ช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องเผชิญกับความถดถอยภายในจิตใจของตัวเอง จนต้องไปหาจิตแพทย์ มันก็ดีขึ้นบาง ถึงแม้ว่าคุณหมอจะไม่ได้ให้ยาก็เถอะ อาจเป็นเพราะยังเห็นว่าเราทานอาหารได้ตามปกติ แล้วก็ดีขึ้นบ้าง ถอยลงบ้างตามแต่สภาพจิตใจของคนเรา แต่แล้วเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็รู้สึกถึงความไม่ปกติภายในจิตใจ ชีวิตนี้ การนอนมีความสุขกว่าการทำงานในบ้านมาก มากเสียจนไม่อยากทำอะไรเลย... และนี่ก็คือสิ่งที่อยู่ในหัวในขณะนั้น และการเดินทางของจิตใจก็เริ่มขึ้น
"ทำไมเราไม่เหมือนเมื่อก่อน"
"ทำไมเราเคยทำอะไรได้หลายๆ อย่าง แต่ทำไมคราวนี้เรากลับทำมันไม่ได้เลย ในเรื่องจิตใจ"
"ทำไมถึงร้ายกับคนอื่นแบบนี้"
"ทำไมโกรธง่ายแบบนี้"
"ทำไม..."
"ทำไม..."
แล้วผมก็ตื่นจากภวังค์ แล้วก็ใช้ชีวิตที่ไหลไปตามกิเลสมันเรื่อยไป อยากเสพอะไรก็เสพ พอทุกข์ก็เสพ พอสุขก็อยากเสพอีก อยากหาความสุขมันไปเรื่อยๆ แล้วสุขสูงสุดมันคืออะไร...
หลังจากหาอะไรเสพในอินเตอร์เน็ตไปเรื่อย
ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะได้พิมพ์คีย์เวิร์ดเหล่านี้ใส่ลงในช่องข้อความที่ต้องการค้นหาของกูเกิ้ล
"ปฏิบัติธรรม" "สวนโมกข์"
พอรู้สึกตัวอีกทีก็อ่านข้อความในหน้าเว็บนั้นจนหมด แล้วกดสมัคร...
วันคืนล่วงเลย ค่อยๆ ทบทวนตัวเอง ค่อยๆ ลดสิ่งที่เสพให้น้อยลง ทำตัวให้สงบลง จัดตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับการจะเข้าร่วมกิจกรรมนั้น ก็ยังไม่วายมีเรื่องที่คิดว่าเกือบจะทำให้ไม่ได้ไป
ก่อนวันไปสวนโมกข์สักประมาณ 2-3 วัน ผมกับแม่ขับรถกลับจากการไปวิ่งที่สนามกีฬา ในช่วงค่ำ ผมขับมาตามหลังรถอีกคัน แล้วจู่ๆ คันหน้าผมก็เหยียบคร่อมอะไรบางอย่าง เสียงดังพอควร ซึ่งหลังจากนั้นก็เป็นไปตามคาด มาถึงคันผม ผมขับคร่อมมันไป มีเสียงดังมาจากช่วงล่างของตัวรถ เราจึงตัดสินใจ จอดลงมา ปรากฏว่ารถคันหน้า โดนเศษยางรถสิบล้อฟาดเข้าตอนขับคร่อม ทำให้บริเวณด้านหน้า และด้านหลังรถ เสียหาย แต่ไม่มากเท่าไร แน่นอน คันผมก็โดนด้วย เราก็คุยกันกับเจ้าของรถคันข้างหน้า ได้ความว่าเห็นมีรถสิบล้อจอดเสียอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของเศษยางที่ถนน ก็เรียกประกัน มาเคลียร์กัน ผมก็หัวเสียอยู่บ้าง เพราะคิดว่า อุตส่าห์จะได้ไปแล้วแท้ๆ แต่ดันมีเรื่องมาขัด พอเคลียร์กับประกันเสร็จทั้งคู่ ผมจะไปต่อ แต่ดันสตาร์ทไม่ติด ใจหายเลย เคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรืออย่างไร แต่พอเช็คไปเช็คมาก็น่าจะเป็นกระโปรงรถปิดไม่สนิท ระบบของรถจึงไม่ยอมให้สตาร์ท (ฮอนด้ารุ่นใหม่ๆ น่าจะเป็นเหมือนกันหมดนะในตอนนี้)
แต่ก็ผ่านมันมาได้ วันสุดท้ายก่อนเดินทางหนึ่งวันพอเคลียร์กับศูนย์รถจบสรุปว่าช่วงล่างไม่มีปัญหาอะไร ก็เลยตกลงกับตัวเองว่า "ฉันจะไป!" ทั้งๆ ที่ก็ยังมีห่วงบางอย่างที่ทำให้ไม่อยากไปก็เถอะ แต่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีทางแก้ในตัวมันเอง จึงคิดว่าก็ไปเถอะ ไปทั้งๆ ที่ยังห่วงอยู่นั่นแหละ...
หลายคนคงเคยดูการ์ตูนเรื่องโดราเอม่อน ซึ่งคนไทยเราเรียกว่าโดเรม่อนจนติดปาก จึงขอเรียกว่าโดเรม่อนแทนละกัน...
"โดเรม่อนนนนนนนนน เราไปเจอนู่นนี่นั่นมาาาา ฮือๆๆๆๆ ช่วยเราหน่อย" โดเรม่อนหลายครั้งก็จะมองบนมั่ง ยิ้มอ่อนใส่มั่งแต่ก็จะเข้าไปช่วยโนบิตะในทุกครั้งไป แล้วในหลายครั้งการแก้ไขปัญหาบางอย่างก็ต้องใช้ไทม์แมชชีน พาหนะที่ใช้ในการข้ามกาลเวลา เพื่อที่จะไปดูหรือไปแก้ไขสถานการณ์บางอย่างได้ แค่เปิดลิ้นชัก ก็ท่องกาลเวลากันได้เลย!
ตัดภาพกลับมาที่ออกรถตั้งแต่หกโมงเช้า มุ่งสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จุดมุ่งหมายแห่งกิจกรรมที่เราจะไปทำกัน ในคราวนี้ผมไปคนเดียว...
ขณะขับไปตามทาง ผมก็พยายามดึงสติตัวเอง ให้เข้ามาอยู่กับตัวเองให้มากที่สุด เพื่อจะได้ความสงบที่ต้องการ แต่แล้วก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ทดสอบอีกแล้ว ผมขับตามรถกระบะคันหนึ่ง ท้ายกระบะเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย พัดลม ของเล่นเด็ก และอื่นๆ จิปาถะ เหมือนกับว่าจะย้ายที่อยู่ มีการรัดข้าวของด้วยเชือกบ้าง พอกรุบกริบ แต่พัดลมเจ้ากรรม ที่ผมเริ่มสังเกตว่ามันเขย่ามากและเกรงว่ามันจะหล่นลงมา แล้วก็... เชี่ยยยยย เอ๊ยยยยย พัดลมหล่นลงมาจริงๆ ควันขึ้นเพราะการเสียดสีของพัดลมกับถนนทำให้เหมือนกับฉากในหนังแอ็คชั่นยังไงอย่างงั้น! เนื่องจากผมขับห่างเค้าพอสมควร จึงหลบได้ทันแบบสบายๆ แต่ในหัวผมก็คิดว่าจะหาทางบอกเค้าดีมั้ย แล้วจะทำยังไงดี ขับแซงปาดหน้าดีมั้ย ถ้าปาดหน้าก็กลัวว่าเค้าจะด่าพอ ล่อปืนเข้าให้ เอาไงดีหว่า
ด้วยความที่เป็นคนดีมาก จึงปล่อยเค้าไป... (อ้าว) แต่พอขับไปอีก สิ่งที่ผมพบ จะทำให้คุณอึ้งอีกครั้ง! (ทำไมต้องเขียนให้มันดูเป็น Click bet ด้วย!) ผมเจอตุ๊กตาม้ายางสีแดง (มันเป็นม้าพองๆ สีแดงที่ให้เด็กไปขี่แล้วเด้งดึ๋ง ๆ ) อยู่กลางถนน หลบพอได้ แต่ก็น่าตกใจอยู่ คือพอเห็นแล้วจำได้เลยยย ของเฮียคันกระบะแน่ๆ ในใจนึกว่า จะมีอะไรหล่นมาอีกมั้ย? ตู้เย็น? ทีวี? คิดว่าเมื่อไรพี่แกจะรู้วะ! และอีกอย่างคือพี่แกขับเร็วด้วย จะแซงให้พ้นก็ยาก พอขับไปต่อก็พบกระบะคันดังกล่าว เปิดไฟขอทาง คนขับยืนเกาห้วแกรกๆ กำลังว่าจะเอายังไงต่อไปกับชีวิตดี ผมก็โล่งใจว่าอย่างน้อยจะไม่เจออะไรบนถนนไว้ให้ชนเก็บแต้มแบบเกมแข่งรถอีก...
พอมาถึงสวนโมกข์ (ชื่อเต็มคือสวนโมกขพลานาราม) เนื่องจากสวนโมกข์นั้นใหญ่มาก จึงต้องงมหากันอีกพักใหญ่ว่าเค้าจัดกิจกรรมตรงไหน ผมขับไปตรงธรรมทานมูลนิธิ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ใช่ ชี้ให้ไปทางนู้น ยูเทิร์น ตรงต้นหูกวาง อะไรสักอย่าง ฟังแล้วงงๆ ผมก็เลยขับมาอีกด้านของวัด แล้วเดินไปถามที่ประชาสัมพันธ์ จนได้ความกระจ่างว่าอ๋ออออ จัดคนละที่ ตรงที่เราจะไปเค้าเรียกว่าสวนโมกข์นานาชาติ มีคนมาผิดประจำ (มีคนมาหลงพร้อมผมด้วยและ) ซึ่งมันจะอย่างฝั่งตรงข้าม อยู่ตรงภูเขาน้ำร้อน ผมจึงรีบรุดไปที่นั่น เพราะกลัวว่าจะหลงอีก กลัวจะไม่ทันเวลา พอขับมาอีกด้าน เข้ามาหน่อยจะเจอภูเขาน้ำร้อน ก็ขับทะลวงเข้ามาตามทาง แล้วก็เจอทางเล็กๆ ทางขวามีป้ายเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Dhamma Heritage ก็ขับเข้าไป
พอมาถึงจุดหมาย ผมลงรถ ความประทับใจแรกคือ แมลงเยอะมากกกกก (ซึ่งต่อๆ ไปจะมีอีกหลายความประทับใจ) ผมเข้าไปที่บริเวณจุดลงทะเบียน ก็มีข้อความให้อ่านยาวมาก ก็ล้อๆ มาจากข้อมูลในเว็บไซต์นั่นแหละ เข้าไปก็ตามคาด ช่วงอายุของผู้มาร่วมกิจกรรมก็ส่วนใหญ่...จะใช้ชีวิตมาเกินครึ่งชีวิตและ (ราวๆ 30-60) บางคนก็ดูเหมือนเจ้าลัทธิอะไรบางอย่าง ความรู้สึกของผมที่มีต่อท่าทางของพวกเขาคือให้อารมณ์ฤาษีมาก ดูสงบ ดูเย็นนน
"ช่วงสองสามวันแรกอาจจะรู้สึกอยากกลับบ้านมากหน่อยนะคะ เพราะจะรู้สึกเหมือนเวลามันผ่านไปช้ามาก แต่ถ้าผ่านไปได้ก็จะรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วขึ้นค่ะ"
"ที่นี่จะมีตุ๊กแก กิ้งกือ หรือสัตว์อื่นๆ ซึ่งเค้าอยู่มาก่อนเรา เราพึ่งมาอยู่ เราแค่มาอาศัยเค้า เราอย่าไปทำร้ายเค้านะคะ ก็อาจจะมีที่เค้ามาเยี่ยมเยียนมาหาเราบ้างก็ไม่ต้องตกใจนะคะ ทำความคุ้นเคยไปนะคะ แล้วจะหายกลัวไปค่ะ"(จำคำพูดเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่ใจความราวๆ นี้)
คือปกติผมก็ไม่ได้กลัวตุ๊กแกอะไรหรอกนะครับ โอเคสบาย พอหลังจากคุยสัมภาษณ์อะไรเรียบร้อย รับกุญแจ ฝากบัตรประชาชน และมือถือ (บ๊ายยยยบายยยย โลกโซเชียลลลล อีกเจ็ดวันครึ่งเจอกันน้าาาาา ปาดน้ำตาเบาๆ) เจ้าหน้าที่ก็บอกทางไปหอพัก เดินไปผ่านหอหญิง ก็มาเจอหอชาย มองจากด้านนอกก็โอเคนะ นึกว่าจะวิเวกกว่านี้เสียอีก พอเข้ามาช็อตแรกๆ ก็เจอพี่มากขาาา (กิ้งกือ) มาทักทายกันรายทาง ทั้งหลากสี ต่างไซส์ มาเป็นกลมๆ ก็มี เจอแล้วตื่นเต้นสำหรับคนเรียนชีวะมากๆ พอเจอห้องตามเลข ไขกุญแจ เปิดออกมา...
ตาสองคู่ประสานกันที่เพดาน สีผิวไม่ค่อยน่าหวั่นเกรงเท่ากับลายจุดแดงๆ และความอุดมสมบูรณ์ของเขา แต่ก็โชคดีตรงที่ที่ว่างระหว่างเรามากพอที่จะทำให้เราไม่เผลอร้องเป็นตุ๊ดแตกออกมา แล้วเค้าก็เดินจากไปอย่างสงบ...
"ที่นี่จะมีตุ๊กแก กิ้งกือ หรือสัตว์อื่นๆ ซึ่งเค้าอยู่มาก่อนเรา เราพึ่งมาอยู่ เราแค่มาอาศัยเค้า เราอย่าไปทำร้ายเค้านะคะ ก็อาจจะมีที่เค้ามาเยี่ยมเยียนมาหาเราบ้างก็ไม่ต้องตกใจนะคะ ทำความคุ้นเคยไปนะคะ แล้วจะหายกลัวไปค่ะ"
คือเค้าไม่ได้แค่มาเยี่ยมครับ เค้าเล่นมารอต้อนรับเราเลยครับ! อัธยาศัยดีมาก ซึ้งในน้ำใจจริงๆ นะพี่ตุ๊ก! (ความประทับใจที่สอง!)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in