สวัสดีย์ทุกคน
วันนี้มาแปลกกว่าทุกทีคือมารีวิวเลนส์กล้องล่ะ เรื่องมันมีอยู่ว่าเราใช้กล้อง
mirrorless ไง แล้วก็อยู่ในวังวนของเลนส์มือหมุน อ่านเรื่องเลนส์ตัวนู้น อยากได้เลนส์ตัวนี้ แต่ด้วยความที่… เอ่อ… จนอะนะ วัยเรียนไง เอาเงินไปกินนู่นกินนี่ดีกว่า ประกอบกับเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของกล้องฟิล์ม เลยทุ่มเทให้กับกล้องฟิล์มมากกว่า
จนกระทั่ง
โอปอล (เมนชั่นชื่อให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่มินิมอร์เลยละกัน) หนึ่งในสมาชิกชมรมคนใช้กล้อง mirrorless ไปถอยเจ้า
Fujian 35mm f1.7 มาในราคา 990 บาทจากเพจมือหมุนแห่งหนึ่ง และก็ส่งรูปมาให้ดูแบบรัวๆเลยจ้า มันฟุ้งอย่างงั้น โบเก้มันวิ้งอย่างงี้ มึงงงงงงงง มันดีย์
หลังจากฟังนางไซโครัวๆก็เกิดกิเลส เชี่ย…อยากได้บ้างว่ะ ชีวิตต้องการความละมุน การไปเที่ยวแล้วยกมือถือหรือโกโปรมาถ่ายมันง่ายและสะดวกแต่มันไม่มีความละเมียดอะ แชะแล้วก็จบ (ไม่ได้หอบเอากล้องฟิล์มไปเพราะไม่รู้ว่าจะไปล้างฟิล์มได้ที่ไหน ฮือ)
ความอยากเริ่มมา เริ่มนั่งอ่านรีวิว(อีกแล้ว จุดเริ่มต้นของการซื้อทุกสิ่งในโลกคือการอ่านรีวิว) จนสุดท้ายก็อาห์… จะสั่งให้ส่งมาให้ที่ดูไบล้าววว ค่าส่งแพงกว่าค่าเลนส์ก็ยอมวะ! แต่แล้วโชคชะตาก็เป็นใจมอบไฟล์ทกรุงเทพ-ฮ่องกงมาให้เมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้เราได้กลับไทยและหิ้วเจ้าเลนส์นี่กลับมา ฮี่ฮี่
ทริปแรกที่เราหอบเอากล้องและเลนส์ไปด้วยคือแมนเชสเตอร์ที่ผ่านมานั่นแหละ เน้นถ่ายคนเป็นหลักเพราะถ่ายวิวแล้วล้มเหลวแปลกๆยังไงก็ไม่รู้
มีความละมุน มีความดจีดีงามมมมมมมม
ขอบข้างๆคือเบล๊อเบลออออออออออ
หมุนแบบงูๆปลาๆ ไม่ยังไม่คมอะ
พอจบทริปก็ยังไม่สาแก่ใจอีช้อยเท่าไร ต้องถ่ายอีก เห่อโว้ยยยยยยยย ประกอบกับช่วงนี้อากาศที่ดูไบเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆจนกลัวว่าถ้าร้อนกว่านี้จะออกไปเริงร่าข้างนอกไม่ได้แล้ว ต้องรีบออก รีบเที่ยววววววววววว!!
หลังจากกลับมาจากแมนเชสเตอร์เราก็ออกไปนั่งเล่นที่ร้าน
One Cafe by Life n’ One แหละ เป็นร้านชิวสบายๆในสวนเหมาะกับการหนีบหนังสือไปนั่งเล่นนั่งอ่านมากๆ ที่ร้านขายอาหาร vegan/organic ซึ่งถูกจริตเรา (ถ้าตอนที่เราอยู่ดูไบจะงดทานเนื้อสัตว์ล่ะ อย่างมากก็ไข่ ปลา และไก่ แต่ถ้าทำกับข้าวเองที่บ้านก็จะ vegan ไปเลย) มีสอนโยคะด้วยนะซึ่งเราสนใจม๊ากมากแต่สถานที่ค่อนข้างไกลจากที่พักเราพอสมควร เดินทางลำบาก อดเลยแหะ
(
ป.ล.เตือนไว้ก่อน : บางรูปก็ใช้มือถือถ่ายนะจ๊ะ)
การเดินทางมาที่ร้านนี้เรานั่งเมโทรมาลงที่สถานี
Al Jafiliya และนั่งแท็กซี่ต่อมา เดินงงๆหลงทางแปบนึงก็มาเจอกับทางเข้าร้าน
เข้ามาในร้านบรรยากาศสบายๆมาก แก๊!! ต้นไม้ ต้นไม้เต็มไปหมดเลยยยย รู้สึกดีมากเพราะเราไม่ได้อยู่ใกล้กับความเขียวๆแบบนี้มานานแล้วอะ อยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ห้องแอร์ตลอดเลย
ที่นั่งก็จะมีสองส่วนคือนั่งท่ามกลางสายลมแสงแดดข้างนอกกับเข้าไปนั่งในร่มที่เป็นเต้นผ้าใบ เราก็เลือกนั่งข้างนอกใต้ต้นไม้ ใกล้ชิดธรรมชาติไปอีกกกกก
นั่งอ่านเมนูไปก็หยิบกล้องมาถ่ายก๊อกแก๊กไปมา ดีใจที่ในที่สุดก็ได้นั่งใต้ต้นไม้ มีเสียงนกร้อง ปริ่มใจเหลือเกิน
หนีบเอาหนังสือมาอ่านด้วย รู้สึกว่าตั้งแต่เริ่มบินไม่ค่อยได้ใช้ความคิดใช้สมองเท่าไรเลย รู้สึกว่าหัวเป็นวุ้นมาก อยากอ่านหนังสือเลยไปซื้อเล่มนี้มา หวังว่าจะได้อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจดีๆนะ :D
อาหารมาแล้วครับผม วิถี Herbivores มากๆ ผักๆทั้งน้านนนนนนน :)
เป็นความแช่มชื่นรื่นรมย์ในชีวิตอย่างหนึ่งที่ได้นั่งใต้ต้นไม้ มีเสียงนกร้อง สุขใจมาก รู้สึกเหมือนได้รับการเต็มเติมที่ดี เพราะถ้าไฟล์ทไปยุโรปก็หนาวๆแถมเจอฝนตลอดเลย ไม่โอเคคคคคคค
นั่งไปซักพักแดดร่มลมตกเราก็เตรียมตัวไปทะเลล่ะ ก่อนหน้านี้อากาศค่อนข้างเย็น ถ้าไปทะเลแล้วจะหนาวมาก พออากาศเริ่มอุ่นๆก็ได้ฤกษ์ไปลัลลาเสียที
หาดที่เราไปก็เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กของดูไบนั่นแหละ
ตึกเรือใบ หรือ
Burj Al Arab นั่นเองงงงง
ชายหาดสะอาดและน้ำใสมาก
Persian Gulf นี่มันดีจริงๆ โดยมากก็เป็นครอบครัวมาเล่นน้ำกันนั่นแหละ ไม่ค่อยมีหนุ่มๆสาวๆมาอาบแดดเท่าไร (ต้องไป
Kite Beach)
(รีบถ่ายไปหน่อย เบลอเชียวล่ะ ฮาาาา)
มาเที่ยวทะเลก็ต้องใส่กางเกงขายาวนะจ๊ะ ฮาาาาา จริงๆใส่ขาสั้นก็ได้แหละแต่จะขึ้นรถไฟฟ้าไม่ได้เท่านั้นเองงงง
เราก็ถ่ายรูปก๊อกแก๊กไปเรื่อย รอพระอาทิตย์ตกนั่นแหละนะ
นี่แหละวันหยุดของฉัน :)
ไว้เจอกันใหม่ไฟล์ทหน้านะ รักษาสุขภาพด้วย
คิดถึงเสมอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in