หลังจากที่ผมได้ปลง (หรือดื่มด่ำ?) กับอาหารแล้ว เราก็ต้องเอาจานไปล้างเอง ซึ่งเป็นแบบรองน้ำไว้สามอ่าง อ่างที่มีน้ำยา แล้วก็น้ำสะอาดแรก น้ำสะอาดสอง แต่ละคนก็จะบรรจงล้างมากครับ ทุกคนดูเป็นคนดี เวลาล้างต้องกลั้วน้ำชะเศษข้าวต้มในชามสเตนเลสแล้วเขี่ยออกให้เกลี้ยง จากนั้นค่อยล้างในน้ำยาล้างจาน จริง ๆ ก็ไม่ได้มีกฎอะไรชัดเจนขนาดนั้น แต่คนส่วนใหญ่ (ซึ่งในนั้นจะมีคนที่จัดเจนในคอร์สนี้เหลือเกิน ซึ่งมารู้ทีหลังว่าอ๋อเป็นอาสาสมัครนี่เอง) เค้าก็จะทำแบบนี้กัน เราก็แค่ทำตาม พอเสร็จจากล้างจานก็เอาล่ะสิครับ เป็นกิจกรรมอาสาสมัคร เป็นแนว ๆ ทำความสะอาดพื้นที่อะไรสักอย่าง ซึ่งผมลงไว้เป็นทำความสะอาดโรงอาหาร ซึ่งก็ต้องทำงานร่วมกับคนอีกสามคน ก็งง ๆ ว่าไม่ให้พูดแล้วจะทำงานกันยังไง แต่พอทำ ๆ ไปสุดท้ายก็รู้ละครับ... ภาษาใบ้ กับกระซิบพอจำเป็นนี่เอง... บางครั้งเวลาทำ ๆ ไปเราก็ไม่แน่ใจว่า เราทำน้อยไปมั้ย มากไปมั้ย มันมีความกังวลอยู่ในนั้นจริง ๆ นะครับ คิดว่าอีกสองสามคนจะว่าเรามั้ย เค้าจะคิดว่าเรากินแรงหรือเปล่า แต่เท่าที่ดูแล้ว... เราทำได้น้อยจัง เพราะผู้หญิงอีกสามท่านก็ลุยถูเอาๆ เร็วมากจนผมสงสัยว่ามันสะอาดจริงเหรอ? (แน่ะ! เพราะแกคิดอย่างนี้ไง แกเลยกลัวว่าเค้าจะว่ากลับบ้าง! ) แต่ดูที่นั่นเค้าก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนะครับ เพราะมันค่อนข้างจะสะอาดอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เพราะฉะนั้นก็ทำ ๆ ไปเถอะครับ
พอกลับจากการทำงานอาสาสมัครก็เข้ามาที่หอพักเพื่ออาบน้ำ ตอนนั้นก็ไม่ได้ดูนาฬิกาเลย ก็เตรียมอาบน้ำ เนื่องจากผมไม่เจนกับการอาบน้ำรวม ว่าจะต้องเตรียมอะไรไปมั่ง ผ้าขาวม้า ขัน สบู่มั้ย จะเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนเลยมั้ย แล้วตอนราดจนผ้าขาวม้าเปียกแล้วยังไง งง ๆ จนได้วิธีมาก็คือนุ่งผ้าขาวม้า แล้วก็อาบ ๆ ไปพออาบเสร็จก็เอาเสื้อผ้าใหม่ที่พกมาไปเปลี่ยนในห้องส้วม เป็นอันเสร็จพิธี... ที่ห้องน้ำนี่พี่มากขา (กิ้งกือ) มาชุมนุมกันเยอะมาก ไม่ต้องตกใจนะครับ ทำตัวให้ชินไว้ อย่าไปเหยียบเค้าก็พอ (ใครว่ากิ้งกือไม่มีพิษสง จริง ๆ แล้วกิ้งกือสามารถหลั่งสารพิษออกมาได้เมื่อมันรู้สึกว่าเป็นอันตราย โดยจะเป็นน้ำเหลือง ๆ เมื่อสัมผัสผิวหนังก็จะเกิดเป็นรอยไหม้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจับมันส่ง ๆ ก็ค่อนข้างอันตรายครับ) พอกลับออกมาเห็นคนอื่นเค้าซักผ้ากัน เราก็เห็นว่าเออ ก็ควรซักนะ เพราะไม่รู้ว่าผ้าจะแห้งทันมั้ย (เครื่องแต่งกายสำหรับที่นี่ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นชุดขาวอุบาสกก็ได้ครับ ขอให้เป็นเสื้อสีสุภาพ ไม่แขนกุด ไม่รัดรูป กางเกงก็เป็นกางเกงขายาวถึงตาตุ่ม กางเกงวอร์มก็ได้ครับ เวลาออกกำลังก็สะดวกดี บางท่านก็เอาเป็นกางเกงเลมา ก็น่าจะดีครับ แต่ข้อแนะนำเพิ่มเติมคือควรเป็นผ้าแห้งง่าย ๆ เพราะถ้าเจอตอนหน้าฝนแล้วผ้าอาจจะแห้งไม่ทัน) ผมก็ซัก ๆ ไปครับ พอซักไปกำลังซักตัวที่สอง...
แป๊งงงงงง แป๊งงงงงง
อุ๊! ตาเถร! ได้เวลารวมตัวแล้วเหรอเนี่ยยยย!
ขยำ ๆๆๆ มั่ว ๆๆๆ ล้างน้ำสะอาด เฮ่ย ยังมีฟองอยู่เลย แต่...ไม่ทันแล้ว ช่างมันเถอะ ตาก ๆๆๆ แม่กุญแจ ๆๆ ล็อค ๆๆๆ อ้าวเฮ้ย ลืมกุญแจไว้ในห้อง ดีนะยังไม่ได้กดล็อค หยิบ ๆๆๆ ล็อค จ้ำ ๆๆๆๆๆ
เฮ่ออออ มาทัน แป๊งท้าย ๆ โดยที่คนเต็มศาลาแล้ววว แต่ก็ทันอะนะ!
เช้าวันแรก ถ้าจำไม่ผิดก็จะเป็นคุณวรรณมากล่าวทักทาย ว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้างงง (นอนหลับสบายมากเลยฮะ ได้ยินเสียงหัวใจและความคิดตัวเองตลอดคืนนนน มันเมื่อยยย และปวดตัวมากกก) เค้าก็พึ่งแนะนำวิธีเอาตัวรอดจากการนอนด้วยหมอนไม้... (ทำไมไม่บอกก๊อนนนน) คือนอนท่าสีหไสยาสน์ คือนอนตะแคงขวา แล้วก็หาตัวเสริมคือเอาอะไรรองขาขวาเล็กน้อย เพื่อให้สบายขึ้นหน่อย คุณวรรณก็เน้นอีกว่า ช่วงสามวันแรกจะนานหน่อย (อันนี้จริง วันนี้วันแรกก็รู้สึกเหมือนผ่านไปสามวันและ) เป็นช่วงที่เราชินกับกิเลส พอมาอยู่ในสภาพนี้ก็ต้องจูน ๆ ให้สภาพจิตมันพร้อมกับสภาพแบบนี้ แต่พอวันที่สี่เป็นต้นไปจะรู้สึกว่าเร็วมาก
โอเค! เราก็จะต้องพยายามสินะ ในช่วงแรก ๆ ก็ยังคุยกันเรื่องเบา ๆ มีเรื่องเล่ามาเล่าบ้าง และกิจกรรมจริง ๆ ก็มา คือการฟังธรรม... (จริงๆ จะเรียกว่าเป็นการฟังธรรมมันก็ไม่เชิงนะครับ เพราะมันเป็นขั้นตอนการทำอานาปาณสติ)
คือผมว่าผมก็ไม่ได้แอนตี้อะไรกับการฟังพระท่านพูดนะ โดยส่วนตัวก็โอเค ก็ชอบนะ แต่การมานั่งฟัง หลังอาหารเช้า ซึ่งเมื่อคืนนอนไม่หลับนี่ฟังแล้วซึ้งเลยครับ...ซึ้งในพระธรรม...อะ! อะไรนะ! สัปหงกตั้งแต่สิบห้านาทีแรก...
คือพระอาจารย์รุ่นเก่านั้นสไตล์การบรรยายธรรมท่านน่าจะรู้ว่า ท่านจะมีจังหวะจะโคน พูดทีละประโยค ช้า ๆ ชัด ๆ แถมท่านพุทธทาสจะมีขำในลำคอเบา ๆ ในทุก ๆ สองหรือสามประโยคด้วย คือบอกตามตรงว่าเริ่มจะจำเนื้อหาที่ท่านบรรยายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ผมถูกใจประโยคนึงคือ "พวกเราโดนกิเลสมันกัด... " เออมันก็จริงนะ ทุก ๆ วันนี้คนเราก็โดนกิเลสกัดกันจริง ๆ พอเราโลภ เราอยากได้ เราทุรนทุราย เราก็โดนกิเลสกัด เวลาเราโมโห เราทุรนทุราย เราก็โดนกิเลสกัด เวลาเราเสพติดในอะไรซักอย่าง แล้วไม่ได้ เราทุรนทุราย เราก็โดนกิเลสกัด!!!
ทุกวันนี้เราโดนกิเลสกัดกันเยอะจริงๆ ซึ่งเราเองก็ไม่มีความสุขจากการโดนกิเลสมันกัดนี่แหละ...
วี้.... วี้ออีอีอีอีอีอีอีอีอี จึก
ซี้ดปาก โอยยยยย ยุงกัด!
คือเป็นธรรมดานี่ตบไปเป็นสิบตัวได้แล้ว
แต่ถือศีลอยู่ไง ก็ปัด ๆ ไป พอยิ่งปัดมันก็ยิ่งมา
แล้วพอเราเริ่มสังเกตตัวเองคือ ยิ่งเราปัด เราก็เริ่มบันดาลโทสะ
เราเริ่มรำคาญ! พอปัดไปได้สักพักเราเริ่มรู้สึกว่าเราฟังไม่รู้เรื่องเลย รู้ตัวอีกทีก็จบการบรรยาย
กิจกรรมในแต่ละวันก็จะราว ๆ นี้ครับ หลังจากที่ทานข้าวแล้วก็จะฟังธรรม อาจจะมีเล่าเรื่อง อ่านกลอน อ่านมรดกธรรมจากท่านพุทธทาสบ้าง ท่านธรรมทาสบ้าง แล้วก็ให้ปฏิบัติสมาธิ เจริญสติภาวนา เสร็จก็กินข้าว แล้วก็วนแบบเดียวกับตอนเช้า สวดทำวัตรเย็น แล้วก็ดื่มน้ำปานะ แล้วก็พักช่วงเย็น พักเสร็จแล้วก็จะมีอาสาสมัครมาอ่านบทความจากท่านธรรมทาสและเดินจงกรมตอนกลางคืน การเดินจงกรมตอนกลางคืนก็วัดใจอยู่เหมือนกัน เพราะท่านจะได้ยินเสียงสิงสาราสัตว์รอบบ่อน้ำ ท่านไม่รู้ว่าท่านจะเหยียบรังมดมั้ย แต่วันที่ผมไปเจอพระจันทร์ครึ่งดวงก็พอโอเคครับ จะเห็นอะไรเยอะหน่อย ซึ่งเดินๆ ไปก็ไม่ได้คิดอะไรมากครับแต่พอเริ่มเห็นคนข้างหน้าเริ่มกระทืบพื้นบ้าง หยิบอะไรออกจากเท้าบ้างผมก็ใจไม่ดีแล้ว เจอมดแน่ๆ ไม่กี่วินาทีก็มาละฮะ จี๊ด! ซี้ดปากอีกแล้ว คือตอนนั้นสติมันนึกแค่ว่าหยิบมดออกอย่างเดียว เริ่มไม่สนศีลข้อ 1 และ คือเราไม่ได้เจตนานะ...
พอเดินจงกรมเสร็จ คุณวรรณจะจะเล่าอะไรก่อนนอนบ้าง แล้วก็แผ่เมตตาเป็นกิจกรรมสุดท้ายก่อนจะกลับไปนอน...
ในที่สุดก็มีเรื่องน่าดีใจอย่างหนึ่งตรงที่ วันนี้วัชรพงศ์ได้ท่านอนใหม่แล้วไชโย!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in