ย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 เราได้ฟังเพลง
Treat Me Like Fire ของคู่หูอิเล็กทรอนิก/โซล/ป๊อป/ฟังก์
Lion Babe เป็นครั้งแรก แล้วก็เกิดอาการตื่นเต้นเหมือนได้เจอเพื่อนใหม่ เพราะเสียงอันทรงพลังของ
Jillian Hervey เข้ากันดีกับดนตรีสนุก ๆ ของ
Lucas Goodman เมื่อฟังจบแล้วต้องลุกขึ้นปรบมือรัว ๆ ด้วยความตื้นตันใจ
ด้วยความรู้สึกที่เหมือนได้เจอเพื่อนใหม่ เราจึงอยากทำความรู้จักกับ Lion Babe ให้มากขึ้น จึงได้รู้ว่าอันที่จริงทั้งคู่นั้นต่างเติบโตมาในเส้นทางสายดนตรีตั้งแต่แรกแล้ว โดย Jillian คือลูกสาวของ Vanessa Williams เจ้าของเพลงดัง Save The Best For Last ส่วน Lucas นั้นพ่อกับแม่ของเขาก็มีดนตรีในหัวใจอย่างท่วมท้นเหมือนเรา ๆ ที่ชอบฟังเพลงและไปคอนเสิร์ตนั่นล่ะ
จิลเลียนได้ฟังเพลงที่ลูคัสโปรดิวซ์ครั้งแรกภายใต้ชื่อ
Astro Raw ที่งานปาร์ตี้หนึ่ง แล้วเกิดอยากทำความรู้จัก จึงเดินเข้าไปทักทายพร้อมแนะนำตัวและบอกว่าชอบเพลงของเขามาก เขาเอ่ยขอบคุณ และหลังจากจบปาร์ตี้ก็ไม่ได้เจอกันอีก กระทั่งไม่กี่ปีต่อมาทั้งคู่ก็โคจรมาพบกันอีกครั้งที่นิวยอร์กเพราะดันมีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ขณะนั้นจิลเลียนกำลังทำโปรเจ็กต์หนึ่งที่ต้องแต่งเพลงขึ้นมาใหม่ จึงขอให้ลูคัสช่วย หลังจากจบโปรเจ็กต์ ทั้งคู่ก็คุยกันว่าอยากทำเพลงแบบจริง ๆ จัง ๆ โดยจิลเลียนได้เปลี่ยนบทบาทจากแดนซ์เซอร์มาเป็นนักร้อง ซึ่งไม่นานก็ออกเพลง
Treat Me Like Fire (2012) และทั้งคู่ก็เริ่มเดินทางสายดนตรีอย่างเต็มตัว
ชื่อ Lion Babe มาจากทริปที่จิลเลียนไปแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นทริปที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้กลับไปยังจุดที่โลกเริ่มต้นขึ้น สิ่งมีชีวิตดูสวยงามท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่แห้งแล้ง นอกจากช้างแล้วก็มีสิงโตที่เธอนึกถึง และกลายเป็นว่าสิงโตยังเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความอดทน ประกอบกับทั้งคู่ราศีสิงโต ดังนั้นจึงคิดต่อว่าตรงข้ามกับความแข็งแกร่ง (lion) ก็น่าจะเป็นความอ่อนแอ (babe) ซึ่งรวมกันเมื่อรวมกันแล้วก็คือตัวตนที่แท้จริงของพวกเขานั่นเอง
การทำเพลงของ Lion Babe เริ่มจากเวลาว่าง ๆ ลูคัสมักจะทำดนตรีจังหวะใหม่ ๆ เสมอ และมานั่งเลือกกับจิลเลียนว่าแทร็กไหนที่ทั้งสองชอบ จากนั้นจึงให้เธอร้องฟรีสไตล์คลอไปกับดนตรีแล้วอัดไว้เผื่อจะได้ไอเดียอะไรใหม่ ๆ ซึ่งเวลาแต่งเพลงจิลเลียนชอบให้แต่ละเพลงมีเรื่องราวของตัวเอง มี choruses ที่ติดหูและท่อน verses ต้องไม่ซ้ำกัน เหมือนนิยายที่ตอนที่ 1 จะไม่เหมือนตอนที่ 2 แต่โดยรวมแล้วมันคือเรื่องเดียวกัน
ปี 2014 พวกเขากลับมาอีกครั้งกับอีพีแรก
Lion Babe มีทั้งหมด 5 เพลงซึ่งเราแนะนำเพลง
Jump Hi feat. Childish Gambino ซึ่งท่อนฮุค
"jump so high" ได้มาจากเพลง
Mr. Bojangles ของ
Nina Simones ที่ทริบิวต์ให้กับ
Bill Robinson แท๊ปแดนซ์เซอร์ในตำนาน เพลง
Jungle Lady เพลงช้า ๆ เสนาะหู และเพลง
Little Dreamer ส่วนตัวเราชอบเพลงนี้ พูดตามตรงว่าเราชอบเสียงจิลเลียนมาก ทำให้ไม่ว่าจะร้องกับจังหวะไหนเราก็ชอบทั้งนั้น
ปี 2015
Lion Babe ได้ฟีตให้กับวงอิเล็กทรอนิก
Disclosure ในเพลง
Hourglass ซึ่งดนตรีซาบซ่าและแซ่บกว่าเดิมเมื่อคนที่เต้นในเอ็มวีคือจิลเลียนนั่นเอง (อันที่จริงแล้วจิลเลียนเรียนจบการเต้นที่มหาวิทยาลัย
The New School มหาวิทยาลัยศิลปะในนิวยอร์ก)
ปี 2016
Lion Babe ปล่อยอีพี
Sun Joint มีทั้งหมด 5 เพลง (รวมรีมิกซ์เพลงจากอีพีก่อน) ซึ่งเราชอบเพลง
Endless Summer มีซาวนด์คลื่นกระทบฝั่งกับเสียงนกประกอบ ฟีลจิบน้ำสับปะรดและอาบแดดอยู่ชายหาดมาก
และในที่สุดปี 2016 Lion Babe ก็ได้ปล่อยเดบิวต์อัลบั้ม Begin ซึ่งมีทั้งหมด 14 เพลง (รวมเพลงจากอีพีก่อน ๆ เข้าไปด้วย)
เราจะไม่เขียนหมดทั้ง 14 เพลงนะคะ แต่จะแนะนำที่เราชอบฟังให้ ได้แก่
Where Do We Go ชอบเพลงนี้มาก จังหวะดิสโก้ทำให้รู้สึกเซ็กซี่หน่อย ๆ ประกอบกับเนื้อเพลงอ้อน ๆ
Cause a love like mine can't shine just fine without you baby ต่อมาเพลง
Impossible เพลงนี้จังหวะสนุก ฟังแล้วอารมณ์ประมาณธีมหนังเชียร์ลีดเดอร์เลย มาต่อกันที่เพลง
Wonder Woman ซึ่งเราว่าเพลงนี้แตกต่างจากเพลงก่อน ๆ ตรงนี้ซาวด์มันแปลกและเฉพาะตัวกว่า กลิ่นโซลจัดจ้าน เสียงจิลเลียนคลาสสิกมาก เราว่าเนื้อเสียงแบบนี้ร้องเพลงแนวไหนก็เพราะ เราโคตรชอบ และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือเพลง
Got Body เราชอบเพลงนี้มากที่สุดในอัลบั้ม เพลงโคตรชิค อารมณ์มันแบบนิวยอร์กเกอร์ตามเอ็มวีเลย
ล่าสุด
Lion Babe ปล่อยซิงเกิลใหม่
Hit The Ceiling ซึ่งเพลงเก๋อีกแล้ว ชอบ เราคิดว่าคู่หูคู่นี้ทำเพลงไม่คล้ายกันเกินไปจนแยกไม่ออก แต่ละเพลงมีเอกลักษณ์และวิธีการร้องแตกต่างกัน
เดี๋ยวนี้มีนักร้อง/วงดนตรีใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งเราก็ไม่ได้ฟังทุกคน/ทุกวง และเราไปเจอ Lion Babe โดยบังเอิญแล้วรู้สึกชอบจึงอยากแบ่งปันเท่านั้น หวังว่าการเขียนครั้งนี้จะช่วยเป็นไกด์ให้ผู้อ่านได้ฟังเพลงหลากหลายขึ้นนะคะ ไว้เจอกันใหม่จ้ะ ^_^
Sources:
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in