เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
แมนเชสเตอร์ที่ไม่ได้ไปดูฟุตบอล
  • 03 March 2016






    พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเขียนบล็อกนี้ให้เสร็จก่อนไปไฟล์ทดับลินในวันพรุ่งนี้ตอนตีสาม เอาเถอะ… ถ้าจบก็จะโพสต์ถ้าไม่จบก็จะขอดองไว้ก่อนละกันนะ ยังไงก็ถือว่ามีความพยายามที่จะเริ่มต้นเขียนละกัน นี่คือสามไฟล์ทที่มายุโรปและโซนแถบอังกฤษติดกันเลยนะเนี่ย :)

    (Edit : สามวันให้หลังจากไฟล์ทดับลินเพิ่งจะเปิดคอมนั่งเขียนใหม่ โธ๊…)







    สำหรับไฟล์ทมาแมนเชสเตอร์นั้น เราได้รับการเตือนจากลูกเรือไฟล์ทลอนดอนว่า…

    เช็คให้ดีว่ามีลูกเรืออังกฤษกี่คน ถ้าเยอะ… ก็ขอให้โชคดี และ
    DON’T BE SUBMISSIVE!!!


    คำเตือนเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจาก Don’t be too nice กลายมาเป็น Don’t be submissive แล้วอะ และอย่างที่บอกไปในเอนทรี่ที่แล้วว่าถ้าลูกเรือดี ทีมดี การทำงานในทริปนั้นจะมีความสุขสนุกสนาน แต่ถ้าทีมแย่ก็ล่มจมหมองหม่นกันไป และ… ลูกเรืออังกฤษก็ค่อนข้างจะเลื่องชื่อระบือนามพอๆกับผู้โดยสารในแง่ของการไม่ค่อยจะทำงานนักและชอบจับกลุ่มอยู่ด้วยกันเอง

    ถ้ามีคนสองคนในไฟล์ทก็โอเค แต่ถ้ามากกว่านั้นก็… หึ โชคดีนะ และประกอบกับแมนเชสเตอร์เป็นจุดหมายปลายทางที่ลูกเรืออังกฤษที่มาจากเมืองนี้บิทไฟล์ทเพื่อกลับบ้าน ไม่แปลกใจที่จะมีลูกเรือสัญชาตินี้เยอะมากผิดปกติ ซึ่ง… ไฟล์ทแมนเชสเตอร์ที่เราทำนี้ มีลูกเรือสัญชาติอังกฤษทำงานในชั้น Economy ถึง 8 คน จาก 13 คน


    อย่างไรก็ตามเราก็คิดว่ามันก็แล้วแต่ไฟล์ทแหละนะ ทุกไฟล์ทมันไม่ได้แย่เหมือนกันหมดหรอก…









    นอกจากจะมีลูกเรือสัญชาติเดียวกันถึง 8 คนแล้ว เครื่องที่เราบินไปยังเป็น A380 2 Class ซึ่งมีผู้โดยสารในชั้น Economy ทั้งหมด 557 คนเท่านั้นเองแกรรรรรรรรร หึหึหึหึหึหึหึหึ



    ไหนๆก็พูดถึงแล้ว เราก็ขออธิบายถึง A380 ซักนิดละกันนะ คือเครื่องนี้เป็นเครื่องบินที่ลำใหญ่ที่สุดในโลกหล้าแล้ว มี 2 ชั้น ถ้าเป็นแบบ 3 Class แบบปกติทั่วไปจะมี First / Bussiness / Economy ตามลำดับ แต่สำหรับ 2 Class แล้วเขาตัดเอา First ออกและเพิ่มที่นั่ง Economy ไปแทนในชั้นสอง ทำให้มีผู้โดยสารมากขึ้น คุ้มค่าขึ้นเพราะมันเต็มทุกไฟล์ทนั่นเองงงงง



    เพราะฉะนั้นคนที่ทำงานอยู่ที่ชั้นบนจะสบายกว่าหน่อยตรงที่มีผู้โดยสารที่ต้องดูแลร้อยนิดๆ ในขณะที่ข้างล่างก็หัวหกก้นขวิดไปเหมือนเดิม และแน่นอนว่าเมื่อผู้โดยสารมากขึ้นจะมีตำแหน่งตัวแถมงอกเพิ่มมา 1 ตำแหน่งคือ MR2A ซึ่งก็คือข้าพเจ้าเองนี่แล



    สำหรับตำแหน่งในเครื่องต่างๆก็จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบแตกต่างกันไป ในด้านของ Safety & Security Area ที่เราจะต้องเป็น Door Operator เปิดปิดประตูเครื่องบิน เช็คที่นั่ง เช็คห้องน้ำ ดูว่ามีอะไรแปลกปลอมซุกซ่อนอยู่รึเปล่า กับ Service Area ว่าแถวไหนที่เราต้องวางผ้าห่ม วางหูฟัง พอใกล้แลนดิ้งก็ต้องไปเก็บผ้าห่มไรงี้ สำหรับตำแหน่งเราในไฟล์ทขาไปก็เป็นตัวแจก ไม่มีพื้นที่ต้องทำอะไร ช่วยเขาไปอย่างเดียว ซึ่งก็เหนื่อยไง เพราะบางคนแม่งก็ไม่ทำอะ นี่ก็ต้องมาทำแทนอะ โดนกินแรงแบบเนียนๆไปอีก…











    มาเล่าถึงเหตุการณ์ในไฟล์ทบ้าง

    ตอนขาไปเราก็อยู่ชั้นล่าง ทำงานงกๆไม่ได้หยุดหย่อนเพราะช่วงที่บินเป็นเวลากลางวัน ผู้โดยสารเรียกตลอดเวลา แล้วลูกเรือเจ้าของสัญชาติก็นั่งทำพวก Paper work ต่างๆไง อาสาปิด Bar Cart ที่จะต้องนั่งเขียนเอกสารนู่นนี่ ก็นั่งชิวกันไง ลุกขึ้นมาคือตอนที่ช่วยกันจัดคาร์ทอาหาร สบายไปอีก อีนี่ก็หัวฟูไปสิ รับทั้งโทรศัพท์จากครัวหลัง (มี 2 ครัวหน้าหลัง) เดินไปรับคอลผู้โดยสาร เดินไปเสิร์ฟอาหารให้กัปตัน โว้ยยยย เยอะแยะ ถึงโรงแรมในสภาพแทบสิ้นชีพ สั่ง Room Service มากิน นอนยาวๆเลย





    ส่วนขากลับเราก็อยู่ชั้นล่างเหมือนเดิม ไม่มีบุญขึ้นไปชิคๆชิวๆข้างบนจริงๆแหละ วิ่งรับคอลรัวมากเพราะลูกเรืออังกฤษอยู่กับเรา 3 คน สองคนหายไปอยู่บนชั้นบิสเนส อีกคนปวดท้องนั่งเฉยๆ เรากับลูกเรือเกาหลีก็ทำงานงกๆกันอยู่สองคน ดีที่ไฟล์ทกลับเป็นตอนกลางคืน ผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็นอน

    แม้ว่าจะรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบและกินแรงไปบ้างแต่สำหรับเรามันก็โอเคนะที่ได้ทำนู่นทำนั่นทำนี่ตลอดเวลาไม่หยุดพัก มันรู้สึกว่าเวลามันวาร์ปหายไป เผลอแปบเดียวก็เดี๋ยวจะแลนดิ้งแล้ว เป็น Submissive ก็งี้แหละ มีความสุข<3









    ส่วนความดีงามของไฟล์ทนี้คือมีพี่คนไทยบินไปด้วยกัน นั่นคือ พี่เก๋ > <

    เรากับพี่เก๋สมัคร EK รอบเดียวกันที่สิงคโปร์แต่ไม่รู้จักกันหรอกนะเพราะเราคิดว่าพี่เก๋เป็นคนเกาหลี เลยไม่ได้คุยกัน พอกลับไทยมาถึงเพิ่งได้รู้จักเพราะเรียนติวแอร์ที่เดียวกัน เดินทางมาดูไบวันเดียวกันและเริ่มเทรนพร้อมๆกัน เวลาไปเที่ยวไหนก็จะงุ้งงิ้งไปกันสองคนเพราะเวลาว่างมักจะตรงกันเสมอ เย๊เฮ

    ถ้าไม่มีพี่เก๋ ไฟล์ทนี้ก็คงกร่อยๆน่าดูเลยแหละนะ…ดีใจที่ได้มาแมนเชสเตอร์ด้วยกันนะ <3









    Once again THIS IS NOT LIVERPOOL SERVICE!!

    เรามาถึงที่นี่ประมาณสองทุ่ม กว่าจะเข้าโรงแรมเช็คอินก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าๆ ขึ้นห้องนอนวางของแล้วก็ไปนั่งเล่นนั่งเม้ากับพี่เก๋ สั่งรูมเซอร์วิสขึ้นมากินแล้วก็แยกย้ายกันไปนอน นัดกินข้าวเช้าที่โรงแรมประมาณแปดโมงครึ่ง-เก้าโมงเพราะต้องรีบเข้าไปในเมืองเนื่องจากนอนโรงแรมแถวๆสนามบินอีกแล้วจ้า



    ตอนเช้าฟ้าใสลมสงบอากาศดี๊ดี พอสิบโมงนิดๆเราเรียกแท็กซี่จากโรงแรมไปที่สถานีรถไฟเพื่อนั่งเข้ามาในเมือง ลงที่สถานี Manchester Piccadilly ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาทีเพราะอาจจะต้องรอที่สถานีนานหน่อย

    ด้วยความที่แมนเชสเตอร์เป็นเหมือนเมืองตรงกลางที่สามารถนั่งรถไฟขึ้นไปสก็อตแลนด์ ลีดส์ ลอนดอน ลิเวอร์พูลได้ เพราะฉะนั้นก็จะมีคนงงๆขึ้นรถผิดขบวน ดังนั้นเจ้าหน้าที่ประจำรถไฟจะต้องคอยประกาศว่ารถไฟขบวนนี้ไปที่ไหน ซึ่งประกาศว่าไปเมืองอื่นก็ไม่พีคเท่าประกาศว่ารถไฟขบวนนี้ไม่ได้ไปลิเวอร์พูล เขาประกาศแบบกระแทกกระทั้นใส่อารมณ์มากจนเราขำอะ





    ตอนนี้คือมาถึงสถานีในเมืองแล้วจ้ะ















    Glory Glory Man United!!

    พอมาถึงในเมืองก็พบกับคนประมาณล้านแปด คึกคักมากเพราะวันนี้แมสเชสเตอร์ยูไนเต็ดเปิดบ้านต้อนรับอาเซนอลครับผมมมมมมมม คนเดินผ่านไปผ่านมาก็ห้อยผ้าพันคออะไรกันเต็มไปหมด มียืนขายผ้าพันคอที่ระลึกของแมชต์นี้ด้วยนะ ทำเอาเราที่ไม่ได้เชียร์แมนยูเท่าไรพลอยตื่นเต้นไปกับเขาด้วย



    จริงๆแล้วมีทัวร์สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดนะ แต่วันนี้ที่มาก็คงปิดเพราะมีเตะและเราก็เคยไปเหยียบมาแล้วก็เฉยๆที่จะไปอีกก็เลยตัดโปรแกรมนั้นไป










    พอพ้นจากสถานีรถไฟก็เป็นย่านขายของแหละมั๊ง อากาศดี๊ดีเชียวแหละ

















    ความพีคอีกอย่างของแมนเชสเตอร์คือร้าน Primark ที่ใหญ่มากกกกกกกกกกกก คุณพระ สามารถอยู่ได้ทั้งวันไม่ไปไหนอะเอาจริงงงงงงงงง







    Rain is following me…

    พี่เก๋มีเพื่อนที่สนิทกันเรียนอยู่ที่ลีดส์เลยจะนัดเจอกันที่ร้านปิ้งย่างเกาหลีแถวๆ Princess Street ซึ่งเราสองคนก็พยายามเดินตามหาร้านนั้น เดินไปลันลาไปถ่ายรูปไปเรื่อยๆ อยู่ๆฟ้าก็ครึ้มแดดก็หาย



    ฉิบหายแล้วไง คิดว่าอากาศจะดีเลยไม่ได้หยิบร่มมา



    ซึ่งจริงๆก็ควรจะเอามานะเพราะว่า layover ที่ไหน ฝนตกที่นั่น เป็นตัวดูดฝนที่แท้จริงจนคิดว่าน่าจะเอาเราไปแห่แทนนางแมวได้แล้ว อะไรจะขนาดนี้วะเนี่ยยยยยยยยย และคือคิดยังไม่ทันจะจบประโยคเลยมั๊ง เปาะแปะๆลงมาแล้วจ้าาาา แต่ก็ดีที่ตกลงมายิบย่อยละอองฝอยเล็กน้อยพอให้รู้ว่ามึงมาเหยียบที่นี่แล้วฝนมันต้องตกกกกกกกกก ซักพักฝนก็หายแดดจ้าเหมือนเดิม ฮูเร่











    จังหวะที่ฟ้าเริ่มครึ้มคือเดินมาแถวๆ China Town ล่ะ

















    มีความจีนแผ่นดินใหญ่มากๆ








    Lost and Found

    เรากับพี่เก๋เดินเล่นถ่ายรูปเป็นเรื่องหลัก หาร้านอาหารเป็นเรื่องรอง เดินวนหลงไปหลงมา ถามทางเขาไปเรื่อย ดูแผนที่ในมือถือก็ไม่ได้อีกเพราะไม่มีเน็ตกันและมือถือเราที่เซฟแผนที่ไว้มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ เจออากาศเย็นแล้วดับเหมือนแบตหมด บ้าบอมาก


























    ไปๆมาๆก็โผล่มาที่ Manchester Town Hall เฉ๊ย ไม่ได้เข้าไปดูด้านในหรอกนะ จุดนั้นคือร้านอาหารมันอยู่ตรงหนายยยยยยยยย












    #แอร์สายแดก

    สำหรับทริปนี้อย่างที่บอกไปคือเราตั้งใจหมายมาดว่าจะมากินปิ้งย่างเกาหลีเพราะพวกเราโหยหาเนื้อหมูกันเหลือเกิน และร้านที่เพื่อนพี่เก๋นัดเจอกันชื่อว่า Ban Di Bu – Korean Restaurant เป็นร้านที่ขึ้นชื่อในหมู่นักเรียนไทยพอสมควร คือแถวๆลีดส์มันก็มีแหละ ร้านอาหารเกาหลีอะ แต่ถ้านั่งรถไฟมาแมนเชสเตอร์ละก็ต้องร้านนี้เลย



    วิธีการตามหาร้านก็ง๊ายง่าย แค่เดินมาแถว ​Town Hall และถามคนแถวนั้นว่า Princess Street อยู่ตรงไหน เดินเลียบมานิดถึงก็ถึงแล้ว ร้านอยู่ริมถนนเลยจ้าาาาา





    เมนูก็มีให้เรียกหลากหลาย ทั้งอาหารเป็นจานๆหรือว่าจะสั่งปิ้งย่างก็ได้นะ ซึ่งเราก็สั่งมาเยอะมาก เต็มโต๊ะเลยทีเดียว อร่อยทุกอย่างเลยยยยยยยย











    นี่คือถ่ายแบบรีบมาก อยากกินแล้วววววว ตอนตักทุกอย่างเข้าปากนี่แบบ This is the reason why I love my jobbbbbbbb :P มีกำลังใจไปฟาดฟันต่อกรกับผู้โดยสารบนเครื่องเลยอะ แฮปปี้เป็นสุขมากกกกกกกกกกก

    กินเสร็จแล้วเราก็เดินเล่นกุ๊งกิ๊งกันต่อนิดหน่อย ถ่ายรูปต่อและเดินเล่นใน Primark (ไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับมานะ เงินทุกปอนด์ทุกเพนนีอุทิศให้แก่อาหารการกิน) กลับมาถึงโรงแรมก็สี่โมงกว่าๆ ห้าโมงก็ wake up call แล้ว เลยไม่ได้นอนพักก่อนไปบิน ซึ่งก็โอเค ไหวแหละนะ






    ลากันไปด้วยภาพนี้ วู้ฮู้วววววววววววววว

    เจอกันใหม่กับทริปดับลินนะฮ้าฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ




    ด้วยรัก...จากเด็กหงส์ในถิ่นผีแดง




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in