เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ลุงหมีเที่ยวญี่ปุ่นMr.PT
ถึงเวลาบิน
  • พ่อแม่ไปรับผมมาจากมหาวิทยาลัยเพื่อกลับมาจัดกระเป๋า ระหว่างที่จัดผมก็หยิบนู่นหยิบนี่มั่วๆ ตามประสาคนไม่เคยไปต่างประเทศ พยายามหยิบของที่จำเป็นหยิบไปหยิบมาหยิบแล้วหยิบอีก จนสุดท้ายได้กระเป๋าใบโตๆ มาหนึ่งใบ และย่ามสะพายติดตัวอีกหนึ่งใบ


     นอกจากนั้นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผมพกไปด้วยคือสร้อยพระครับ


    ครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับ สร้อยพระไทยๆ ของเราเนี่ยแหละ เนื่องด้วยความที่ผมเป็นคนกลัวผีเอามากๆ ดังนั้น สร้อยพระจึงเป็นไอเทมสำคัญที่ผมต้องพกไปด้วยเพื่อความอุ่นใจ ไม่รู้ว่าพระเราจะคุยกับผีบ้านเขารู้เรื่องมั้ย แต่อย่างน้อยพกไปก็อุ่นใจกว่าไม่พกไปแล้วกัน…


    เมื่อถึงวันกำหนดบิน พ่อไปส่งผมกับแม่ที่สนามบินดอนเมืองตั้งแต่ 9 โมงเช้า


    เวลาสแกนกระเป๋าของจริงคือประมาณ 11 โมง แต่เราไปรอกันตั้งแต่ 10 โมง เพราะแม่อยากจะรีบๆเช็คอินเป็นคิวแรกๆ แล้วจะได้เข้าเกทเร็วๆ เพื่อไปหาอะไรกินกันก่อนที่จะถึงไฟล์ทบิน พอได้เวลา 11 โมง ผมก็แบกกระเป๋าโยนลงที่ตรวจสัมภาระ แล้วให้พนักงานตรวจตามปกติ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งการเช็คอิน การยื่นพาสปอร์ต แม้จะกินเวลานานตอนที่ตรวจเอ็กซ์เรย์สัมภาระบ้างเพราะคิวก่อนหน้าผมโหลดพาวเวอร์แบงค์ใส่กระเป๋าเดินทางไว้ จึงต้องออกมารื้อค้นกันเลยเสียเวลาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้หงุดหงิดหรือเสียเวลาอะไรมากมาย


    หลังจากผ่านด่านตรวจสัมภาระที่เอาขึ้นเครื่องเรียบร้อย ผมกับแม่ก็หาอะไรทานเป็นมื้อเที่ยงกันก่อนที่จะขึ้นเครื่อง และเข้าเกทไปนั่งรอเครื่องบินตามปกติ





  • วันไฟล์ทบินของผมคือวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม ซึ่งในช่วงนั้นเป็นวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวันและวันที่ 5 เป็นวันสุดท้ายในบรรดาวันหยุดเหล่านั้น จึงทำให้คนไม่ได้เยอะมากนักคือมันก็เยอะนะครับ แต่ไม่เท่าที่ผมจินตนาการไว้ ซึ่งที่ผมคิดว่าคนมันจะเยอะมากๆ เพราะช่วงที่ผมไปมันเป็นช่วงฤดูหนาวและดอกอะไรสักอย่างมันบาน ไอ้เราก็เลยคิดว่าคนคงจะแห่กันไปเยอะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เยอะแบบที่คาดไว้ 


    นั่งคิดโน่นนี่นั่นได้ไม่นาน พนักงานก็ประกาศให้ที่นั่งพรีเมียมขึ้นไปบนเครื่องก่อน แน่นอนคนพรีเมียมๆอย่างผมก็ขึ้นไป...... ขึ้นไปพร้อมกับชั้นประหยัดทีหลังครับ จองแบบชั้นประหยัดมาจะไปขึ้นพร้อมพรีเมียมได้ไงล่ะ เศร้า


    ขึ้นไปถึงตัวเครื่อง พนักงานต้อนรับก็ตรวจพาสปอร์ต ตรวจตั๋ว และชี้ตำแหน่งที่นั่งให้


    แวบแรกที่เห็นที่นั่ง ผมรู้สึกว่าที่นั่งมันแคบเอามากๆ ครับ จริงๆแล้วมันอาจจะไม่ได้แคบสำหรับคนอื่น แต่สำหรับมนุษย์ที่น้ำหนักตัว 108 กิโลกรัมอย่างผมมันดูแล้วนั่งไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก แต่พอนั่งจริงแล้วมันก็ดีกว่าที่คาดไว้นะครับก็นั่งสบายในระดับนึง และที่ทำให้มันนั่งสบายมากขึ้นอีกเป็นเพราะที่นั่งแถวผมว่างอยู่ที่นึงทำให้แม่เอนๆ ตัวไปฝั่งที่ว่างอยู่ได้ และก็ทำให้ผมนัั่งสบายขึ้นตามมาเช่นกัน


    โอ้ สวรรค์ยังเป็นใจให้คนอ้วนอย่างเรา…


    ขนาดที่นั่งที่ช่างไม่พอดีกับคนอ้วนอย่างเราเอาเสียเลย...


    ผมขึ้นเครื่องบินครั้งล่าสุดตอนประมาณ 6-7 ปีที่แล้วโดยสายการบินเดียวกับที่ขึ้นรอบนี้แหละครับแต่เป็นแค่การนั่งเครื่องบินไปเที่ยวที่จังหวัดกระบี่เท่านั้นเอง


    ดังนั้นแล้ว การขึ้นเครื่องบินรอบนี้มันจึงค่อนข้างตื่นเต้นกว่ารอบที่ไปกระบี่หลายเท่าตอนไปกระบี่มันนั่งราวๆ 2 ชั่วโมง แต่ญี่ปุ่นนี่ใช้เวลาราวๆ 6-7 ชั่วโมง ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เคยนั่งเครื่องบินนานขนาดนี้

     

    แค่ขึ้นไปนั่งบนเครื่องภาพในหัวมันชอบวาดถึงอุบัติเหตุต่างๆที่จะเกิดขึ้น มันนึกถึงฉากต่างๆ ในหนัง หรือข่าวเกี่ยวกับเครื่องบินตกอยู่ตลอด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะคิดไปทำไมเพราะคิดแล้วตัวเองก็จิตตกเปล่าๆ...


    สักพักหนึ่งก็เริ่มมีการประกาศให้ทุกที่นั่งรัดเข็มขัดเพื่อเตรียมตัวจะออกบินสู่ประเทศญี่ปุ่น


    ช่วงที่ยังวิ่งบนรันเวย์ผมยังรู้สึกเฉยๆ แต่พอเครื่องมันโถมตัวขึ้นสู่อากาศเท่านั้นล่ะ ใจผมสั่นแรงมาก คือใจเต้นแบบไม่มีเหตุผล ไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากกลัว กลัวและกลัวจริงๆ กลัวมันจะตก กลัวมันจะเกิดอุบัติเหตุ กลัวมันไม่ปลอดภัย สภาวะมันเหมือนคนอั้นขี้ เหมือนคนที่แกะปีโป้ไม่ออกเหมือนคนที่เปิดกระป๋องโค้กแล้วออกมาแต่สลักเปิดกระป๋องไม่เปิด มันอุดอู้คุดคู้ไปหมดวินาทีนั้นได้แต่จับพระเครื่องที่พกมาไว้ด้วยความกลัว ในขณะที่แม่ผมดูชิลๆ ไม่คิดอะไรเลยสักนิดเหมือนนั่งรถสองแถวไปลงม.เกษตรยังไงยังงั้น


    ผมรู้สึกตื่นเต้นและกลัวอย่างมาก ทั้งๆที่วิวกรุงเทพจากบนฟ้ามันโคตรสวยเลยนะแต่ผมเองก็โคตรกลัวจนไม่กล้ามองนานๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมกลัวแบบหำหดหำแห้งมันเป็นเพราะตำแหน่งที่นั่งของผมอยู่ตรงปีกเครื่องบินพอดิบพอดี คือมองออกไปนี่เห็นเลยว่าเครื่องบินตรงอยู่เลี้ยวอยู่หรือกำลังเอนเอียงอยู่หรือกำลังตีลังกาสิบเจ็ดตลบอยู่…


    หลังจากจิตตกจากจังหวะโถมตัวสู่ฟากฟ้าได้สักพัก เครื่องบินก็ขึ้นสู่น่านฟ้าเป็นที่เรียบร้อย บรรยากาศทุกอย่างดูคึกคักมากขึ้น ผู้โดยสารหลายคนเดินหยิบสัมภาระราวกับว่านั่งอยู่บนรถบขส.ไปอุดรธานี บางคนก็เดินเข้าห้องน้ำ บางคนก็กางแลปทอปเล่น บางคนก็เอาบอลมาเดาะเล่น บางคนก็กระโดดลงจากเครื่องบินเล่น (อันหลังๆ นี่มั่วนะ) ส่วนผมพอเห็นว่าสถานการณ์ดูนิ่งแล้วก็เปิดโทรศัพท์ใส่หูฟังฟังเพลงพลางมองบรรยากาศนอกหน้าต่างไปเรื่อยๆมองดูปีกเครื่องบินกระพือไปเรื่อยๆ แล้วก็หลับไปในไม่ช้า


    หลับไปได้ไม่นาน ผมก็ถูกปลุกขึ้นมาด้วยกลิ่นอาหารหอมๆ เหลือบไปก็เห็นกล่องอาหารที่แม่สั่งไว้พร้อมกับตอนที่ซื้อตั๋วเครื่องบิน (แม่บอกว่าสั่งพร้อมซื้อตั๋วเครื่องบินจะถูกกว่าสั่งบนเครื่อง) ผมลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่ามันคืออะไร เพราะกลิ่นมันหอมเอามากๆ 


    พอเปิดออกมา ปรากฏว่ามันคือสปาเก็ตตี้ซอสไก่ที่สภาพมันดูไม่น่ากินเอามากๆ มันเหมือนเส้นสปาเก็ตตี้กับหมูบดแห้งๆ นู้บๆ แล้วพอลองกินรสชาติมันก็ตามหน้าตาแหละครับ แห้งๆ นู้บๆ พอกัน 


    โคตรผิดหวัง... (แต่ก็ซัดโฮกจนหมดกล่องเพราะหิว) 


    แล้วมันน่าเจ็บใจตรงที่เมนูอื่นๆ ที่ไม่ใช่สปาเก็ตตี้แม่งน่ากินมากๆ เช่น ข้าวไก่เทอริยากิ ข้าวกะเพราไก่ ลาซานญ่า แต่กูต้องมากินสปาเก็ตตี้ง่อยๆ นี่…


    ผมถามแม่ไปว่าทำไมแม่ถึงเลือกสปาเก็ตตี้ให้ผมทั้งๆ ที่แม่ก็รู้ว่าผมไม่ค่อยชอบสปาเก็ตตี้แม่บอกว่าเพราะพี่จั๊ม-พี่ชายของผมบอกแม่ว่าแม่ควรเลือกสปาเก็ตตี้ดีกว่าอันอื่นต๊อบไม่น่าจะชอบ…


    กูไม่ชอบสปาเก็ตตี้โว้ยยยยยย



  • นั่งซัดสปาเก็ตตี้อันสุดแสนอร่อยจนอิ่มหนำเสร็จ ผมก็หยิบหนังสือมาอ่านเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอเครื่องลงตอนนั้นเวลาก็เริ่มดึกแล้ว มองออกไปนอกหน้าต่างก็แทบไม่เห็นปีกเครื่องบินแล้วเห็นแต่ไฟกระพริบๆ อยู่ไกลๆ ออกไป ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณปลายปีก และเห็นอะไรบางอย่างที่คล้ายๆ ไอความเย็นมันเกาะอยู่ตรงกระจกชั้นนอกสุดมองๆ ไปมันก็ดูเศร้าๆ เทาๆ หม่นๆ อยู่เหมือนกัน


    นั่งเหม่อลอยเหมือนพระเอกเอ็มวีได้สักพัก กัปตันก็ประกาศว่าเราใกล้ถึงญี่ปุ่นแล้วกำลังจะทำการนำเครื่องลงจอด


    เครื่องมีการขยับไปมาเล็กน้อย (แต่ใจกูสั่นมาก) ผมมองออกไปนอกหน้าต่างเริ่มเห็นไฟแสงสีของบ้านเมืองซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าไอ้เมืองที่เห็นมันคือเมืองอะไรใช่ญี่ปุ่นหรือเปล่าก็ไม่รู้


    นั่งมองได้สักพักเครื่องก็ลงจอดผมเดินไปหยิบสัมภาระ ต่อแถวลงเครื่องและก็ต้องมาเจอกับด่านตรวจคนเข้าเมืองตามลำดับ


    ด้วยปริมาณผู้คนลงจากเครื่องที่มหาศาลทำให้ตอนแรกแถวรอคิวตรวจคนเข้าเมืองนั้นยาวมาก แต่แถวถูกปล่อยให้ยาวเฟื้อยได้ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาจับแถวนี้ไปต่อตรงนู้นแถวนู้นไปต่อตรงนี้ วกไปวนมา สลับไปสลับมา จนในที่สุด แถวที่ยาวๆ ก็เริ่มสั้นลง คนก็เริ่มถูกระบายเข้าไปเรื่อยๆ และแค่ไม่กี่นาทีผมก็ถูกย้ายมายังแถวที่มีคนรอตรวจคนเข้าเมืองด้านหน้าแค่ 4-5 คนเท่านั้น  ซึ่งนี่เป็น First Impression ที่ดีของผมกับญี่ปุ่น มันทำให้คนที่ไม่ชอบการรออย่างผมรู้สึกประทับใจมากๆ ครับ


    การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ผมหวั่นใจกับการตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นมากเป็นพิเศษ เพราะก่อนวันที่ผมจะมาญี่ปุ่น ผมได้เห็นพี่นัทคุง-แฟนพันธุ์แท้ประเทศญี่ปุ่น โพสต์เฟซบุ๊กว่าเขาโดนกักตัวไว้ในระหว่างที่ตรวจคนเข้าเมือง ด้วยสาเหตุที่ว่าพี่เขาใช้พาสปอร์ตที่พึ่งไปทำเล่มใหม่ในการยื่นที่ญี่ปุ่นครั้งนี้ และช่วงนั้นมีข่าวเกี่ยวกับคนไทยที่ลักลอบเข้าไปหากินในประเทศญี่ปุ่นอย่างผิดกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาตรวจสอบอย่างเข้มข้นมากขึ้น และคนที่พาสปอร์ตโล่งๆ ก็เลยเป็นที่จับตามองอย่างมาก 


    ซึ่งจากโพสต์นี้มันทำให้ผมคิดว่า ขนาดคนมาญี่ปุ่นบ่อยอย่างพี่นัทคุงยังโดนตม.ดักไว้ แล้วหน้าใหม่เล่มใหม่ไม่เคยมีประวัติออกจากประเทศไทยอย่างกูจะรอดมั้ย...


    หลังจากจิตตกกับโพสต์ของพี่นัทคุง ผมจึงเก็งข้อสอบว่าตม.บ้านเขาจะถามอะไรบ้าง ผมค้นหากระทู้ในพันทิปหลายกระทู้เพื่อรวบรวมข้อมูลและเตรียมคำตอบไว้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะมาพักที่ไหน มากับใคร เอาเงินมาเท่าไร เพื่อนฝากซื้อของเยอะมั้ย อาหารไทยรสชาติเป็นยังไงจะซื้อคิทแคทรสอะไรบ้าง ลิเวอร์พูลมีโอกาสจะได้แชมป์ลีกมั้ย ดาราเอวีที่ชอบที่สุดชื่ออะไร ฯลฯ อย่างน้อยก็เตรียมตัวให้มั่นใจว่าจะไม่โดนตม.บ้านเขาดักแล้วกัน


    เผลอแป๊บเดียวก็ถึงคิวที่ผมต้องเข้าตรวจคนเข้าเมือง ผมแอบกังวลว่าจะโดนสัมภาษณ์อะไรบ้าง แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่เราเตรียมมานั้นน่าจะพอต่อกรกับตม.บ้านเขาได้วะ


    แต่พอเดินเข้าไปเจ้าหน้าที่ก็ขอพาสปอร์ตและใบเข้าเมืองที่ผมกรอกไว้ตั้งแต่บนเครื่องบิน ถ่ายรูปหน้าผม ทำการสแกนนิ้ว และคืนพาสปอร์ตให้ผมเป็นอันจบพิธีอย่างรวดเร็ว


    อ้าว ทำไมมันง่ายจังวะ…


    หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือต้องไปรับกระเป๋าและผ่านด่านศุลกากรซึ่งกระบวนการก็ไม่ได้ต่างกับตรวจคนเข้าเมืองแต่อย่างใด เพียงแค่ยื่นใบศุลกากร (ที่เขียนตั้งแต่บนเครื่องแล้ว) แล้วเจ้าหน้าที่ก็ให้ผมและแม่ผ่านเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น


    ผ่านด่านออกมาผมก็เจอกับพี่ปู-แฟนของพี่เจนลูกชายน้าเอ๋ (อย่าเพิ่งงงนะครับใจเย็นๆ) และเท็น-ลูกชายของน้าเอ๋  มารอรับอยู่ที่หน้าประตู


    อ้าห์ ในที่สุดก็ถึงญี่ปุ่นอย่างปลอดภัย…



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in