....
วันที่ 29 เดือนมิถุนายน 2559
สามทุ่มกว่าๆ
ฉันนั่งเล่นอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยเปื่อยหลังเลิกงาน พร้อมปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนกว่าจะถึงเวลานอน เป็นอย่างนี้มา 11 เดือนแล้ว
เมื่อปีที่แล้ว ฉันเป็นเด็กหนุ่ม (?) เรียนจบคณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาเคมีอุตสาหกรรมแบบหมาดๆ ยังไม่แห้ง หางานทำอย่างมุมานะ เพื่อหวังว่าวันนึงฉันจะได้แสดงความสามารถ มีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และนำเอาความรู้ที่ฉันได้มาจากมหาวิทยาลัยอย่างน้อยนิด (เพราะตัวฉันเอง) ไปใช้ในการทำงาน
ใช่ ฉันหวังว่าจะทำแบบนั้น
เมื่อวันที่ฉันก้าวเข้าสู่การทำงานในฐานะ พนักงาน เต็มตัวครั้งแรก ฉันรู้สึกตื่นเต้นไปหมด และพบว่าไม่สามารถปรับตัวกับสภาวะใหม่นี้ได้ในทันที
ฉันรู้สึกเหมือนฉันไม่สามารถเข้ากับคนในนั้นได้ ฉันไม่ชินกับการใส่หน้ากากในการสนทนากันตลอดเวลา ฉันรู้สึกเหมือนแต่ละคำพูดของคนรอบข้างที่ฉันได้ยินมักแฝงไปด้วยคำพูดจาที่ไม่รื่นรมย์
ซึ่งเพื่อนสนิทของฉันที่ทำงานที่เดียวกัน แต่คนละแผนก ก็รู้สึกเช่นกัน
ระหว่างการเดินทางของชีวิต ฉันยอมรับว่าฉันก็โลกสวยและคิดว่าทุกคนเป็นคนจิตใจดี
แต่ไม่เลย มันไม่ใช่แบบนั้น
มันเป็นโลกที่ต่างคนต่างปัดสิ่งที่ไม่อยากทำออกจากตัว ใครหน้าด้านอยู่ได้ก็อยู่ไป ใครไม่ช่วยทำอะไร 1 ครั้งกลายเป็นไอ้แล้งน้ำใจ ซึ่งคนพูดนั่นก็ไม่ได้ช่วยคนอื่นนักหนา แถมเกี่ยงคนอื่นทำอีกต่างหาก
ฉันจำได้ว่าอาจารย์เคยสอนฉันว่า งานมี 2 อย่าง มีทั้ง Value และ Non-Value
งานที่มี Value คืองานที่ประทับอยู่ใน Job description ของเรา หน้าที่หลักของเรา เราเป็นนักเคมีในห้องแลป หน้าที่ก็คือทดลอง และพัฒนาสูตรสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาดและลูกค้า
งาน Non-Value คืองานที่ไม่เกี่ยวข้องกับด้านบน แต่ต้องทำเพราะโดยมากมักเป็นงานส่วนรวม แต่งานส่วนนี้ที่ทุกคนมักเกี่ยงกันทำ โดยใช้เหตุผลว่าฉันมีงานมากเหลือเกิน
และฉันก็มักจะถูกโยนงาน Non-Value มาให้ทำโดยที่เต็มใจบ้างและไม่เต็มใจบ้าง เนื่องจากอายุยังน้อย และประสบการณ์น้อย
สิ่งที่ฉันอยากบ่นคือ ในการทำงาน แน่นอนว่ามันเป็นงานเพียงเสี้ยวเดียวของการเรียนปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย ที่สอนอย่างกว้างๆ เพื่อให้นักศึกษาเห็นภาพของขอบข่ายที่เราสามารถทำงานได้ และฉันก็ได้เข้ามาสู่จุดนึงในแขนงวิชา
มันยิ่งทำให้ฉันรู้ว่า ความพยายามตลอด 4 ปีที่ร่ำเรียนวิชามา 140 หน่วยกิต ฉันได้ใช้จริงไม่ถึง 10 หน่วยกิต
10 หน่วยกิตนั้นคือ สหกิจศึกษา 1 และสหกิจศึกษา 2 และวิชา Surface coating ที่เกี่ยวข้องกับงานที่ฉันทำ
มันยิ่งทำให้ฉันแทบจะลืมความภาคภูมิใจขณะรับใบปริญญาบัตรที่เป็นระยะเวลาเพียงเสียวนาที ยิ่งทำให้รู้สึกว่าการศึกษาต่อในปริญญาโท เพื่อนำเอาความรู้มาเสริมในการทำงานนั้นแทบไม่จำเป็น
กลายเป็นว่าการเรียนปริญญาโทสำหรับเราคือหนทางการเพิ่มเงินเดือนอย่างก้าวกระโดดก็แค่นั้น
นี่สินะที่พี่ๆ เค้าบอกว่า ถ้าพี่แชมป์อยากเรียนต่อให้เรียนเลยนะ อย่าออกมาทำงาน
เราคิดว่ามันไม่ใช่ความขี้เกียจ แต่มันคือความรู้สึกที่ว่า ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไปลำบากตรากตรำนั่งอ่านเปเปอร์เป็นสิบเป็นร้อยอีกครั้ง ประสาทเสียกับสิ่งต่างๆ ไปเพื่อรับเงินเดือนเพิ่มอีกไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือน
ฉันได้แต่รู้สึกว่า ความภูมิใจในตอนนั้นมันช่างเล็กจ้อยเสียเหลือเกิน
อย่างน้อยความภาคภูมิใจที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ คือคการที่สามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วง
เราสามารถภูมิใจกับมันได้รึเปล่านะ?
ZhalalamZ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in