14 August 2017
ก่อนหน้านี้เรามีไฟล์ทโรมและเคปทาวน์ ที่ไปมาบ่อยแล้วเลยขี้เกียจเอามาเล่าเพราะก็วนๆไปที่เดิมๆเนื่องจากเวลาไม่อำนวยนั่นแหละ เศร้าใจ และสำหรับช่วงไฟล์ทนี้นั้น ความจริงแล้วเราต้องบินลัดฟ้า แจกถาด ยักคอส่ายหัวซ้ายขวา เสิร์ฟน้ำมะม่วงจนหัวหมุนไปกับผู้โดยสารชาวอินเดียเต็มลำในไฟล์ทดูไบ-แอลเอ แต่แต้มบุญยังพอจะมีทำให้ทีมไม่บินยูเอสอย่างเราแลกไฟล์ทได้สำเร็จ ตารางเลยกลายมาเป็นไคโรและต่อด้วยปารีส 48 ชั่วโมงแทน แถมมี พี่เอ พี่คนไทยทำงานในอีโคด้วยกันด้วยเลยเบาใจว่าอย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมชาติที่ร่วมกันต่อสู้และออกไปเที่ยวด้วยกัน ไม่เหงาหงอยเศร้าสร้อยแน่นอน!
สำหรับไฟล์ทไคโรนั้นอย่าถาม พังสุด พังเหลือเกิน เดินเข้าไปแอบปาดน้ำตาตั้งแต่บอร์ดดิ้งเพราะโดนผู้โดยสารตะโกนใส่หน้า อธิบายอะไรก็ไม่ฟังทั้งสิ้น ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ไฟล์ทที่ต้องท่องบทสวดแผ่เมตตาเผื่อว่าผลบุญบังเกิดให้ผู้โดยสารมีความกรุณาปราณี แต่จนแล้วจนรอดก็โดนคอมเพลนอยู่ดีนั่นแหละ ซึ่งก็นะ... เราทำให้ทุกคนแฮปปี้มีความสุขไม่ได้หรอก ก็ปล่อยไป จบไฟล์ทก็จบกัน เรารู้(และหัวหน้ารู้)ว่าเราทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุดก็พอแล้วเด้อ
ตัดภาพมาที่ไฟล์ทปารีสของเราดีกว่า ตอนแรกเรางอแงไม่อยากไปเพราะเหนื่อยมากๆจากการบินติดๆกันหลายวัน แถมกลับมาจากเคปทาวน์ก็ต้องรีบกลับมากรุงเทพเพื่อสมัครแอร์เอเชียที่ตกมันตั้งแต่รอบแรก (เขียนความรู้สึกนึกคิดไว้ใน
'ลืมตาตื่นมาในโลกที่ไม่เป็นอย่างใจ' แวะไปอ่านกันได้นะ) กลับมาเจอความพังของไคโรแล้วก็ต่อด้วยไฟล์ทนี้แบบ minimum rest กะว่าจะคอลซิกแล้วนอนหายใจทิ้งอยู่ที่ดูไบ หมดแรงและกำลังใจจะทำอะไรแล้ว แต่ก็คิดได้ว่าไปเถอะ ฮึบไปแล้วมันก็จะดีเองแหละ ได้ออกไปทำงานเจอผู้คน ออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาก็จะได้พลังใจกลับมาเอง
สำหรับไฟล์ทปารีสนั้นเราได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่าเป็นไฟล์ทยุโรปที่ยุ๊งยุ่งไม่เหมือนไฟล์ทยุโรปอื่นๆหรือไฟล์ทฝรั่งเศสด้วยกันที่ไปลียงหรือนีซที่ผู้โดยสารน่ารัก คือมันมีความเยอะของเครื่อง A380 2 Class ที่มีผู้โดยสารอีโครวมทั้งสิ้น 557 ชีวิต แถมตัวผู้โดยสารเองก็มีความปารีเซียงสูงมาก (ลูกเรือฝรั่งเศสจากเมืองอื่นบอกมาว่า They're Parisian not French. แล้วกรอกตาจนเกือบลูกตาดำเกือบหาย) เราเลยยังไม่เคยไปซะทีเพราะกะว่าจะทำเชงเก้นวีซ่าแล้วไปลัลล้าเที่ยวเองก็ได้ว้า จะได้มีเวลาชมเมืองต่อนยอนไปเรื่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ไปทำวีซ่าซะทีเพราะพอวันหยุดก็เอะอะกลับกรุงเทพตลอด ครั้งนี้พอไหนๆจะแลกแอลเอออกแล้วก็เลยไปสอยเอาปารีสที่ไปพักที่นั้น 48 ชั่วโมงมาซะเลย จะไปเหนื่อยทั้งทีก็เอาให้มันคุ้มๆหน่อย
ปรากฎว่าไฟล์ทขาไปเรียบร้อยมากเพราะเป็นไฟล์ทกลางคืน ทุกคนหลับปุ๋ยกันหมด ยุ่งๆแค่ตอนเสิร์ฟอาหารเช้าก่อนแลนด์ดิ้งเท่านั้น ไม่มีอะไรยากเลย ชิวแบบสุดๆ ไปถึงปุ๊บก็ลากกระเป๋าเดินเข้าโรงแรมเลยเพราะพักกันอยู่ที่โรงแรมใกล้สนามบิน อาบน้ำ เปลี่ยนชุด และนั่งรถไฟเข้าเมืองมากับพี่เอผู้มีภารกิจสอยกระเป๋าชาแนลมาครอบครอง
ซื้อตั๋วรถไฟแบบ One day pass ขึ้นได้ทั้งรถไฟ RER ที่ออกไปนอกเมือง รถไฟใต้ดิน และรถเมล์
สถานีรถไฟไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไรนัก แต่ก็ต้องระวังกระเป๋าอยู่ดีจ้ะ
เรามาที่ Gallery Lafayatt พุ่งตัวผ่านคนจีนและนักท่องเที่ยวที่แต่แถวเพื่อเข้าร้านแบรนด์เนมต่างๆ โฉบเข้าไปตรงร้านที่มาดหมาย พี่เอเลือกกระเป๋าไปมา ส่วนเราก็ยืนดูอยู่ห่างๆกะว่าจะไม่หยิบจับอะไร แต่ก็ไม่รอดก็ได้กระเป๋าตังค์มาด้วยหนึ่งใบ (ฮือออออ หนูไม่ได้ตั้งใจ พอมันได้สัมผัสแล้วก็รู้สึกว่าอาห์... สติล่องลอยยยย)
หลังคาเป็นกระจกแก้วสวยๆ งดงามมมมมมม
ทองงามอร่ามแท้แลตะลึงมากๆจ้ะ
ออกมาจากห้างก็เจอกับอากาศดีๆ ฟ้าใส แดดจ้า แฮปปี้มากกกกกกกกก
ไม่ได้เจออากาศแบบนี้มาน๊านนานเพราะดูไบร้อนมากจ้า
พอซื้อกระเป๋าเรียบร้อย เดินไปจัดการเรื่อง Tax Refund แล้วพี่เอก็ใจดีพา Paris 1st timer อย่างเรานั่งรถใต้ดินไปที่สถานี Palais Royal Musée du Louvre ขึ้นมาปุ๊บจะเจอกับ พิพิธภัณฑ์ลูฟ ปั๊บซึ่งเป็นจุดแรกของการเดินชมเมือง
เสียดายที่ไม่มีเวลาเข้าไปดูข้างในตามรอยหนังสือ The Da Vinci Code
ยืนเบียดผู้คนสบตากับโมนาลิซ่า
เดินมาตรงปิระมิดแก้วด้านหนัาเพื่อมาตามหา Holy Grail แบบในหนังสือ กรี๊ดดดดด
พอมายืนถ่ายรูปตรงหน้าลูฟแล้วเหมือนได้เศษเสี้ยวความทรงจำที่ขาดหายกลับคือมายังไงก็ไม่รู้สิ คือเราเป็นเด็กศิลป์ฝรั่งเศส ก็ผ่านการเรียนและการท่องจำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ งานศิลปะ สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมาบ้าง ผ่านมาหลายปีก็เริ่มลืมเลือน แต่พอได้มายืนอยู่ตรงหน้าสถานที่จริงๆที่เราเคยเรียนแล้วความรู้ที่มีมันก็เริ่มไหลเข้าหัวมาบ้างนิดๆหน่อยๆ ดีใจที่เรียนจบแล้วความรู้ที่ได้มามันไม่ได้คืนครูไปเสียหมด
เราเดินหลบเลี่ยงฝูงชนหน้าพิพิธภัณฑ์ตรงมาที่ฝั่งตรงข้าม จำได้เลือนลางจากความรู้ที่มีอยู่ว่าถ้าเดินตัดสวนมาเรื่อยๆตรงมาจะเจอกับ Place de la Concorde ที่มีเสาโอบิลิสก์ ซึ่งจุดนี้เป็นที่ประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอังตัวเนตนั่นเอง
ฝั่งตรงข้ามจะเจอกับอีกหนึ่งประตูชัยที่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร เหตุใดจึงสร้าง
เป็นความรู้ที่หล่นหายไปตามกาลเวลา
กองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด การเดินเล่นในปารีสก็ต้องใช้พลังงานฉันนั้น
เราแวะซื้อของกินแล้วก็นั่งเม้ามอยกันซักพัก มองคนเดินผ่านไปผ่านมา
เรามีความเห็นว่าของกินใดๆที่อร่อยต้องไปกินที่สถานที่ออริจินัลถึงจะอร่อยแสงพุ่งอย่างแท้จริง
สูตรเดียวกันแต่ไข่ไก่ เนย นม มาจากคนละที่ก็ให้ผลลัพธ์ความอร่อยที่แตกต่าง
มนุษย์ยุโรปผู้รักความอบอุ่นของแสงตะวันมานอนอาบแดดกันมากมาย
ส่วนเหล่านักท่องเที่ยวจากเอเชียทั้งหลายก็กางร่ม หลบแดดกันวุ่นวาย
ถึงเสาแล้วจ้า
จากนั้นเราก็เดินตรงไปเรื่อยๆบน Avenue des Champs-Élysées จนไปถึง Arc de triomphe de l'Étoile นั่นเอง ระหว่างทางที่เดินไปในหัวก็นึกถึงเพลง Les Champs-Élysées ไปตลอดทางซึ่งเป็นเพลงในความทรงจำเพราะเคยหัดร้องตอนเรียนฝรั่งเศส จุดนั้นที่เราหันหลังมาแล้วเห็นลูฟอยู่ไกลๆ ตรงหน้าคือภาพของ Arc de triomphe de l'Étoile มองไปด้านซ้ายนิดๆก็เห็นหอไอเฟลอยู่ลิบๆแล้วเหมือนเราฝันไปเลย ในที่สุดเราก็ได้มายืนอยู่ตรงสถานที่ที่เราเคยเรียน เคยอ่านแล้วนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in