Tram en route
รถราง (Tram) หรือที่คนฮ่องกงเรียกว่า เต๊ง เต๊ง (Ding-Ding tram) ถือเป็นเป็นเอกลักษณ์แห่งเกาะฮ่องกงเลยก็ว่าได้ แทรมเปิดให้บริการเมื่อปีค.ศ.1904 จนถึงปัจจุบัน นับ ๆ ดูก็ผ่านมาร่วม 114 ปีแล้ว ก็ยังคงแล่นไปตามรางคอยรับผู้คนที่สัญจรไปมาโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แทรมที่ฮ่องกงมีสองชั้น ถ้าอยากนั่งชิลล์ ๆ กินลมชมเมืองก็แนะนำให้ขึ้นไปนั่งชั้นบน นั่งชมป้ายไฟนีออนไปก็บันเทิงดี
เส้นทางวิ่งผ่านของแทรม จะวิ่งวนแค่ฝั่งเกาะฮ่องกงเท่านั้น ถ้าพี่ไปยืนรอที่ฝั่งเกาลูน พี่คงต้องรอจนขาดใจเลยนะ
ในฮ่องกงมีแทรมถึง 140 คัน และอาจเป็นประเทศเดียวในโลกที่คนยังใช้บริการแทรมเป็นขนส่งสาธารณะกันอยู่ นอกจากความคลาสสิคแล้ว แทรมยังเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ฉันคิดว่าเก๋มาก ๆ ในฮ่องกงด้วย ฉันชอบดูดีไซน์ของแบรนด์ต่าง ๆ ที่แปะอยู่รอบรถรางทั้งคัน ครั้งหนึ่งฉันเห็นรถรางวิ่งผ่านหน้า ติดยี่ห้อสายการบินแห่งชาติบ้านเรา นึกเจ็บใจตัวเองที่มัวแต่ตื่นเต้นจนยกมือถือขึ้นมาถ่ายไม่ทัน เป็นคนที่เห็นอะไรเกี่ยวกับบ้านเราในต่างแดน ก็ตื่นเต้น หัวใจจะเต้นแรงเสมอ ไม่รู้จะมีใครเป็นแบบนี้เหมือนกันไหม
อัตราค่าบริการรถรางก็ถูกแสนถูก ถ้าเทียบกับค่าครองชีพอันมหาโหดนี้ จ่ายแค่ 2.3$ ตลอดสาย คิดเป็นเงินไทยไม่ถึงสิบบาท จะจ่ายเงินสดก็ได้หรือจ่ายผ่านบัตรปลาหมึก (octopus) ก็ตามแต่สะดวก คนฮ่องกงใช้ออคโทพุสในการใช้ขนส่งสาธารณะทุกชนิด รวมไปถึงจับจ่ายใช้สอยในร้านสะดวกซื้อด้วย ก็ได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ที่บ้านเราจะมีบัตรอัจฉริยะแบบนี้ที่ใช้ได้ทั่วประเทศบ้าง
ข้อดีของแทรมคือราคาสบายกระเป๋า แถมได้นั่งกินลมชมตึกสบายใจ แต่ข้อเสียคือ แทรมใช้ถนนร่วมกับรถยนต์คันอื่น ๆ เจอรถติดเหมือนกันทุกประการ ใครรีบ ๆ แนะนำว่าไม่ควรใช้บริการเป็นอย่างยิ่ง
ฉันชอบนั่งแทรมจากคอสเวย์เบย์ไปเดินตลาดแถวเชิงวานและหว่านจ๋าย (หรือที่ฉันชอบเรียกว่าย่านหวานใจ) บางครั้งถ้ามีเวลาก็จะนั่งไปเรื่อย ๆ ผ่านตึกสูงในแอดมิรัลตีและย่านเซ็นทรัล ไปถึงเคนเนดี ทาวน์ เปลี่ยนสายแล้ววนกลับ ภูมิทัศน์ทั้งสองข้างทางก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เพลินตาเพลินใจดีเหมือนกัน ฉันเคยนั่งแทรมช่วงเวลา Rush hour ในฤดูฝน ยิ่งช่วงที่มีธุระที่ต้องไปทำแล้วมาเจอฟ้าฝนไม่เป็นใจ มีอะไรก็ติดขัดตลอด จนต้องนั่งรำพึงกับตัวเองว่า เมื่อเช้าตูก้าวเท้าไหนออกบ้านว้าาา ก้าวผิดชีวิตเปลี่ยนชัด ๆ จริง ๆ ไม่เคยเชื่อเรื่องการก้าวเท้าออกบ้านเลย ไม่เคยถือเคล็ดด้วย แต่เวลาที่ประสบกับสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจหรือที่ร้ายอีกหน่อยก็เข้าขั้นซวย ประโยคที่ถูกหยิบยกขึ้นมาก็คือก้าวเท้าไหนออกจากบ้านนี่แหละค่ะ
ฮ่องกงก็เหมือนเมืองใหญ่ทั่วไป ที่จราจรไม่ค่อยคล่องตัวเท่าที่ควร รถนิ่งนานกว่าจะขยับ แต่ก็ไม่ติดวินาศสันตะโรอย่างเมืองใหญ่บางเมืองอื่น ๆ ยกตัวอย่าง อาทิ บางกอกของเรานั่นเอง อย่างที่บอก ถ้าใครรีบ ๆ ทนความหวานเย็นไม่ไหว ก็ควรจะเปลี่ยนไปใช้บริการ MTR หรือรถไฟใต้ดินแทน ไวกว่ากันหลายเท่านัก แต่ถ้าอยากนั่งทอดอารมณ์ชมวิวชิลล์ ๆ ไป การนั่งแทรมก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ฉันชอบเวลาแทรมเคลื่อนผ่านรางไปตามถนน ผ่านตึกสูงและป้ายไฟนีออนระหว่างทาง สวยอย่าบอกใครเชียว ยิ่งในฤดูหนาว เป็นฤดูที่คนมักจะเหงามากที่สุด ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายปรากฏการณ์ฤดูหนาว ฤดูเหงาเอาไว้ว่า เป็นอาการ "SAD" Seasonal Affective Disorder อาการเศร้าที่มีผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล เป็นฤดูที่กลางวันสั้น กลางคืนยาวนาน ทำให้ร่างกายของมนุษย์ได้รับแสงแดดน้อยกว่าในฤดูอื่น อุณหภูมิมีผลต่อร่างกาย และส่งผลกระทบไปถึงจิตใจด้วย
ฉันชอบนั่งแทรมในฤดูหนาว ยิ่งเวลาอกหักนี่ยิ่งอินระดับร้อยเลย หว่องกันไปให้สุด นั่งนิ่ง ๆ ให้ลมหนาวโชยพัดประทะใบหน้า ทำตัวประหนึ่งนางเอกเอ็มวี เสียบหูฟัง ให้เสียงเพลงดังกลบความเปลี่ยวเหงาในหัวใจ เป็นการใช้ดนตรีเยียวยาหัวใจได้อีกทางหนึ่ง เป็นการกระทำความหว่องที่เหงางามน่าดู
ท่ามกลางคนมากมาย การได้อยู่กับตัวเองยิ่งทำให้รู้สึกว่าโลกทั้งใบเป็นของเรา เราพอใจจะรับใครเข้ามาในนี้ก็ได้ หรือไม่ยินดีกับการมีใครก็ได้เช่นกัน โลกจะหมุนช้าหรือเร็วก็ช่างมัน ก็คงไม่มีใครสนใจแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in