เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หนีไปเสียจากบ้านSALMONBOOKS
02: เพราะมีน้ำตา, มนุษย์จึงไม่เคยหยุดร้องไห้
  • เธออาจปรารถนาจะใช้น้ำตาของกาลเวลา
    พร่างพรมกลีบดอกไม้แห่งความเศร้าก็ได้
    ทว่าแม้พร้อมร้องไห้ เธอก็ไม่อาจทำ
    เพราะที่แท้แล้วเธอไม่มีน้ำตา
    และไม่มีวิญญาณ

    ขอให้ฉันได้ปลอบโยนเธอเถิด
    พรายฟองของเธอคล้ายแย้มยิ้มปลอบประโลม
    ขอจงปลอบโยนวิญญาณของตัวเองเสียก่อนเถิด—เธอตอบ
    มันแหว่งวิ่นและร้าวเศร้ายิ่งกว่า

    เพราะมีน้ำตา มนุษย์จึงไม่เคยหยุดร้องไห้
    เธอก็เช่นกัน
    แผกเพียงฉันมีน้ำตาในการร้องไห้นั้น
    แต่เธอไม่
    แผกเพียงฉันมีเสรีภาพในความตายนั้น
    แต่เธอไม่

    ดอกไม้และดวงตะวันแห่งความเศร้าของเธอแห้งผาก
    ร้อนและแล้ง
    ไม่มีน้ำตารดรินให้รื้นชื้น
    นั่นจึงเจ็บปวดยิ่งกว่า
    เจ็บปวดอย่างที่ผู้มีน้ำตาไม่มีวันรับรู้
  • 1

    ช่องแคบโอเรซุนด์ไม่แคบนัก

    เธอนั่งพักอยู่ตรงนั้น บนก้อนหินเล็กๆ ด้วยเรือนร่างเล็กๆ คล้ายอยู่ที่นั่นมาแล้วตลอดกาล และจะคงอยู่ตรงนั้นต่อไปอีกตลอดกาล

    “เมื่ออายุสิบห้าปี คุณเคยมีความรักไหม” เขาเอ่ยถาม คุณนิ่งเงียบ พยายามหัวเราะ เรื่องราวต่างๆ ผุดพลุ่งขึ้น ไหลปะปนเวียนวนอยู่ในหน้าอก ความรักพยายามดันตัวเองออกมา แต่คุณกลืนมันลงไปเสีย

    “ไม่ล่ะ” คุณว่าคล้ายขีดเส้นใต้ด้วยชอล์กเป็นเส้นหนา “เราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลย ไม่มีอะไรสลักสำคัญนักหรอก”

    เขาเงียบบ้าง แต่ก็เงียบไปได้ชั่วครู่

    “ตอนอายุสิบห้าปี ใครๆ ก็มีความรักกันทั้งนั้น” เขามองหงส์สองตัวที่ว่ายอยู่ในอ่าวลางีลิเนีย (Langelinie) หรือ Long Line ในภาษาอังกฤษ กลางเมืองโคเปนฮาเกน

    เธอนั่งอยู่ตรงนั้น กับเรื่องเล่าเก่าแก่เรื่องนั้นของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน—นักเล่านิทานผู้มีแต่เรื่องเล่าแสนเศร้า

    “เมื่ออายุสิบห้าปี” ย่าของพวกเธอบอก “พวกเธอจะได้รับอนุญาตให้ว่ายขึ้นไปเหนือผืนทะเล ไปนั่งอยู่บนก้อนหินในแสงจันทร์ ที่ที่มีเรือลำใหญ่ๆ แล่นผ่าน และเธอจะได้เห็นทั้งป่าและเมือง”

    แต่กระนั้น ย่าก็ไม่เคยบอกพวกเธอเลยว่า ใครคนหนึ่งในบรรดาพวกเธอจะได้พบเจอกับสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต

    ใช่—มันเป็นทั้งสิ่งมหัศจรรย์ดั่งการมองดวงตะวันยามเช้า, และเป็นทั้งสิ่งเศร้าสร้อยที่อาจบดขยี้ตัวตนจนสูญสลาย

    สิ่งนั้นเรียกว่าความรัก
  • 2

    คุณเดินไปกับเขาที่ริมฝั่งน้ำนั้น บางทีอาจเป็นที่นี่ก็ได้ใช่ไหม ที่เธอได้ว่ายน้ำเข้ามา และเรื่องราวแสนเศร้าได้เริ่มขึ้น

    “ความรักคือเรื่องของการสูญเสียตัวตน” คุณเริ่มพูดอีกครั้งหนึ่ง “การพูดถึงความรักคือการพูดถึงชั่วขณะที่เราไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง จึงไม่รู้เลยว่าจะพูดถึงมันไปเพื่ออะไร”

    “ความรักไม่ใช่การยืนยันตัวตนหรอกหรือ” เขาแย้ง “ยืนยันว่าเรามีเสรีภาพที่จะเลือกทำในสิ่งที่เราปรารถนา และมีชีวิตอยู่หรือตายไปในแบบที่เราต้องการเลือก”

    คุณหัวเราะ

    ใช่, คุณหัวเราะเยาะเขา

    “เสรีภาพหรือ” คุณพูด “เราไม่มีเสรีภาพหรอก เราเพียงแต่ถูกหลอกเท่านั้นว่ามีเสรีภาพอยู่ที่โน่น” คุณชี้มือไปที่เส้นขอบฟ้า ท้องฟ้าของเดนมาร์กวันนั้นเป็นสีฟ้าอมเทา...เหมือนสีของความเศร้า “แต่คุณไม่มีวันไปถึงหรอก ไม่ว่าเดินทางไกลเพียงใด ที่สุดคุณก็จะถูกขังอยู่ที่นี่”

    เขาหยุดเดิน มองนกนางนวลตัวหนึ่งที่โฉบผ่าน มันบินขึ้นไปสูงลิบ จนลับหายไปที่ไหนสักแห่งที่เขาไม่รู้จัก และอาจไม่มีวันไปถึง

    “คุณเคยได้ยินเรื่องราวของธัมเบลินาไหม” เขาถาม “เรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัวเล็กเสียยิ่งกว่าเงือกน้อย เล็กจนเธอสามารถนอนอยู่ในเปลือกของวอลนัต และปูที่นอนด้วยใบสีน้ำเงินของดอกไวโอเลตและใบกุหลาบ”

    “เคยสิ” คุณตอบ

    “มันเป็นหนังสือเล่มแรกที่ผมอ่านในชีวิต” เขาว่า “แม่บอกผมอย่างนั้น”

    คุณเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร
  • “มีคนวิจารณ์ว่า ธัมเบลินาและเงือกน้อยนั้นละม้ายคล้ายคลึงกัน” เขาพูดต่อ “ตรงที่ทั้งคู่ต่างต้องหนีออกจากสถานที่อันอบอุ่นคุ้นเคย ที่ที่พวกเธออาจเรียกได้ว่าเป็นบ้าน เพราะมีบางสิ่งที่ทำให้พวกเธอไม่อาจอยู่ที่นั่นได้อีก ธัมเบลินาไม่อยากแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก ในขณะที่เงือกน้อยปรารถนาจะอยู่กับคนที่เธอรัก แม้นั่นจะต้องแลกมาด้วยครึ่งหนึ่งของชีวิตเธอก็ตามที ไม่รู้สิ ผมอยากเรียกสิ่งนั้นว่าการตามหาเสรีภาพนะ” เขายกมือขยี้ตาเหมือนแสงแดดแรงเกินไป “ทั้งคู่ไม่อาจอยู่ที่บ้านเกิดของตัวเองได้ เพราะการอยู่ที่นั่นจะเจ็บปวดเกินไป ทุกข์ทรมานเกินไป ที่จริงก็เหมือนคนอื่นอีกมากมายในยุคสมัยของเรา ที่พวกเขาทนอยู่ในบ้านเกิดของตัวเองไม่ได้นั่นแหละ”

    คุณเองก็หยุดเดินด้วย คุณชวนเขานั่งลงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง มันเป็นก้อนหินที่มีผิวขรุขระจนไม่น่านั่ง แต่คุณก็เลือกที่จะนั่งลงบนนั้น “แต่ก็ยังมีคนอีกมากมายอยู่ที่นั่น ทำไมคนอื่นๆเขาถึงทนอยู่ที่นั่นกันได้ล่ะ” คุณถาม

    “คนอื่นๆ อาจจะไม่ได้ทนก็ได้ พวกเขาเพียงแต่เหมาะกับที่นั่น” เขาทรุดตัวลงนั่งตาม “แต่ธัมเบลินาและเงือกน้อยไม่เหมือนคนอื่นๆ เหล่าพี่ๆ ของเงือกน้อย พ่อของเธอ ย่าของเธอ ล้วนเคยว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำ พวกเขาต่างเคยพบเห็นเรือลำใหญ่ที่มีผู้คนกินเลี้ยงสนุกสนาน ต่างเคยเห็นดวงตะวันลับฟ้า เห็นผืนน้ำกว้างไกลสุดสายตา เห็นดวงจันทร์เปล่งแสงนวลกระทบผิวน้ำพร่างพราย ได้เห็นว่ายังมีความไพศาลอีกมากมายให้หัวใจของพวกเขาปลิดปลิวไปตามสายลม เวิ้งฟ้านั้นมหาศาลกว่าดินแดนบ้านเกิดใต้บาดาลอันคับแคบ แม้จะพึงพอใจที่ได้เห็นภาพอันงดงาม

    ทว่าพวกเขากลับรู้สึกว่าตัวเองได้เห็นมากพอแล้ว การเห็นทำให้ได้เติบโตขึ้น พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้มากพอแล้วและตระหนักว่าสิ่งที่พวกตนต้องการก็คือการได้อยู่ในสถานที่อันคุ้นเคย ลึกลงไปใต้ผืนน้ำ ในที่แคบๆ ที่พวกเขาเรียกว่าบ้าน แม้มืดมิดอยู่ใต้สมุทรก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เหงาหงอยและรู้สึกว่าต่างเป็นของกันและกัน แต่เงือกน้อยของเรา” เขาชี้มือไปหาเงือกน้อยที่นั่งอยู่บนก้อนหิน ซึ่งบัดนี้ยิ่งคล้ายอยู่ห่างไกลออกไปทุกที เนื่องจากมีฝูงนักท่องเที่ยวมากลุ้มรุมถ่ายรูปด้วย “เงือกน้อยของเราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น เธอได้พบกับความรักบางอย่าง ไม่ใช่ความรักที่ผู้ใดใต้สมุทรเคยคุ้น มันคือความรักแปลกใหม่ที่ไม่มีเงือกตัวใดเคยรู้จัก เป็นความรักที่ก้าวข้ามเส้นพันธนาการของชีวิตดั้งเดิม เธอรู้ดีว่า หากรัก เธอก็ไม่อาจมีชีวิตแบบเดิมได้ แต่หากไม่ได้รัก มันจะร้ายแรงกว่านั้น เพราะเธอจะไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เลย เธอจึงเลือกเดินออกจากชีวิตเดิมหายไปจากบ้าน และออกเดินทางตามหาความรักนั้น โดยมีความเสี่ยงมหาศาลรอคอยอยู่”
  • “ความรักประเภทนั้นอาจหมายถึงความโง่เขลาก็ได้” คุณแย้ง “ก็อย่างที่รู้กันอยู่ เงือกน้อยเลือกที่จะตัดหางของตัวเอง ยอมแลกเสียงของเธอเพื่อให้มีขา แล้วเมื่อขึ้นจากน้ำมา เธอก็พบว่าคนที่เธอรักที่สุดในชีวิตนั้นไม่ได้รักเธอเลย ที่สุด เธอจึงกลายเป็นพรายฟอง ไม่มีโอกาสจะมีชีวิตอยู่นานๆ เหมือนที่เงือกตัวอื่นๆ มีโอกาสนั้น แต่เป็นความรักบ้านเกิดไม่ใช่หรอกหรือ ที่จะทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยสามร้อยปี” คุณหัวเราะซ้ำ มันคือเสียงแห่งการหยัน แต่เขาจะไม่มีวันรู้หรอกว่าคุณหัวเราะเช่นนั้นไปเพื่ออะไร

    เขาทอดสายตามองลงไปในน้ำคล้ายเจ็บปวดกับบางสิ่งที่ไม่อาจพูดขึ้น

    “ผมไม่คิดว่าความรักของเงือกน้อยเป็นเรื่องโง่เขลาหรอก” ในที่สุดเขาก็พูด “เธอมีโอกาสจะได้รับหางของเธอ และกลับไปเป็นเงือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงแต่เธอกล้าจะแทงมีดเล่มนั้นเข้าไปในหัวใจของเจ้าชาย แต่เธอก็ไม่ได้ทำ ผมคิดว่าเอาเข้าจริงแล้ว เธอกล้าพอจะเลือกให้คนที่เธอรักได้มีชีวิตอยู่ และเลือกที่จะปลดปล่อยตัวเองให้กลายเป็นพรายฟองที่ไม่รู้ร้อนหนาวนั้นด้วยตัวเอง ผมจึงไม่คิดว่าความรักของเงือกน้อยเป็นเรื่องโง่เขลา ไม่เลย

    “ความรักของคนอื่นๆ ที่เลือกจะอยู่นิ่งๆ ที่บ้านเกิดของตัวเองก็เช่นกัน ผมไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องโง่เขลาด้วย สิ่งสำคัญกว่าก็คือการที่ทุกคนมีโอกาสได้เลือก แต่สำหรับผม เรื่องราวของเงือกน้อยเจ็บปวดนักก็เพราะเธอช่างแตกต่างจากคนอื่นๆ เธอแตกต่างจากทุกคนที่เธอรัก เธอไม่เหมือนเงือกเพราะเธอไม่ได้รักโลกใต้น้ำมากพอที่จะอยู่ในนั้น เธอมีความรักที่แตกต่างจากผู้อื่น เธอไม่ได้รักเงือกด้วยกันเอง เธอรักความเป็นไปไม่ได้ เธอรักมนุษย์ แต่มนุษย์มีสิ่งที่เธอไม่มี นั่นคือวิญญาณ”

    เงือกน้อยต้องตาย
    มนุษย์ก็ต้องตาย
    แต่เงือกน้อยจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว
    เธอจะกลายเป็นเพียงพรายฟองของมหาสมุทร
    ที่ไม่รับรู้ยินยลอะไรอีก
  • ใครหลายคนเดินเข้ามาตรงลานกว้างของสวนลางีลิเนีย พวกเขาจูงจักรยานและถือแผ่นป้ายเป็นภาษาเดนิชที่คุณกับเขาแปลไม่ออก แต่กระนั้น คุณกับเขาก็พอเดาได้ ว่าคนเหล่านั้นกำลังประท้วงอะไรบางอย่าง

    “อะไรทำให้คุณมีความสุขที่สุดในวัยเด็ก” คุณถามเขา

    “ความรักสิ” เขาตอบอย่างไม่ลังเลแต่ยิ้มเศร้า “เป็นความรักในแบบที่ธัมเบลินามี นั่นคือรักที่จะออกเดินทางไปยังหนแห่งที่ไม่รู้จัก ทั้งเพื่อหนีและเพื่อค้นหา โดยที่ผมไม่รู้หรอกนะ—ว่าหนีอะไรและค้นหาอะไร หรือบางทีเอาเข้าจริง ผมอาจรักเสรีภาพที่จะได้เลือกกระมัง ถ้าที่ไหนไม่มีเสรีภาพมอบให้ ผมก็จะจากไป”

    คนเหล่านั้นเอาผืนผ้าสีรุ้งไปแขวนคลุมตัวของเงือกน้อย บางทีนั่นอาจเป็นสัญลักษณ์ถึงเสรีภาพบางอย่างก็ได้ เขาบอกคุณ แต่คุณแย้ง เพราะคุณเห็นคำว่า Peace หรือสันติภาพอยู่ในท่ามกลางตัวอักษรอื่นๆ ในภาษาแปลกหน้า

    “เสรีภาพหรือ—บางทีอาจเป็นสันติภาพต่างหากเล่าที่เราต้องการ” คุณขัดคอเขาอีกครั้งอย่างจริงจัง

    “นั่นสิ” เขายิ้ม ไร้วี่แววเยาะหยัน “บางคนต้องการเสรีภาพ บางคนต้องการความสุขสงบ สองสิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน แต่มันก็ขัดแย้งกันอยู่เสมอ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเรา ที่บ้านเกิดของเรา เหมือนที่ทำให้เราเดินทางออกมาจากที่นั่น”

    “คุณเคยคิดอยากกลับไปบ้างไหม” คุณถาม

    “อยากสิ” เขาตอบด้วยดวงตาเศร้าจนคุณอดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังจะร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น “บางครั้งผมก็ฝันว่าได้กลับไปที่นั่นอีก แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่กับอดีต ใช่นะ อดีตพวกนั้นแจ่มใส มีความทรงจำรำลึกแสนสวยมากมายอยู่ที่นั่นแบบเด็กๆ หนังสือเล่มแรกที่อ่าน นิทานเล่มแรกที่ร้องไห้กับมัน ตุ๊กตาหมีตัวนั้นที่มีขนแข็งทิ่มแทงใบหน้ายามซุกกอดจนรู้สึกเหมือนหัวใจบาดเจ็บ บางครั้งผมก็อยากกลับไป แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่”

    คุณยิ้มให้เขา ยิ้มให้กับผู้คนรอบตัวที่กำลังประท้วงบางสิ่งที่คุณไม่รู้จัก และยิ้มให้ความรวดร้าวของเงือกน้อยบนก้อนหิน ไกลออกไปคือโรงงานไฟฟ้าและสีเทาจางๆ ของผืนฟ้ากว้าง

    ความรักคือการบดขยี้ทำลายตัวตน หรือเป็นการยืนยันตัวตนกันแน่นะ,

    คุณบอกตัวเองว่าคุณไม่รู้หรอก

    ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
  • 3

    สิบสี่ชั่วโมงหลังจากนั้น คุณจะพบตัวเองอยู่กับเขา บนรถคันหนึ่งที่กำลังแล่นข้ามสะพานโอเรซุนด์ ข้ามความคับแคบของช่องแคบที่ไม่แคบนัก จากเดนมาร์กมุ่งหน้าสู่สวีเดน แต่ที่นั่นไม่ใช่จุดหมายปลายทางหรอก มันเป็นเพียงความผิดพลาดของความพยายามจะดิ้นรนหนีไปจากกับดักแห่งความสุขสงบ

    เสรีภาพหรือ?

    คุณจะหัวเราะขำอีกครั้งหนึ่งเมื่อรถแล่นขึ้นสูงคล้ายบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in