เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
day after dayauburn
รถไฟรอบเจ็ดโมงเช้าวันเสาร์
  •      ในสมัยเด็กการได้นั่งรถไฟเป็นอะไรที่พิเศษมาก ด้วยความที่ทางกลับบ้านต้องผ่านรางรถไฟทุกวัน ผ่านสถานีที่สามารถซื้อตั๋วและออกเดินทางได้ในทุกเช้าจรดเย็น แต่กลับไม่เคยได้ใช้บริการเลยสักครั้ง
    วันหยุดในเช้าตอนสิบสองปีจึงเด่นชัดในความทรงจำ
    มันเป็นเช้าธรรมดาที่ขับรถผ่านรางรถไฟเหมือนเคย วันหยุดที่แม่เกิดอยากไปซื้อของที่ตลาดโรงเกลือ และแน่นอน แม่เกิดความคิดดี ๆ ขึ้นระหว่างทาง
         แม่บอกว่าลองนั่งรถไฟกันดูดีมั้ย เดี๋ยวจะให้พ่อไปรอพวกเราที่สถานีปลายทาง เราสามแม่ลูกก็นั่งรถไฟไป เรายังไม่เคยนั่งกันไม่ใช่เหรอ ตัวเราเองก็เออออตามน้ำไป
         ไม่หรอก สุดท้ายมันไม่ได้เกิดขึ้น แต่มันพิเศษเพราะมันชัดเจนในความทรงจำ


         อีกครั้งตอนสิบห้าปี มัธยมปีที่สี่
         มันเป็นช่วงวุ่นวายของชีวิตจากการต้องย้ายโรงเรียนมาอีกจังหวัดหนึ่ง แน่นอนว่ามันไกลบ้านเป็นร้อยกิโล ความจำเป็นที่ต้องมาอยู่ห้องเช่าคนเดียวจึงเกิดขึ้น และความธรรมดาของนักเรียนหัวกลาง ๆ การเรียนกวดวิชาจึงกลายเป็นเรื่องปกติ ส่วนรถไฟคือความสะดวกสบายและประหยัดที่สุดในวิธีเดินทางไปเรียน
         ครั้งแรกพ่อกับแม่นั่งไปด้วยกัน เขาเป็นห่วง เลยอยากให้ครั้งแรกของเรามีเขาไปเป็นเพื่อน
    มันเกือบสาย อาจจะเรียกว่าสายได้ไม่เต็มปากนัก เพราะตามตารางรถไฟจะออกขบวนเวลาเจ็ดโมงสิบห้าและพวกเราก็มาถึงตอนเจ็ดโมง แต่มันสายเกินไปที่จะหาที่นั่ง
         สุดท้ายเลยได้ที่นั่งเป็นเบาะไม้โยกเยก มันชำรุดด้านฝั่งติดหน้าต่าง พอนั่งแล้วไม้จะกระดกขึ้นมาอีกฝั่ง แต่ในความทรงจำวันนั้นไม่มีอะไรแย่เลย มันกลับดีด้วยซ้ำที่คนบนรถไฟทั้งขบวนตัดสินใจที่จะไม่นั่งไม้โยกเยกอันนั้นเลยทำให้พ่อแม่ของเราได้นั่งมันแทน
         ซึ่งเอาเข้าจริงพอได้นั่งสองคนแล้ว ก็ไม่มีไม้ฝั่งไหนกระดกขึ้นมาเลย


         และอีกเป็นร้อยครั้งในเช้าวันเสาร์รอบเจ็ดโมงกับสามปีที่เหลือ
         มันไม่ชัดเจนว่าเป็นวันไหน จำได้แค่ว่าตอนนั้นยังอยู่มอสี่และใหม่เกินที่จะหาเพื่อนนั่งรถไฟไปด้วยกัน
         ธรรมดาที่รถไฟฟรีต้องมีคนอัดแน่นทุกรอบ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ใช้บริการได้ ครั้งหนึ่งตอนขบวนหยุดที่ท่าเล็ก ๆ กลางทุ่งนาสีเขียว ชายที่นุ่งแค่กางเกงสีขาวมอมแมมร้องเพลงเต้นรำและฉีกยิ้มให้ทุกคนที่พบเจอก็ยังสามารถใช้บริการรถไฟได้ แรก ๆ เราก็ฉงนใจ พอนานวันเข้าเราก็ยิ้มตอนที่เขายื่นข้าวให้คนข้าง ๆ แล้วถามว่ากินด้วยกันมั้ย
         แต่ครั้งที่จำได้ชัดที่สุดคงไม่พ้นครั้งที่มีหมัดเฉียดปลายจมูก
         ได้ยินเพียงแค่ว่าเขาทะเลาะกันเพราะคนข้างหน้าเราไม่ยอมลุกให้ผู้หญิงคนหนึ่งนั่ง และคนข้างหลังเราก็หงุดหงิดที่อีกฝั่งทำหน้าตาไม่ดีใส่จนความหงุดหงิดกลายเป็นความโมโหแล้วจบลงที่การใช้กำลังขณะที่เรายืนอยู่ตรงกลางระหว่างเขาทั้งสองคน
         เรายืนอยู่เฉย ๆ ทำอะไรไม่ถูกด้วยซ้ำ คิดอะไรก็ไม่ออก ตอนนี้ก็ยังนึกอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงนิ่งแบบนั้น ไม่หลบซ้ายไม่เอียงขวาไม่ขอความช่วยเหลือหรือร้องขอตะโกนคำใด ๆ ยืนเป็นตัวกลางอยู่ตรงนั้นท่ามกลางสถานการณ์ไม่สู้ดี ใจหนึ่งก็คิดว่าตกใจ อีกใจก็เหมือนไม่ได้คิดอะไรเลย
         โชคยังดี มีมือข้างหลังถัดไปที่นั่งอยู่บนเบาะดึงให้ออกห่าง พาไปนั่งเบาะข้างที่ว่าง เราเลยรู้สึกตัวว่านี่มันสถานการณ์ไม่ดีแล้วนะ และก็เริ่มรู้สึกกลัว
         มันจบลงที่มีพลเมืองมาจับแยก พากันเจรจาให้เงียบกันโดยต่างคนต่างอยู่
    แล้ววันเสาร์วันนั้นก็หมดลงไปในตอนที่เรากลับมาถึงห้องพัก ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครฟัง มันผ่านไป แต่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเรา
         พอเช้าวันเสาร์ต่อมาเราก็ขึ้นรถไฟรอบเจ็ดโมงเช้าสิบห้านาทีอีกครั้ง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in