เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
jaedoroommoonwnt
แม่กำปอง





  • อันที่จริง ผมก็เตรียมใจมาไว้แล้วว่าการอยู่ที่นี่อาจไม่ได้อยู่อย่างสุขสบายเท่าไหร่นัก 

    จำได้ว่าตอนยื่นเอกสารพึ่งดูกลิ่นกาสะลองจบ เป็นความรู้สึกที่คั่งค้างในใจยามไม่มีหนังโปรดให้ดูอีกแล้วหลังข่าวภาคค่ำ ผมคิดถึงบรรยากาศเย็นๆ เสียงดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ สำเนียงคำเมืองที่คุ้นหู 

    ทั้งหมดที่ผมคิดถึงในตอนนั้น ไม่ปรากฎให้เห็นเลยซักครั้งในวันนี้ 

    สองข้างทางเป็นภูเขาเขียวสลับชั้น เสียงเครื่องยนต์ของรถดังสลับกับเสียงลมโกรก ผมยึดราวเหล็กไว้แน่นเมื่อเริ่มเข้าสู่ถนนดินแดง มืออีกข้างจับสายสะพายเป้ไว้มั่น ถอนหายใจรอบที่แปดแสนล้านเมื่อพบว่าระยะทางที่จากมาเริ่มห่างไกลจากความเจริญ


    เป็นระยะทางกว่าห้าสิบกิโลเมตรที่ผมนั่งโยกอยู่หลังกระบะ กระทั่งเลี้ยวเข้าเขตอุทยาน กลิ่นชื้นของป่าเด่นชัดเมื่อสูดลมหายใจ มีอาคารปูนสีขาวตั้งตระหง่านตรงหน้า ด้านหลังเป็นเรือนกระจกหลังใหญ่ เสียงเครื่องยนต์ดับไปแล้ว ความรู้สึกเหมือนได้หูสองข้างกลับคืนมาอีกครั้ง 

    "เด็กใหม่หรอพงษ์"

    เสียงนั้นนุ่มทุ้ม ติดอู้อี้ไปเสียหน่อยเพราะผ้าขาวม้าที่พาดปิดปาก หมวกสานบังซีกหน้าไปเกือบครึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนงานหรือชาวบ้านแถวนี้จึงยกมือไหว้ก่อนเอ่ยทัก

    "สวัสดีครับน้า"

    เขาหลุดหัวเราะ ถอดหมวกสานออกแล้วดึงผ้าที่บดบังใบหน้า ความจริงถึงได้ประจักษ์ชัดว่าเขาหน้าเด็กกว่าผมเสียด้วยซ้ำ "เรียกพี่ก็พอมั้ง"

    "เออไจ๋ นี่พี่คิม นักวิชาการป่าไม้"

    "สวัสดีครับพี่คิม" ผมยิ้มแหย ยกมือไหว้เขาเป็นรอบที่สองก่อนได้รับแววตาเอ็นดูส่งกลับมา

    "มาอยู่สี่เดือนขนของมาแค่นี้เองหรอ"

    "กะว่าจะใช้อะไรก็มาหาซื้อเพิ่มเอาข้างหน้าน่ะครับ" ผมว่า แบกกระเป๋าขึ้นบ่าก่อนจะโดนพี่คิมแย่งไปถือไว้หนึ่งใบ 

    "คิดผิดแล้ว แถวนี้ไม่มีที่ให้ซื้อหรอก" 

    "ไม่มีเซเว่นหรอครับ"

    "สี่สิบโลได้ ถ้าจะไปน่ะนะ" เขาว่า เดินนำผมไปยังซอยเล็กๆที่มีหญ้าเขียวขนาบทั้งสองข้าง เสียงรถดังขึ้นเมื่อพี่พงษ์ขับมันกลับไปยังโรงจอด ผมกระชับสายสะพายไว้มั่น มองปลายเท้าสองข้างที่ก้าวตามพี่คิมไปไม่ห่าง 

    "ถ้าจะใช้อะไรก็มายืมพี่ก็ได้นะ" เขาเอ่ย เงียบไปพักแล้วว่า "อยู่บ้านพักเดียวกัน"

    "ครับ?"

    "บ้านพักมันไม่พออ่ะ เขาเลยให้แกมาอยู่กับพี่"

    "อ่อ" ผมเอ่ยห้วน แล้วก็ว่าต่อ "นอนห้องเดียวกับพี่คิมหรอครับ"

    "คนละห้อง แต่ตรงข้ามกัน มีอะไรก็มาเคาะได้"  พี่คิมเอ่ยโดยไม่หันมามอง ผมพูดคำว่าครับเบาๆจนไม่แน่ใจว่าเขาจะได้ยินหรือไม่ ปล่อยให้เสียงเท้าเหยียบย่ำพื้นหญ้าดังแทนบทสนทนา 













          แสงตะวันลอดผ่านมุ้งลวดแผ่กระจายบนผ้าห่ม ลมหนาวจากป่าแม่กำปองพัดผ่านผ้าม่าน ผมกระชับผ้าห่มผืนบางขึ้นคลุมอก สูดลมหายใจเข้าลึกพลางหลับตาพริ้ม หูสองข้างสดับฟังเสียงนกที่เกาะบนกิ่งไม้ สายลมที่พัดโมบายหน้าบ้านให้สะบัดไหว ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อประตูไม้ถูกทุบให้ดังลั่น เสียงหนึ่งดังกังวาลชัดเจนกว่าสิ่งใด

    "ไจ๋! ไอไจ๋!"

    เหมือนยกแม่มาไว้ที่แม่กำปอง คิมหันต์ทุบประตูเหมือนลืมว่ามันใกล้พัง ผมยกมือขยี้ตา บิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ผู้บุกรุกเวลานอน

    "กี่โมงกี่ยามแล้ว งานน่ะจะทำไหม แล้วทำไมตื่นแล้วไม่พับผ้าห่ม ไปอาบน้ำแต่งตัว จะสายแล้ว"

          เขาเป็นแบบนี้นับตั้งแต่อาทิตย์ที่สองที่ผมฝึกงาน เราสนิทกันไว อาจเป็นเพราะอยู่บ้านเดียวกัน พี่คิมเป็นคนเจ้าระเบียบ แต่บ่อยครั้งเขาก็โอนอ่อนหรือไม่ก็เอือมระอา ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่แต่ก็เอนเอียงไปอย่างหลัง แม้จะบ่นแต่สองมือก็เป็นคนพับผ้าห่มให้ ในทีแรกเราผลัดเวรกันเป็นคนทำอาหาร ไปๆมาๆพอถึงเวรผมพี่คิมกลับได้กินนมกล่องทุกเช้า เขาคงรำคาญใจถึงได้เปลี่ยนให้ผมไปเป็นคนทำความสะอาดบ้านแทนเพราะทนกินนมกล่องวันเว้นวันไม่ได้

    "มีไรกินอ่ะ"

    "ข้าวต้ม"

    "อีกแล้ว"

    "ก็ยังดีกว่ากินนมวัว" เขาประชด สะบัดหมอนจนฝุ่นฟุ้ง เก็บที่นอนให้จนเป็นระเบียบก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวใส่หน้าผมจนแทบหงาย  "รีบอาบ รอกินข้าวอยู่"

    "พี่กินก่อนเลยก็ได้นะ"

    "ไปอาบน้ำ" 

    เขาย้ำประโยคและเสียงประตูห้องก็ปิดหลังจากเขาเอ่ยได้ไม่นาน






     



    คิมหันต์อยู่ที่นี่มาราวๆสี่ปี 

    ผมไม่แน่ใจว่าอะไรทำให้เขาเลือกทำงานที่นี่ ที่แน่ๆคงไม่ใช่เพราะดูกลิ่นกาสะลองแล้วอินเหมือนผม 
    เรานั่งโต๊ะไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก มีตะแกรงเหล็กกั้นกลางบดบังเสี้ยวหน้าเรียวไปครึ่ง เขาดูตั้งใจและจดจ่อเสมอเมื่ออยู่ในเวลางาน ทว่าเมื่อตะวันคล้อยต่ำ นายคิมหันต์ก็กลายเป็นเพียงชายหนุ่มที่ขี้บ่นตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ

    "พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้านะ"

    "วันหยุดไม่ใช่หรอครับ"

    "อือ" เขาตอบนิ่ง ควงปากกาในมือเล่นขณะอ่านเอกสาร "จะพาไปทำบุญ"

    "เที่ยวหรอ"

    "เห็นบ่นว่าเบื่อ เดี๋ยวพาไปน้ำตกด้วย" ผมยิ้มร่า ยืดตัวตรงเหมือนมีแรงทำงานไปอีกสิบปี 

    "พี่คิมดีกับผมจัง"

    "ไม่ชอบหรอ" เขาเลิกคิ้วถาม เท้าคางบนโต๊ะขณะเอียงคอมอง ส่วนผมกลายเป็นคนใบ้เมื่อได้สบตาคู่นั้น อันที่จริงก็รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เพียงแต่เวลานี้หัวใจกับสมองไม่ได้ทำงานสัมพันธ์กัน

    "..ชะ..ชอบครับ" 

    "งั้นเย็นนี้ลงไปตลาด ซื้อของขึ้นมาทำกับข้าวไปทำบุญพรุ่งนี้"

    "เดี๋ยวผมเป็นลูกมือ"

    "ลูกมืออะไรแค่ทอดไข่ยังไหม้เลย" เขาบ่นปนขำ จริงๆแล้วบทสนทนาต่อไปเป็นของผม แต่ในเวลานี้กลับไม่รู้จะพูดอะไรเพราะผมเชื่อว่าการได้มองคิมหันต์ที่ตั้งใจทำงานอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

    "มองไร"

    "นาฬิกา เมื่อไหร่จะเลิกงาน"

    "ฝึกงานแบบนี้พี่พงษ์คงให้ผ่าน"

    "ดูพูดเข้า"

    "แล้วจริงไหม ตั้งใจหน่อย" เขาตวัดน้ำหมึกลงบนกระดาษแผ่นสุดท้ายก่อนส่งให้ผมแล้วเอ่ย "เอาไปให้พี่พงษ์เซ็น"

    "ต้องรอมั้ยอ่ะ" 

    "ไม่ต้อง เขารู้ว่าต้องทำยังไง เราน่ะรีบไปรีบกลับ"

    "ผมกลับมาแล้วเราไปตลาดเลยไหม"

    คิมหันต์มองด้วยหางตาแต่ไม่ยอมเสียเวลาคุยด้วยแล้ว ผมจึงต้องจำใจหอบเอกสารไว้เต็มสองมือก่อนมุ่งหน้าหานายสุทธิพงษ์







    วัดที่คิมหันต์ว่าจะพามาทำบุญอยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่นัก

    มีโบสถ์ตั้งอยู่กลางน้ำทำให้บรรยากาศในบริเวณนี้เย็นชื้น พี่คิมบอกว่ากำปองคือชื่อของดอกไม้ ส่วนคำว่าแม่มาจากแม่น้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ทำให้ที่นี่ถูกเรียกว่าแม่กำปอง เมื่อมองไปรอบกาย ทุกอย่างดูเงียบสงบเมื่อเข้าเขตอารามหลวง ชาวบ้านหิ้วปิ่นโตมาคนละเถา เป็นกับข้าวพื้นเมืองที่นายคิมหันต์ทำให้กินอยู่บ่อยครั้ง 

    "พี่มาทำบุญบ่อยไหม"

    "ว่างก็มา อย่างมากก็เดือนละครั้งสองครั้งแค่นั้น"

    "สายบุญหรอครับ"

    "ไม่เชิงหรอก แต่ก่อนเคยอยู่กับแม่ เวลาเขามาทำบุญก็ตามเขามา พอโตขึ้นหน่อยเลยลองมาตัวคนเดียวบ้าง" เขาเว้นช่วงเมื่อเสียงระฆังดังกังวาล "พอได้อยู่ตัวคนเดียวก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองแก่ไวกว่าเดิม"

    "พี่พึ่งสามสิบเองนี่"

    "นั่นสิ แต่ทำไมเหมือนจะเกษียณแล้วก็ไม่รู้"  เขาอมยิ้มที่มุมปาก ในนาทีที่ควันธูปลอยฟุ้ง ภาพคิมหันต์ขณะพนมมือไหว้พระเด่นชัดในสายตา  เมื่อพิจารณาดูแล้ว เขาไม่ได้น่ารักขนาดนั้น หากมองเทียบกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ถัดไปจากถาดดอกกล้วยไม้ คิมหันต์เป็นผู้ชายทั่วไป ติดขี้บ่นจนน่าหงุดหงิดเสียด้วยซ้ำ  แม้จะดูเป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจที่ต้องฟังพี่คิมบ่น  กระนั้นผมกลับปิดนาฬิกาปลุกที่ดังในตอนตีห้าเพื่อรอเวลาที่คิมหันต์จะเขามาในห้องทุกๆวัน

    "ให้มาไหว้พระ ไม่ได้ให้มาจ้องหน้า"

    เขาลืมตา เหล่มามองผมขณะยังไม่ลดมือที่กำลังพนม ธูปถูกเผาจนมอดแล้ว แต่ผมยังไม่ได้ขอพรซักข้อเลยด้วยซ้ำ

    "พี่อธิษฐานอะไร"

    "ขอให้แกฝึกงานผ่าน ขอให้มีงานดีๆทำ จะได้ไม่ต้องกลับมาเจอกันที่แม่กำปองอีก"

    เขาว่าก่อนชันเข่าลุก ปักธูปลงโถใหญ่ก่อนกราบลาพระ ทิ้งผมไว้กับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ในโบสถ์เพียงลำพัง

    เมื่อความเงียบรายล้อม ผมพนมมือก่อนหลับตา

    "ขอให้ผมได้กลับมาที่นี่อีกครั้งด้วยนะครับ"




     



    หลังศูนย์วิจัยเป็นเนินหญ้าที่มองผ่านไปแล้วเห็นภูเขาที่อยู่อีกฝั่ง เส้นขอบฟ้าถูกบดบังด้วยเขานับสิบ มีเพียงตะวันดวงโตที่โผล่พ้นยอดเขาใหญ่ กลมสุกงอมเป็นสีแดง สาดสีส้มกระจายทั่วผืนฟ้า  พอมีเวลาได้นั่งคิดทบทวนถึงได้รู้ว่าผมเหลือเวลาที่แม่กำปองน้อยลงแล้ว เป็นเรื่องดีที่จะได้ฝึกงานจบไวๆ แต่เป็นเรื่องน่าเสียใจที่จะไม่ได้อยู่กับคิมหันต์อีกต่อไปแล้ว

    ผมยังอยากให้เขามาปลุกในทุกๆเช้าอยู่เลย

    "เรียนจบแล้วอยากทำงานอะไร" เสียงนุ่มถามกลางความเงียบ คิมหันต์ทัดเส้นผมที่ปลิวปรกหน้าไว้กับหู เขาไม่ได้มองหน้าผม เหมือนกำลังเหม่อมอง คุยกับสายลม ต้นหญ้า หรือไม่ก็แสงแดด

    "ตรงๆไหมพี่คิม" ผมว่าก่อนมองเหม่อเช่นเดียวกันกับเขา "ผมก็ยังไม่รู้เลย"

    "อ้าว"

    "ผมเรียนคณะนี้เพราะตอนมอหกติดค่าย ตอนนั้นมันอินล่ะมั้ง ยื่นโควต้าปุ๊ปก็ติดปั๊ป พอเข้ามาเรียนถึงได้รู้ว่าไม่ใช่แนว แต่ก็เรียนไปให้มันจบ" 

    "..."

    "ผมมันพวกชอบง่ายเบื่อไว พี่เข้าใจใช่ไหม ไม่ได้ชอบแต่ก็เรียนได้"

    "ไม่ได้ชอบแต่ก็มีแววจะได้เกียรตินิยม น่าอิจฉานะ"

    "น่าอิจฉาอะไรล่ะ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่มีความฝัน ใช้ชีวิตไปวันๆ น่าอิจฉาด้วยหรอ" ผมเอ่ยราบเรียบ  พี่คิมเงียบไปสักพัก หลังจากนั้น หลักฐานที่เป็นสิ่งยืนยันว่าเขาสนทนากับผมคือการหันมาสบตา 

    "แล้วมีความสุขไหม" ผมเงียบ จ้องมองรอยยิ้มจางๆของคนที่นั่งเคียงข้างก่อนเขาจะเอื้อนเอ่ย  

    "ไจ๋ไม่ต้องมีความฝันก็ได้ แค่มีความสุขก็พอ"

    ลมหนาวไม่พัดผ่านอีกแล้ว นั่นทำให้ผมได้เห็นใบหน้าของคิมหันต์ชัดเจนขึ้นกว่าเก่า แต่ที่ชัดเจนกว่านั้นคือความรู้สึกของผมที่ปรากฎในใจ ผมเคยคิดว่าความรู้สึกที่มีต่อคิมหันต์เป็นเพียงน้องชายคนหนึ่งที่ปลาบปลื้มรุ่นพี่เพียงเท่านั้น ทว่านานความรู้สึกนั้นยิ่งแจ่มชัด  ชัดเจนว่าผมไม่อาจมองเขาเป็นเพียงพี่ชายได้อีกต่อไป 

    "จ้องหน้าอีกแล้ว" เขาว่าปนขำ หันหน้าหนีหลบสายตาก่อนนั่งกอดเข่า ตะวันจะลับฟ้าแล้ว บทสนทนาของเราขาดหายไปนานกระทั่งผมเรียกชื่อเขาเเผ่วเบา 

    "พี่คิม"

    "อือ"

    "ถ้าฝึกงานจบแล้วพี่จะคิดถึงผมไหม"

    "ให้คิดถึงอะไร สบายใจด้วยซ้ำ ไม่ต้องคอยปลุกใครตอนเช้า" เขาตอบอย่างยินดี ส่วนผมนั่งหงอยเป็นลูกหมา 

    "ถ้ามีเด็กฝึกงานมาใหม่ ผมก็จะถูกลืมใช่ไหม"

    เสียงของผมเบาจนกลืนไปกับเสียงลมหนาว อาทิตย์ดวงโตคล้อยต่ำเตรียมอัสดง หลงเหลือเพียงแสงสีส้มกระจายทั่วท้องฟ้า คิมหันต์ขยับตัวนั่งขัดสมาธิ นัยน์ตาของเขาสะท้อนเงาของตะวันจนผมไม่อาจละสายตา

    "พี่จะใจดีกับเขาเหมือนที่ทำกับผมหรือเปล่า จะทำกับข้าวให้กินมั้ย จะเข้าไปปลุกทุกเช้ามั้ย แล้ววันหยุดพี่จะพาไปเที่-"


    ประโยคของผมขาดหายไม่ได้ความเมื่อปกเสื้อเชิ้ตถูกกระชากเข้าหาคนตรงหน้า ริมฝีปากของเราปะทะกันจนคิมหันต์ต้องหลับตาปี๋ ไม่มีการรุกล้ำ ไร้ซึ่งการล่วงเกิน เป็นเพียงการสัมผัสที่เนิ่นนาน นิ่งค้างอย่างนั้น กระทั่งตะวันจมหายไปในม่านหมอกเขาจึงเอ่ยออกมา

    "พี่จะใจดีกับเด็กฝึกงานคนอื่นเหมือนที่ทำกับแก จะทำกับข้าวให้เด็กฝึกงานคนนั้น จะเข้าไปปลุกทุกวันแล้ววันหยุดก็จะพาไปเที่ยวด้วย"

    ผมเงียบ จ้องมองนัยน์ตาของคิมหันต์อย่างน้อยใจ ระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ ทุกเช้าที่ตื่นมา เวลาที่เรากินข้าวด้วยกันหรืออยู่ด้วยกัน สิ่งที่เขาทำให้ผมมาตลอด มันควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมคนเดียวไม่ใช่หรือไง

    "ถ้าอย่างนั้น ผมจะต่างอะไรกับคนอื่น"

    คิมหันต์เม้นริมฝีปาก ถอนหายใจลากยาวก่อนเบือนหน้าหนี


    "เพราะพี่ไม่เคยรักใครนอกจากไจ๋ไง"


    เขาเอ่ยคำตอบออกมาในตอนสุดท้าย แผ่วเบาแต่กลับหนักแน่นเมื่อฟังด้วยหัวใจ 

    อาจจะเป็นเรื่องเศร้าที่หลังจากนี้จะไม่ได้ยินเสียงปลุกของเขาในทุกเช้า
    กับข้าวที่เคยเป็นฝีมือของเขาก็คงไม่มีอีกต่อไป

    ผมคงจะคิดถึง อาลัยอาวรณ์คิมหันหลังจากไปจากที่นี่แล้ว
    แต่พี่คิมเชื่อไหม การจากลาของผมจะไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว












    6 เดือนต่อมา  
    แม่กำปอง , เชียงใหม่


    เสียงลมโกรกดังขึ้นขณะเดียวกันกับที่ต้นหญ้าเขียวขจีระบำร่า  เมฆขาวลอยกระจายคลุมดอยสูง สภาพอากาศที่นี่กลับมาหนาวจัดอีกครั้งเมื่อเปลี่ยนฤดูกาล สิ่งหนึ่่งที่เกลียดมากที่สุดในฤดูหนาวคงเป็นมือที่เย็นเฉียบและอาการคัดจมูกจากภูมิแพ้อากาศ เสียงเครื่องยนต์เก่าดับลงเมื่อถึงที่หมาย ผมกระโดดลงจากกระบะคันเก่าก่อนหลุดยิ้มเมื่อพบกับร่างที่เคยคุ้น

    "เด็กใหม่หรอพงษ์"

    ไม่แม้แต่จะเงยหน้า เขายังคงสวมหมวกสานใบโปรด ก้มหน้าก้มตามองต้นไม้ตรงหน้าแทนที่จะเป็นคนที่คิดถึงเขามากที่สุดในเวลานี้

    "สวัสดีครับน้า"

    ผมหลุดยิ้มเมื่อร่างบางชะงักงัน เขาเงยหน้าจากต้นกล้าที่พื้นก่อนเบิกตากว้าง ไม่รอให้เสียเวลาไปมากกว่านั้น คิมหันต์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนถูกผมโผเข้ากอดจนแทบหงายหลัง เสียงหัวเราะของพี่พงษ์ดังขึ้นเมื่อคิมหันต์ร้องไห้ออกมา แม้ไม่ได้เห็นด้วยตาแต่ความเปียกชื้นบริเวณบ่าก็เป็นหลักฐานของน้ำตาคิมหันต์อย่างชัดเจน


    "คิดถึงพี่จัง"

    ผมเอ่ย ผลตอบแทนคือการโอบกอดที่แน่นกว่าเก่าก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมาเสียงสั่นพร่า  

    "คิดถึงเหมือนกัน"

     




    .


    ความเงียบงัน
    ที่ทำให้ฉันได้ยินเสียงตัวเอง
    หมู่นกที่ร้องบรรเลง
    เป็นบทเพลงจากป่าเขา
    เหมือนโลกใบนี้มีเพียงแค่สองเรา
    มีเพียงแค่สองเรา


    , end 













    talk ; ขอโทษที่อาจจะสั้นไปนะคะ ห่างจากการเขียนบรรยายไปแล้วไม่ค่อยมีสมาธิเลย ยังไงจะกลับมาพยายามอีกครั้งค่ะ  #jaedoroom



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
kdyivrc (@kdyivrc)
สนุกมากๆๆ น่ารักมากค่ะ