกติแล้วคนที่นี่นิยมกินกับชา แต่เรากินเดี่ยวเลย ครั้งหน้าจะลองกินกับชาดู

    หลังจากที่กินเสร็จ เราก็ไปเดินเล่น จะบอกว่า Duty Free ที่สนามบินใหญ่มากกก มากกแบบมากกกก
    เวลาที่รอหลังจากนี้เกือบทั้งหมด ใช้ไปกับการเดินเล่นใน Duty Free แล้วของล่อตาล่อใจ ล่อเงินในกระเป๋ามากกก ถ้าไม่ติดตรงที่ต้องบินต่อไป South Africa ต้องล้มละลายแน่ๆ

    เดินไปเดินมาก็เริ่มง่วงนอน เลยเดินไปหาที่นั่งรอ นั่งไปเกือบ2ชม. เบื่อแล้วก็ไปเดินใหม่ ตอนนี้แหละที่เราเดินๆไปแล้วเจอว่านางมีที่ให้นอนหลับด้วย จะเป็นเก้าอี้นอนแบบในรูป เก้าอี้ไหนว่างเราก็นอนได้เลย พอดีเรามีผ้าปิดตาจากกระเป๋าของใช้ที่แจกบนเครื่อง เราก็เอามาปิดตาแล้วนอนเลย..

    หมายเหตุ
    อย่าลืมตั้งนาฬิกาปลุกก่อนหลับด้วยนะ เดี๋ยวตกเครื่อง ส่วนกระเป๋าของเรามีแค่เป้ carry on ใบเล็ก เราก็กอดนอนไปเลย ไม่แนะนำให้วางของอะไรไว้ข้างตัวนะ เพราะเวลาที่เราหลับ เราไม่รู้ว่าจะมีใครมาเอาของเราไปรึป่าว เราวางขวดน้ำไว้ข้างตัว ตื่นมาขวดน้ำหายไปแล้วว อาจจะมีพนักงานทำความสะอาดมาเก็บไป





    //อันนี้เป็นประสบการณ์ที่เจอของแต่ละคนนะ เราเจอแบบนี้ คนอื่นอาจจะเจอเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน
    เพราะงั้นอย่าซีเรียส เพื่อความเบิกบานใจของตัวเองนะทุกคน
  • ในที่สุดเราก็ได้ไปต่อ
    สิ้นสุดการรอคอย 9ชม. เครื่องบินที่เราจะต่อไป Durban ของเรามาถึงแล้ว ทุกอย่างเหมือนเดิมกับตอนที่เรามา คือมีการแจกขนม น้ำดื่ม และกระเป๋าของใช้ ที่เปลี่ยนไปก็จะมีแค่สีของเบาะนั่ง สีของกระเป๋า และเมนูอาหารบนเครื่อง

    อาหารมื้อแรกหลังจากเปลี่ยนเครื่อง
    พอขึ้นเครื่องได้ไม่ถึง 10นาที เราก็หลับเลย ร่างกายต้องการพักผ่อนมากๆ หลับไม่รู้เรื่องแบบที่แอร์มาแจกขนม น้ำดื่ม กระเป๋าของใช้และอาหาร เราไม่ได้ตื่นมารับเลย เราตื่นตอนที่ผู้โดยสารคนอื่นกำลังกินอาหารกันอยู่ แต่คนที่นั่งข้างเราดีมาก เป็นคุณลุงต่างชาติคนนึง ตอนตื่นมาเราก็หน้ามึนมาก งัวเงีย เพราะพึ่งตื่น คุณลุงก็ยื่นเมนูอาหารมาให้ ต่อด้วยกระเป๋าของใช้ และน้ำดื่ม เราก็ขอบคุณ คุณลุงมากกกๆ
    แล้วเราก็สั่งอาหารตอนที่แอร์เดินมา 
    อาหารมื้อนี้ มีไก่กับมันบด เราก็จำชื่อเมนูไม่ได้ เพราะตอนนั้นเราอยากรีบกินรีบนอน ง่วงอะไรขนาดนั้นอ่ะ หลังจากกินเสร็จเราก็นอนต่อเลย ตื่นมาอีกทีก็เดินไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมานอนต่อ 
    อาหารครั้งสุดท้ายก่อนลงเครื่อง เป็นไข่เจียว และขนมปัง ของหวาน มื้อนี้เบามากกก

    เกือบถึงแล้ว
    เครื่องเราลงจอดที่ Johannesburg ก่อน ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนเครื่องครั้งแรกที่ไม่ต้องลงจากเครื่องบิน คือใครลงที่โจเนสก็ลง ใครไป Durban ต่อก็นั่งรอบนเครื่องได้เลย เครื่องเราลงเกือบหมด เหลือผู้โดยสารไม่ถึง 20คน ที่ไปต่อ 1ในนั้นก็คือเราเอง บนเครื่องคือชิวมากกก มีเสริฟน้ำ ขนมปัง แจกเก่งมากกเอาจริง ฉันชอบบบบ รอประมาณ 1ชม.ก็ได้เวลาไปต่อแล้ว

    ยินดีที่ได้เจอ Durban
    ลงเครื่องแล้วก็ต้องผ่านตม. เป็นปกติของการเข้าประเทศ ที่สนามบินคนน้อยมากกก เราลงเครื่องตอนเที่ยงกว่าๆ ไม่ต้องต่อแถวเลย เดินไปถึงหน้ากระจกเราก็ยื่นพาสให้เจ้าหน้าที่ดู พร้อมกับจดหมายรับรอง ตั๋วเครื่องบิน และเอกสารที่อาจจะจำเป็นต่างๆ แล้วก็มีปัญหานิดหน่อยเกี่ยวกับวันกลับของเรา แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ไปคุยกันแล้วก็โอเคผ่านได้ 
    หมายเหตุ
    ปกติแล้วการเข้าประเทศแอฟริกาใต้สำหรับคนที่ถือ Thailand Passport สามารถมาเที่ยว อยู่ที่แอฟริกาใต้ได้ 30วัน โดยไม่ต้องใช้วีซ่า แต่ในกรณีของเรามาฝึกงาน 4เดือน ต้องขอวีซ่า เดี๋ยวอันนี้จะมาเล่าแยกให้อีกที

    ก้าวแรกใน Durban, South Africa
    หลังจากผ่านตม.ออกมาได้ ก็ตื่นเต้นสุดดด หลายอารมตีกันไปหมด ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น กลัวก็กลัว แต่เอาว่ะ มาถึงแล้ว ก็ต้องพร้อมลุยกันต่อไป พอก้าวขาพ้นประตูทางออก เราก็เจอกับคนที่มารับทันที ถือป้ายเขียนชื่อนามสกุลเรียบร้อย ด้วยความเป็นกันเองของเพื่อนที่มารับ ชวนคุยเอย เล่านู้นนี่ให้ฟังเอย ทำให้เรารู้สึกดีมากกก ผ่อนคลาย จากตอนแรกที่กังวลก็โอเคขึ้นมากกก

    สถานที่แรกที่ไปแน่นอนว่า มหาวิทยาลัยที่เรามาฝึกงานนั่นเอง มาถึงก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เจอคนนู้น แนะนำตัวกับคนนั้น พูดคุยกับคนโน้น บลาๆ แล้วก็เข้าที่พักตอนเย็น





     
       

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in