เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องราวจากการที่ผมได้หายตัวไปเจ็ดวันWatch Take
เรื่องราวจากการที่ผมได้หายตัวไปเจ็ดวัน (1)
  •      ช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องเผชิญกับความถดถอยภายในจิตใจของตัวเอง จนต้องไปหาจิตแพทย์ มันก็ดีขึ้นบาง ถึงแม้ว่าคุณหมอจะไม่ได้ให้ยาก็เถอะ อาจเป็นเพราะยังเห็นว่าเราทานอาหารได้ตามปกติ แล้วก็ดีขึ้นบ้าง ถอยลงบ้างตามแต่สภาพจิตใจของคนเรา แต่แล้วเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็รู้สึกถึงความไม่ปกติภายในจิตใจ ชีวิตนี้ การนอนมีความสุขกว่าการทำงานในบ้านมาก มากเสียจนไม่อยากทำอะไรเลย... และนี่ก็คือสิ่งที่อยู่ในหัวในขณะนั้น และการเดินทางของจิตใจก็เริ่มขึ้น
    "ทำไมเราไม่เหมือนเมื่อก่อน"
    "ทำไมเราเคยทำอะไรได้หลายๆ อย่าง แต่ทำไมคราวนี้เรากลับทำมันไม่ได้เลย ในเรื่องจิตใจ"
    "ทำไมถึงร้ายกับคนอื่นแบบนี้"
    "ทำไมโกรธง่ายแบบนี้"
    "ทำไม..."
    "ทำไม..."
         แล้วผมก็ตื่นจากภวังค์ แล้วก็ใช้ชีวิตที่ไหลไปตามกิเลสมันเรื่อยไป อยากเสพอะไรก็เสพ พอทุกข์ก็เสพ พอสุขก็อยากเสพอีก อยากหาความสุขมันไปเรื่อยๆ แล้วสุขสูงสุดมันคืออะไร...
    หลังจากหาอะไรเสพในอินเตอร์เน็ตไปเรื่อย
    ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะได้พิมพ์คีย์เวิร์ดเหล่านี้ใส่ลงในช่องข้อความที่ต้องการค้นหาของกูเกิ้ล
    "ปฏิบัติธรรม" "สวนโมกข์"
         พอรู้สึกตัวอีกทีก็อ่านข้อความในหน้าเว็บนั้นจนหมด แล้วกดสมัคร...
    วันคืนล่วงเลย ค่อยๆ ทบทวนตัวเอง ค่อยๆ ลดสิ่งที่เสพให้น้อยลง ทำตัวให้สงบลง จัดตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับการจะเข้าร่วมกิจกรรมนั้น ก็ยังไม่วายมีเรื่องที่คิดว่าเกือบจะทำให้ไม่ได้ไป
         ก่อนวันไปสวนโมกข์สักประมาณ 2-3 วัน ผมกับแม่ขับรถกลับจากการไปวิ่งที่สนามกีฬา ในช่วงค่ำ ผมขับมาตามหลังรถอีกคัน แล้วจู่ๆ คันหน้าผมก็เหยียบคร่อมอะไรบางอย่าง เสียงดังพอควร ซึ่งหลังจากนั้นก็เป็นไปตามคาด มาถึงคันผม ผมขับคร่อมมันไป มีเสียงดังมาจากช่วงล่างของตัวรถ เราจึงตัดสินใจ จอดลงมา ปรากฏว่ารถคันหน้า โดนเศษยางรถสิบล้อฟาดเข้าตอนขับคร่อม ทำให้บริเวณด้านหน้า และด้านหลังรถ เสียหาย แต่ไม่มากเท่าไร แน่นอน คันผมก็โดนด้วย เราก็คุยกันกับเจ้าของรถคันข้างหน้า ได้ความว่าเห็นมีรถสิบล้อจอดเสียอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของเศษยางที่ถนน ก็เรียกประกัน มาเคลียร์กัน ผมก็หัวเสียอยู่บ้าง เพราะคิดว่า อุตส่าห์จะได้ไปแล้วแท้ๆ แต่ดันมีเรื่องมาขัด พอเคลียร์กับประกันเสร็จทั้งคู่ ผมจะไปต่อ แต่ดันสตาร์ทไม่ติด ใจหายเลย เคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรืออย่างไร แต่พอเช็คไปเช็คมาก็น่าจะเป็นกระโปรงรถปิดไม่สนิท ระบบของรถจึงไม่ยอมให้สตาร์ท (ฮอนด้ารุ่นใหม่ๆ น่าจะเป็นเหมือนกันหมดนะในตอนนี้)
         แต่ก็ผ่านมันมาได้ วันสุดท้ายก่อนเดินทางหนึ่งวันพอเคลียร์กับศูนย์รถจบสรุปว่าช่วงล่างไม่มีปัญหาอะไร ก็เลยตกลงกับตัวเองว่า "ฉันจะไป!" ทั้งๆ ที่ก็ยังมีห่วงบางอย่างที่ทำให้ไม่อยากไปก็เถอะ แต่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีทางแก้ในตัวมันเอง จึงคิดว่าก็ไปเถอะ ไปทั้งๆ ที่ยังห่วงอยู่นั่นแหละ...
    หลายคนคงเคยดูการ์ตูนเรื่องโดราเอม่อน ซึ่งคนไทยเราเรียกว่าโดเรม่อนจนติดปาก จึงขอเรียกว่าโดเรม่อนแทนละกัน...
         "โดเรม่อนนนนนนนนน เราไปเจอนู่นนี่นั่นมาาาา ฮือๆๆๆๆ ช่วยเราหน่อย" โดเรม่อนหลายครั้งก็จะมองบนมั่ง ยิ้มอ่อนใส่มั่งแต่ก็จะเข้าไปช่วยโนบิตะในทุกครั้งไป แล้วในหลายครั้งการแก้ไขปัญหาบางอย่างก็ต้องใช้ไทม์แมชชีน พาหนะที่ใช้ในการข้ามกาลเวลา เพื่อที่จะไปดูหรือไปแก้ไขสถานการณ์บางอย่างได้ แค่เปิดลิ้นชัก ก็ท่องกาลเวลากันได้เลย!
         ตัดภาพกลับมาที่ออกรถตั้งแต่หกโมงเช้า มุ่งสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จุดมุ่งหมายแห่งกิจกรรมที่เราจะไปทำกัน ในคราวนี้ผมไปคนเดียว...
         ขณะขับไปตามทาง ผมก็พยายามดึงสติตัวเอง ให้เข้ามาอยู่กับตัวเองให้มากที่สุด เพื่อจะได้ความสงบที่ต้องการ แต่แล้วก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ทดสอบอีกแล้ว ผมขับตามรถกระบะคันหนึ่ง ท้ายกระบะเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย พัดลม ของเล่นเด็ก และอื่นๆ จิปาถะ เหมือนกับว่าจะย้ายที่อยู่ มีการรัดข้าวของด้วยเชือกบ้าง พอกรุบกริบ แต่พัดลมเจ้ากรรม ที่ผมเริ่มสังเกตว่ามันเขย่ามากและเกรงว่ามันจะหล่นลงมา แล้วก็... เชี่ยยยยย เอ๊ยยยยย พัดลมหล่นลงมาจริงๆ ควันขึ้นเพราะการเสียดสีของพัดลมกับถนนทำให้เหมือนกับฉากในหนังแอ็คชั่นยังไงอย่างงั้น! เนื่องจากผมขับห่างเค้าพอสมควร จึงหลบได้ทันแบบสบายๆ แต่ในหัวผมก็คิดว่าจะหาทางบอกเค้าดีมั้ย แล้วจะทำยังไงดี ขับแซงปาดหน้าดีมั้ย ถ้าปาดหน้าก็กลัวว่าเค้าจะด่าพอ ล่อปืนเข้าให้ เอาไงดีหว่า
         ด้วยความที่เป็นคนดีมาก จึงปล่อยเค้าไป... (อ้าว) แต่พอขับไปอีก สิ่งที่ผมพบ จะทำให้คุณอึ้งอีกครั้ง! (ทำไมต้องเขียนให้มันดูเป็น Click bet ด้วย!) ผมเจอตุ๊กตาม้ายางสีแดง (มันเป็นม้าพองๆ สีแดงที่ให้เด็กไปขี่แล้วเด้งดึ๋ง ๆ ) อยู่กลางถนน หลบพอได้ แต่ก็น่าตกใจอยู่ คือพอเห็นแล้วจำได้เลยยย ของเฮียคันกระบะแน่ๆ ในใจนึกว่า จะมีอะไรหล่นมาอีกมั้ย? ตู้เย็น? ทีวี? คิดว่าเมื่อไรพี่แกจะรู้วะ! และอีกอย่างคือพี่แกขับเร็วด้วย จะแซงให้พ้นก็ยาก พอขับไปต่อก็พบกระบะคันดังกล่าว เปิดไฟขอทาง คนขับยืนเกาห้วแกรกๆ กำลังว่าจะเอายังไงต่อไปกับชีวิตดี ผมก็โล่งใจว่าอย่างน้อยจะไม่เจออะไรบนถนนไว้ให้ชนเก็บแต้มแบบเกมแข่งรถอีก...
         พอมาถึงสวนโมกข์ (ชื่อเต็มคือสวนโมกขพลานาราม)  เนื่องจากสวนโมกข์นั้นใหญ่มาก จึงต้องงมหากันอีกพักใหญ่ว่าเค้าจัดกิจกรรมตรงไหน ผมขับไปตรงธรรมทานมูลนิธิ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ใช่ ชี้ให้ไปทางนู้น ยูเทิร์น ตรงต้นหูกวาง อะไรสักอย่าง ฟังแล้วงงๆ ผมก็เลยขับมาอีกด้านของวัด แล้วเดินไปถามที่ประชาสัมพันธ์ จนได้ความกระจ่างว่าอ๋ออออ จัดคนละที่ ตรงที่เราจะไปเค้าเรียกว่าสวนโมกข์นานาชาติ มีคนมาผิดประจำ (มีคนมาหลงพร้อมผมด้วยและ) ซึ่งมันจะอย่างฝั่งตรงข้าม อยู่ตรงภูเขาน้ำร้อน ผมจึงรีบรุดไปที่นั่น เพราะกลัวว่าจะหลงอีก กลัวจะไม่ทันเวลา พอขับมาอีกด้าน เข้ามาหน่อยจะเจอภูเขาน้ำร้อน ก็ขับทะลวงเข้ามาตามทาง แล้วก็เจอทางเล็กๆ ทางขวามีป้ายเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Dhamma Heritage ก็ขับเข้าไป
         พอมาถึงจุดหมาย ผมลงรถ ความประทับใจแรกคือ แมลงเยอะมากกกกก (ซึ่งต่อๆ ไปจะมีอีกหลายความประทับใจ) ผมเข้าไปที่บริเวณจุดลงทะเบียน ก็มีข้อความให้อ่านยาวมาก ก็ล้อๆ มาจากข้อมูลในเว็บไซต์นั่นแหละ เข้าไปก็ตามคาด ช่วงอายุของผู้มาร่วมกิจกรรมก็ส่วนใหญ่...จะใช้ชีวิตมาเกินครึ่งชีวิตและ (ราวๆ 30-60) บางคนก็ดูเหมือนเจ้าลัทธิอะไรบางอย่าง ความรู้สึกของผมที่มีต่อท่าทางของพวกเขาคือให้อารมณ์ฤาษีมาก ดูสงบ ดูเย็นนน
         "ช่วงสองสามวันแรกอาจจะรู้สึกอยากกลับบ้านมากหน่อยนะคะ เพราะจะรู้สึกเหมือนเวลามันผ่านไปช้ามาก แต่ถ้าผ่านไปได้ก็จะรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วขึ้นค่ะ"
         "ที่นี่จะมีตุ๊กแก กิ้งกือ หรือสัตว์อื่นๆ ซึ่งเค้าอยู่มาก่อนเรา เราพึ่งมาอยู่ เราแค่มาอาศัยเค้า เราอย่าไปทำร้ายเค้านะคะ ก็อาจจะมีที่เค้ามาเยี่ยมเยียนมาหาเราบ้างก็ไม่ต้องตกใจนะคะ ทำความคุ้นเคยไปนะคะ แล้วจะหายกลัวไปค่ะ"(จำคำพูดเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่ใจความราวๆ นี้)
    คือปกติผมก็ไม่ได้กลัวตุ๊กแกอะไรหรอกนะครับ โอเคสบาย พอหลังจากคุยสัมภาษณ์อะไรเรียบร้อย รับกุญแจ ฝากบัตรประชาชน และมือถือ (บ๊ายยยยบายยยย โลกโซเชียลลลล อีกเจ็ดวันครึ่งเจอกันน้าาาาา ปาดน้ำตาเบาๆ) เจ้าหน้าที่ก็บอกทางไปหอพัก เดินไปผ่านหอหญิง ก็มาเจอหอชาย มองจากด้านนอกก็โอเคนะ นึกว่าจะวิเวกกว่านี้เสียอีก พอเข้ามาช็อตแรกๆ ก็เจอพี่มากขาาา (กิ้งกือ) มาทักทายกันรายทาง ทั้งหลากสี ต่างไซส์ มาเป็นกลมๆ ก็มี เจอแล้วตื่นเต้นสำหรับคนเรียนชีวะมากๆ พอเจอห้องตามเลข ไขกุญแจ เปิดออกมา...
         ตาสองคู่ประสานกันที่เพดาน สีผิวไม่ค่อยน่าหวั่นเกรงเท่ากับลายจุดแดงๆ และความอุดมสมบูรณ์ของเขา แต่ก็โชคดีตรงที่ที่ว่างระหว่างเรามากพอที่จะทำให้เราไม่เผลอร้องเป็นตุ๊ดแตกออกมา แล้วเค้าก็เดินจากไปอย่างสงบ...
    "ที่นี่จะมีตุ๊กแก กิ้งกือ หรือสัตว์อื่นๆ ซึ่งเค้าอยู่มาก่อนเรา เราพึ่งมาอยู่ เราแค่มาอาศัยเค้า เราอย่าไปทำร้ายเค้านะคะ ก็อาจจะมีที่เค้ามาเยี่ยมเยียนมาหาเราบ้างก็ไม่ต้องตกใจนะคะ ทำความคุ้นเคยไปนะคะ แล้วจะหายกลัวไปค่ะ"
    คือเค้าไม่ได้แค่มาเยี่ยมครับ เค้าเล่นมารอต้อนรับเราเลยครับ! อัธยาศัยดีมาก ซึ้งในน้ำใจจริงๆ นะพี่ตุ๊ก! (ความประทับใจที่สอง!)
  •      หลังจากที่เจ้าบ้านได้ต้อนรับขับสู้ผมอย่างดีแล้ว เราก็แยกย้ายไปดูส่วนอื่น ห้องน้ำก็ให้อาบรวมตามที่คาด เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องใช้ผ้าขาวม้า โถส้วมเป็นแบบนั่งราบ (ไม่ยอง ก็ยังดีนะ) โอเคพื้นปูนขัดมันแล้วก็ถัง แล้วก็ขัน...
    ที่นี่เป็นส่วนของสวนโมกข์นานาชาติ จะมีช่วงที่มีชาวต่างชาติมาปฏิบัติธรรมด้วย... ผมเริ่มเห็นใจผู้ที่ไม่เคยทำความสะอาดก้นด้วยขันเลยยย จริงๆ
    ขนาดเมื่อก่อนเราก็เคย ๆ นะแต่พอต้องกลับมากใช้แบบนี้มันก็ไม่ค่อยคุ้น ความรู้สึกจะแหยง ๆ (นี่ขี้และก้นมึงเองนะโว้ย!) แต่ขี้ก็คือขี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากจับเท่าไร เพราะธรรมดาทุกวันนี้ก็เลี่ยงห้องน้ำที่ไม่มีสายชำระอยู่ตลอด แล้วก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง!
    พอถึงเวลาบ่ายสอง เราก็ไปรวมตัวกัน เจ้าหน้าที่เค้าก็พาเข้าไปแนะนำสถานที่ต่างๆ ที่จะต้องใช้ในโซนนี้ แล้วก็เข้าไปรับเครื่องนอน แล้วก็ปล่อยอิสระให้ช่วงเวลานึงให้ได้จัดห้องนอนกัน...
    อุปกรณ์ที่ได้คือมุ้ง และผ้าห่มแบบผ้าพีทีไอ ผมจัดการกางมุ้ง ระหว่างกางก็เหลือบไปเห็นพื้นผิวที่จะนอน มีเสื่อหนึ่งผืน เสื่อโยคะบางราวๆ ครึ่งเซนต์หนึ่งผืน กับอีกสิ่งที่ผมประทับใจเป็นครั้งที่สามคือหมอนไม้... คืนนี้เราจะผ่านไปได้มั้ยนะ อ่อ และที่สำคัญ ผมเริ่มเข้าใจคอนเซปต์ของที่นี่แล้วว่ามันคือความมินิมอล มันน้อย มันมีเฉพาะสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตเท่านั้น! อะไรไม่จำเป็นตัดทิ้งให้เรียบ และแน่นอนนนน... ทีนี่ไม่มีพัดลม!
         สัญญาณระฆังดังในเวลาราวๆ สี่โมงเย็น (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) คุณวรรณกล่าวต้อนรับ และบอกว่าอีกสักครู่หลวงพ่อโพธิ์ ท่านจะมากล่าวเปิดกิจกรรมนี้ ท่านก็อธิบายถึงการเจริญอานาปานสตินี่แหละ(สารภาพว่าสติในการฟังเหลือไม่เกิน 50% เพราะง่วง) พอจบก็ให้แยกย้ายไปดื่มน้ำปานะ(โอ้วนี่เราก้าวเข้าสู่ศีลแปดไปครึ่งก้าวแล้วนะ) ซึ่งมื้อนี้เป็นโอวัลติน โอเคครับค่อยอยู่ท้องมาหน่อย
    ต่อมาเวลาหนึ่งทุ่มก็นัดรวมตัวกันอีกรอบ คุณวรรณอธิบายวิธีการใช้ชีวิต ตารางเวลา และที่สำคัญเค้าขอให้ทุกคนงดใช้นาฬิกา ถ้าเป็นไปได้ เพราะจะให้ฟังสัญญาณระฆังกัน ซึ่งผมยังไม่ได้บอก เนื่องจากที่นี่เงียบมาก เพราะฉะนั้นระฆังอันเดียวก็ดังไปทั่วพื้นที่เลย
         พอจบกิจกรรม ก็แยกย้ายไปพักผ่อนราวๆ สามทุ่มเพื่อที่จะต้องตื่นขึ้นมาในเวลา...ตีสามครึ่ง
    เข้ามาห้องนอน เปิดไฟ จัดการเตียงให้พร้อมนอน คิดสรตะ ไฟฉายต้องวางยังไง ไอ้นี่วางไว้ตรงไหนของเตียงดี
         เกร็ดความรู้: สำหรับท่านที่ยังไม่สนิทกับพี่ตุ๊กแก และพี่แมงมุม หรืออีกหลายๆ พี่ คุณวรรณแนะนำว่าอย่าเปิดไฟทิ้งไว้นานๆ เพราะแมลงจะเข้ามา พอแมลงเข้ามา แล้วพี่ๆ ก็จะเข้ามาทักเรา ก่อนที่จะได้ดินเนอร์เป็นแมลงอันโอชะ
         มันทำให้ผมนึกถึงคนสมัยก่อนที่จะสอนเรื่องการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับห้องนอนเช่นว่าอย่าเอาของกินมาไว้ในห้องนอน คือมันจริงเลยครับ เพราะที่นี่แมลงเยอะ และดูว่าจะมาเร็วซะด้วย และอีกอย่างกิจกรรมนี้ถือศีลแปด เพราะฉะนั้น ของกินในห้องนอน คือสิ่งต้องห้ามมม!
         ผมเตรียมตัวเรียบร้อย ปิดไฟ เปิดไฟฉายส่อง เปิดมุ้ง เข้ามุ้งแบบเงอะๆ เงิ่นๆ จัดท่านอน ปิดไฟฉาย....
         ตาเราบอดแล้วเหรอนี่ มันเป็นความมืดอันแสนเจ็บปวด มืดแบบชนิดที่ดูดเอาแสงสว่างไปหมด คุณจะมองอะไรไม่เห็นเลย ถึงแม้คุณจะลืมตาอยู่ก็ตาม นี่ยังไม่รวมถึงบรรยากาศชวนขนหัวลุกอื่น ๆ ทั้งหรีดหริ่งเรไร นกกลางคืน สารพัดที่จะส่งเสียง ซึ่งถ้าเป็นโลกศิวิไลซ์คุณจะไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้แน่นอน แต่ที่ดังกว่านั้นก็คือ เสียงในความคิดของตัวคุณเอง...
         อ่อ ยังไม่ได้บอก ที่นี่ปิดวาจาร้อยเปอร์เซนต์ คือห้ามพูด พูดได้กับอาสาสมัครที่เข้ามาช่วย วิทยากร และเจ้าหน้าที่เท่านั้น นอกนั้นห้ามพูดกับคนอื่นเลย ห้ามลากคนอื่นมานอนในห้องด้วยกันด้วย (ซึ่งคุณวรรณบอกว่าห้ามเพราะทำนองว่ามันอาจจะผิดศีลข้อสามในศีลแปด ผมก็แค่เดาๆ ว่าลดความเสี่ยงแหละ และที่สำคัญในความคิดของผมคือคุณมาฝึกตน ไม่ได้มีใครบังคับคุณมา ถ้าเค้าสั่งอะไรก็ต้องทำตามนั้นไป ถ้าอยู่กันสองคนแล้วมันจะได้ทบทวนจิตใจตัวเองได้อย่างไรเล่า) หัวถึงไม้ เอ้ย! หมอนนนน ก็เริ่มคิด คิดไม่หยุดเลย ที่สำคัญคือ หาเหลี่ยมมุมที่จะเข้าท่านอนแล้วมันไม่เจ็บ แต่หายังไงก็หาไม่เจอ มีสติอีกทีก็ได้ยินเสียงระฆังเสียแล้ววว
  • "พรุ่งนี้จะเป็นไงบ้างนะ"
    "ตุ๊กแกเดินไปไหนแล้วนะ"
    "ตอนนี้คนที่บ้านเค้าจะเป็นยังไงบ้างนะ"
    "ไม่สิ เราต้องสงบสิ นอนๆๆๆ"
    "โครกกกกกก!! ครากกกกกก!!"
    "โอยว่าแล้วมันต้องมา ท้องร้องเลย!"
    "เราควรจะนอนท่าไหนที่มันจะไม่เจ็บเนี่ย"
    "โอยเจ็บหัว! โอยปวดหลัง! โอยปวดไหล่!"
    "โอยเมื่อยจังเลย!"
    แป๊งงงง.... แป๊ง..... แป๊ง.....
    "อ้าวเฮ้ย! เหมือนยังไม่ได้นอนเลย!"
    "ไฟฉายอยู่ไหน!"
    "อาบน้ำดีมั้ยวะ! จะทันมั้ยวะ!"
    "แปรงฟันอย่างเดียวแล้วกัน!"
    (ทั้งหมดเป็นความคิดในใจตลอดคืนแรกที่เริ่มจะเข้าการปฏิบัติธรรมวันแรกครับ)
         สภาพในตอนนั้นคือตัวมันทั้งตัว คืนแรกร้อนมาก สงสัยร้อนเพราะไฟกิเลส ซึ่งเกิดจากความไม่คุ้นเคยในสถานที่แน่ๆ (จริงๆ เพราะไม่มีพัดลม ฮือออ) แต่เอาเถอะทำๆ ตามไป จะเจออะไรก็ต้องเจอ!
         ผมก็เดินไปที่ศาลาทรายซึ่งเป็นที่ทำกิจกรรมหลักๆ เลย ผมชอบคอนเซปต์ที่นั่นตรงที่พื้นเป็นทราย เวลานั่งก็จะมีอาสนะที่เป็นแผ่นกระสอบพลาสติกรองล่าง แล้วก็มีกระสอบป่าน (กระสอบใส่ข้าวสีน้ำตาลๆ ออริจินัล ที่มีสีเขียวคาดกลาง) ซ้อนบน แรกๆ ก็โอเค แต่พอนั่งนานๆ ท่านจะรู้ซึ้ง...
    ในตอนตีสี่กิจกรรมจะเป็นการสวดมนต์ทำวัตรเช้า ก็จะได้ยืมหนังสือสวดมนต์มาเล่มหนึ่ง แล้วท่านวิทยากรท่านก็มา เห็นแวบแรก ผมนึกถึงพระอาจารย์โยดา คือเย็นๆ สงบๆ (วิทยากรทุกท่านเป็นอะไรไม่รู้ ภาพจำเวลานั่งรอวิทยากรดำเนินมาตรงศาลาทรายคือจะไม่รู้ว่าเค้าเดินมาจากไหน แต่จะมาจากหางตาทางด้านขวา เดินเข้าซีนมาเบาๆ เหมือนช้า แต่ไม่ช้า เหมือนปลิวๆ มา ดูลอยๆ ดูสงบเหมือนลมที่พัดเอื่อยๆ มาในยามบ่าย เห็นตั้งแต่พระอาจารย์โพธิ์แล้วที่เป็นแบบนี้ คือเป็นภาพจำที่ประทับใจ!) พอมานั่งนึกๆ ว่า อ่อ ท่านที่เป็นคนสัมภาษณ์ตอนลงทะเบียนนี่เอง คือตอนนั้นเค้าถามว่ามาครั้งที่เท่าไร เราก็บอกว่ามาครั้งแรก เค้าก็บอกว่าอาจจะยังไม่ได้อะไรมากนะ แต่อยู่ให้ครบก็พอ...
    โอเคครับอยู่ให้ครบก่อนสินะ
         ท่านอาจารย์โยดา (มาทราบทีหลังว่าคือคุณเมตตา) ก็เข้ามาตรงกลางซึ่งจะมีตั่งไม้เปลือยๆ เหมือนต่อแบบง่ายๆ แต่แข็งแรง ท่านจัดแจงเอาอาสนะมาปู ขึ้นมานั่งขัดสมาธิที่บนอาสนะอย่างเรียบร้อย นั่งหลับตา หน้าไมค์หนึ่งนาที แล้วค่อยเริ่มพูด (วิทยากรทุกท่านเหมือนสอนกันมาท่านจะสงบนิ่งก่อนพูดทุกครั้ง!) วันแรกจำไม่ได้แล้วว่าเค้ากล่าวอะไรบ้าง แต่ในทุกๆ วันส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องพุทธประวัติบ้าง ท่านพุทธทาสบ้าง ท่านธรรมทาสบ้าง เรื่องราวของคุณเมตตากับท่านพุทธทาสบ้าง แล้วพอพูดไปพูดมาก็จะเริ่มเฉลยว่าอ๋อ เป็นญาติกันนี่เอง (ท่านพุทธทาสกับท่านธรรมทาสเป็นพี่น้องกัน ท่านธรรมทาสเป็นฆราวาส แต่คอยช่วยสนับสนุนท่านพุทธทาสซึ่งเป็นพี่ชาย ทำงานอยู่เบื้องหลังมาตลอด ส่วนคุณเมตตาก็เป็นบุตรของท่านธรรมทาส) แต่ก็เป็นกำลังใจดีๆ ในยามเช้านะครับ ฟังแล้วเพลินมากครับ พอเล่าเรื่องจบก็เข้าเนื้อหาทำวัตรเช้า คุณเมตตาก็จะขยายความถึงบทสวดและวิธีสวดให้ฟังซึ่งก็ทำให้ทราบว่าทำไมต้องสวดมนต์กันด้วย
         สวดมนต์ที่นี่จะต้องสวดแปลวรรคต่อวรรคด้วย ผมว่ามันก็ดีนะ เพราะทำให้รู้ว่าที่เราสวดแปลว่าอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคำสอนนี่แหละ แต่โดยปกติที่เราไม่รู้คำแปล มนต์ก็จะกลายเป็นมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอาจทำให้ผู้ฟังหรือผู้สวด ไม่ได้รับอานิสงส์ของการสวดมนต์อย่างเต็มที่ ต่อมาการกราบก็เป็นการละตัวตนอันอหังการ์ของเราลง ลดอัตตาลง ซึ่งเป็นหนทางหลักๆ ที่จะดับทุกข์เลยก็ว่าได้ ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ชอบการกราบนะครับ เพราะนอกจากจะละตัวตนได้แล้ว ยังละความเกร็งความเมื่อยจากการนั่งท่าเทพบุตรได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะวันแรกๆ นั้น ร่างกายยังไม่ค่อยยืดหยุ่น เพราะฉะนั้นการนั่งท่าเทพบุตรแค่ห้านาที ความรู้สึกก็เหมือนนั่งนานสิบห้านาทีได้
         "ทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษมันก็เหมือนกับห้านาทีที่คุณอยู่ต่อหน้าสาว กับห้านาทีที่คุณเอามือจี้กระทะอยู่นั่นแหละ"(ไม่ได้โคว้ตเค้ามาเป๊ะๆเล้ย)
         ผมนึกถึงเรื่องนี้เวลาต้องนั่งท่านี้สวด และจะเพิ่มดีกรีความโหดอีกเมื่อคุณพึ่งมารู้ว่าคุณกำลังปวดข้อนิ้วหัวแม่เท้า (โอ๊ยยยยยย) เพราะฉะนั้นเวลาคุณกราบ คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย ไร้ตัวตน คุณอยากจะอยู่ในท่าเบญจางคประดิษฐ์แบบนี้อีกสักพัก (หรือถ้าเป็นไปได้ก็อยากทำอัษฎางคประดิษฐ์เสียด้วยซ้ำไป...แต่ไม่ลุกขึ้นมาอีกเลยหลังจากผ่านไปสักครึ่งชม.นะ ใครอยากรู้ว่าท่าเป็นยังไงไปที่กูเกิลได้เลย) คือการสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณนี่มันเบสิคมาก ต้องเจอแบบพุทธาภิคีติ ธรรมาภิคีติ สังฆาภิคีติ แล้วก็บวกแปลเข้าไปอีกล่ะแม่คู้ณณณณ คือเกิดโทสะขึ้นเบาๆ ตั้งแต่คำกล่าวนำแล้ว (จะเป็นคำกล่าวของคนนำที่มักจะขึ้นต้นด้วย หันทา มะยัง...(ชื่อบทสวด)... กะโรมะเส ซึ่งก็หมายความว่าทำนองว่ามาสวดบทนี้กันเถอะ มันก็จะเพิ่มเวลาเมื่อยเข้าไปอีก) เลยทำให้เข้าใจว่าโอเคมันคือการฝึกตนอย่างหนึ่งเลย ที่เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้
         แต่ก็โอเคว่าเช้านี้เค้าให้สวดแบบซอฟต์ๆ ไปก่อน สั้นๆ นโมตัสสะ กับ อะระหังสัมมา ไปก่อน ก็ง่วงเบาๆ ปวดๆ ตึงๆ กันไป
         กิจกรรมถัดมา เป็นการออกกำลังกาย ฉันโซ่วชี่กง คือแบบเฮ้ย! ชอบมากกก! ได้แอคชั่นกันเสียที คอนเซปต์ของชี่กงชนิดนี้คือการตบตีเส้นเอ็น คือตบแบบดังนะ ดัง เพียะ! เพียะ! ลั่นไปทั่วพื้นที่ แต่ท่าที่ชอบที่สุดคือท่าสั่นทั้งตัว (ท่านลองกางแขนแล้วเขย่าทั้งตัว คล้ายๆ เป็นพาร์กินสัน แต่อันนี้แรงกว่าแล้ววาดมือขึ้นเหนือศีรษะ แล้ววาดลงมา แล้วแกว่งแขน แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดคือต้องเขย่าตัวตลอด! เวลาทำท่านี้ให้หลับตา ไม่งั้นท่านจะขำแบบชนิดที่เรียกว่าเรียกสติกลับมาไม่ได้...ผมเคยเกือบปล่อยก๊ากออกมาแล้ว แต่เนื่องจากเกรงว่าจะฮากันทั้งโรง เลยต้องหลับตาแล้วข่มไว้)
         พอออกกำลังเสร็จ คุณเมตตาก็จะมาพูดอะไรให้ฟังอีก เป็นคำสอนของท่าพุทธทาสบ้าง ท่านธรรมทาสบ้าง เสร็จแล้วก็ถึงเวลาอาหารเช้ากันละทีนี้! (รอมานานล่ะสิ!)
         อาหารเช้าที่นี่เสริฟแบบต่อแถว ตักแบบบุฟเฟ่ต์ ตอนเช้านี้เป็น...ข้าวต้ม มันเป็นอะไรในแบบที่... นี่เม็ดอะไรอะ ข้าวอะไรไม่เห็นรู้จัก แล้วเหมือนจะไม่เห็นข้าวขาวเลย มีข้าวโพดด้วย ดูท่าจะสารอาหารเยอะเลย ถัดมาเป็นผักสด ซึ่งก็มีผักเบๆ (เบสิคๆ) แบบพวกผักบุ้ง ผักกาดขาว ก็มี แล้วก็เฮ้ยนี่มันต้นอะไรอีกสองสามชนิด แต่วัชรพงศ์ (ผมเอง) ก็หยิบหมดล่ะฮะ เพราะชอบลองอยู่แล้ว แล้วก็จะมีขนมด้วย ถ้าจำไม่ผิดเช้าแรกจะเป็นพวกเต้าส่วนอะไรทำนองนี้ พอตักมาก็มานั่ง แล้วก็ไปหยิบบทสวดปัจจเวกมา คุณเมตตาก็มากล่าวให้ปลงเกี่ยวกับอาหารก่อนที่จะปัจจเวก แล้วเราก็สวดกันซึ่งใจความก็ทำนองว่ากินๆ ไป อย่าเพลิน กินแค่ให้ไม่เกิดเวทนาทางกาย กินให้เอาชีวิตรอดเฉยๆ ไม่ได้เป็นไปเพื่อประดับตกแต่งทั้งสิ้น บลาๆๆๆ ซึ่งพอสวดจบ ตักเข้าปากคำแรก วัชรพงศ์ลืมเนื้อความในการปัจจเวกหมดทุกอย่างแล้วรีแอกชั่นแบบการ์ตูนทำอาหารก็มา...
    ว้าาาาาาาาาาาาก! (แสงทองส่องออกมาทางปาก) นี่มัน! นี่มันข้าวอะไรกัน! มันเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวของเหล่าธัญญพืชตัวเล็กๆ น่ารักป้อมสั้นเหล่านี้ ดูสีสันมันสิ! มันเหมือนจะมอบคุณค่าทางอาหารที่มันมีทั้งหมดส่งไปเป็นพลังงานให้ร่างกายได้มีพลัง! เปิดการรับรู้ทางอายตนะทั้งหก! ผักนี่มันช่างหอมมม! เหมือนอยู่ท่ามกลางทุ่งสมุนไพรแล้วเราก็ไปกระโดดหลั่นล้าอยู่ แล้วพอหันไปอีกทางก็ไปเจอกับผักอีกก้านหนึ่ง ทำไมมันสงบแต่สมูธแบบนี้! รู้สึกได้ถึงการลื่นไหลของมัน เหมือนกับมันจะช่วยส่งเอาอาหารเข้าไปในร่างกายได้อย่างสมบูณ์แบบบบบบ!
    แกรกๆ ซูดๆ แผลบๆ หมดชาม
    วัชรพงศ์ตื่นจากภวังค์...
    แล้วที่สวดปัจจเวกไปเพื่อ!!!
    พอตื่นจากภวังค์แล้วก็มานั่งนึกว่านี่ผ่านไป...
    เฮ่ย! คืนเดียว! นึกว่าผ่านไปแล้วสามวัน!
    แล้วเราจะพ้นเจ็ดวันนี้ไปได้มั้ย!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Watch Take (@WatchTake)
อาจจะเกี่ยวกับการตั้งสติก็เป็นได้ครับ 555 ขอบคุณสำหรับคำชมครับ คือจริงๆ มีที่จำได้ไม่หมด หรือจำผิดๆ ถูกๆ เหมือนกันครับ แต่ใช้การดูตารางการปฏิบัติของที่นั่นช่วยครับ
Noi Beleza (@fb2093822714042)
น้องเขียนได้ละเอียดยิบ จำได้ทุกขั้นตอน ความจำดีเยี่ยมเลยค่ะ so amasing ?
Watch Take (@WatchTake)
ครับ กำลังพยายามอยู่ครับ!
eleekung (@eleekung)
วัชรพงษ์..ไปเป็นนักเขียนเถอะ ชอบสำนวนนิกเขียนมากอ่ะ จริงๆนะ ??