เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Red Carnation #ปราบเอิร์ธFalseSurtr
Halloween Day

  • พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาล


    วันที่สามสิบเอ็ดตุลาคม วันปล่อยผี


    เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าการเรียนจะถูกยกเว้นไป และเพื่อจัดเตรียมสำหรับการเฉลิมฉลองของเหล่า(คนที่แต่งเป็น)ภูติผีปีศาจ วันนี้ในช่วงบ่ายนักเรียนมอปลายถูกเกณฑ์ตัวไปช่วยแบกหามของตกแต่ง


    ซึ่งผมและข้าวสวยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


    “สกิลไม่ตกเลยนะมึง”


    เสียงของหลิวทักขึ้น ขณะที่ผมกำลังหมกมุ่นอยู่กับการตัดกระดาษแข็งตามเส้นร่างรูปค้างคาวยักษ์วาดมือ 


    ผมเหลียวไปมอง พบว่าเป็นร่างของหลิวกำลังยืนค้ำหัวอยู่อย่างที่คาด


    “ก็เพราะถูกมึงดึงตัวมาช่วยงานตลอดนั่นแหละ แม่ง” ผมโวยแต่มือก็ไม่หยุดขยับกรรไกร


    แต่แบบนี้ก็ดี พักเรียนบ้างจะได้ไม่เครียด


    หลิวเป็นเพื่อนร่วมห้องกับผมตอนมัธยมต้น พอขึ้นปอปลายแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป ปัจจุบันหลิวเรียนอยู่ห้องมอห้าทับเจ็ด เป็นห้องธรรมดาที่ไม่ได้เรียนเด่นด้านใดเป็นพิเศษ ผมรู้มาตั้งแต่ก่อนว่ามันชอบออกไปทางภาษา แต่เหมือนว่าจะประนีประนอมพ่อแม่ไม่สำเร็จ ถึงอย่างนั้นหลิวมันก็หาได้ซีเรียส เดินตามทางสายที่พ่อแม่ทอดมาให้ มันว่ามันโอเคหมด เอาที่ท่านสบายใจ ขอแค่ให้ได้ร่วมกิจกรรมอย่างที่ชอบบ้างก็เป็นพอ


    ซึ่งก็สมใจไอ้หลิวมัน กิจกรรมไหนจัด ที่นั่นมีหลิวเป็นหนึ่งในกลุ่มแกนนำหมด ตั้งแต่กระบวนการหลังม่านยันหน้าม่าน จัดแจงสถานที่, แบกหาม, ช่วยดูแลเรื่องงบประมาณ, บริการ, กระทั่งพิธีกร มันทำมาหมดแล้ว


    ‘กูก็ต้องทำให้ครบฝ่ายดิ หว่านเสน่ห์ให้เท่าๆ กัน กูรักแฟนคลับ’


    มันไม่ใช่คนมีชื่อเสียงหรือบ้านมีหน้ามีตาในสังคมอะไรเท่าไหร่หรอก แฟนคลับที่ว่าก็แฟนคลับมโน ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นคนหน้าตาดีสำหรับกลุ่มคนไทยรสนิยมเชื้อสายตี๋ 


    ขาวๆ ตาตี่ ไอ้หลิว-หลิวหลิ่วตา

    นั่นละฉายามัน 


    “เชี่ย..ย” 


    หลิวมองไปอีกทาง ลากเสียงเชิงว่าอุทาน ผมรีบหันตาม ที่ปลายสายตาปรากฎเป็นร่างของข้าวสวยนั่นเอง เธอเดินยกกล่องกระดาษเปล่ามาทางจุดที่ผมนั่งและไอ้หลิวยืนอยู่ กล่องในมือเธอเป็นกล่องสำหรับใส่เศษกระดาษที่ผมตัดนี่แหละ


    “น่ารักสัส ใครวะ” หลิวย่อตัวลงกระซิบ 


    นั่นทำให้ผมเห็นร่างของคนคุ้นเคยอีกคนหนึ่งไกลๆ จากโต๊ะ เป็นปราบที่กำลังวุ่นวายอยู่กับงานใช้ส่วนสูง ผมมองแวบเดียวเห็นแค่เขาต่อเก้าอี้เพื่อติดเชปเชือกใยแมงมุม


    ผมกลับมาหน่ายกับคำถามของหลิว “ข้าวสวย, เพื่อนกู-” 


    “และเขาไม่ชอบคนทรามๆ อย่างมึง” นายทักธายปรากฎตัวที่ข้างหลังหลิว เรียกเอาความสนใจและความงุนงงให้แก่ข้าวสวยที่เพิ่งเดินมาถึงพอดิบพอดี 


    ผมหันมาสนใจกับงานตัดกระดาษในมือต่อเมื่อเริ่มรู้สึกวุ่น หัวเราะใส่บทพูดของธาย คนร่วมวงใหม่ที่ช่วยตัดไฟแต่ต้นลม ข้าวสวยนั่งลงข้างๆ ทำหน้าเลิกลั่กใส่ผมเพราะรู้สึกเอะใจกับบทสนทนาของคนที่เธอแปลกหน้าสองคน 


    “กูหาตั้งนาน ออกมาแรดแถวนี้นี่เอง ไป กลับไปทำงานได้แล้วคุณหัวหน้ากิจกรรม” หลิวยังไม่ทันได้มีเวลาเถียงหรือกล่าวอะไร ธายก็พูดต่อเสียยาว


    ขณะที่หลิวทำหน้าเซ็งแต่ไม่วายส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้ข้าวสวย ผมกระซิบบอกเธอว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ 


    พูดถึงความกะล่อนของหลิว เมื่อก่อนต้องให้ผมเอ็ดเป็นประจำ 


    แต่ถึงตอนนี้ไม่มีผม มันก็อยู่ได้แหละ


    “เออไอ้สั- รู้แล้ว กูยอมถอยก็ได้วะ”


    ก็แหม หนีไปมีเพื่อนใหม่นี่นา แถมเป็นเพื่อนดีเสียด้วย รู้อย่างนั้นผมก็อดห่วงมันแล้ว


    เอาเวลามาห่วงเรื่องตัวเองดีกว่าเนี่ย.


    อาจเป็นเพราะเห็นท่าไม่ค่อยดี หลิวจึงยอมให้ธายเพื่อนซี๊คนปัจจุบันของมันลากตัวเองกลับไปทำงาน 


    “เจอกันมึง” ธายบอกเป็นประโยคส่งท้าย


    ทันทีที่ทั้งสองหนุ่มออกไปจนพ้นระยะอันตราย ข้าวสวยที่ทำทีเป็นเงียบงุดอุดอยู่กับงานเมื่อครู่ก็เอ่ยขึ้นมา


    “เมื่อกี๊มีอะไรกันเหรอเอิร์ธ”


    “หลิวกับธาย คุยทักกันเฉยๆ ไอ้หลิวมันกะล่อน ไม่ต้องใส่ใจหรอก” ผมว่า ไม่ยี่หระที่จะใส่ไฟไอ้หลิว


    ข้าวสวยตอบโอเคแบบน้ำเสียงยังไม่ค่อยกระจ่าง ถึงอย่างนั้นเธอก็เลือกที่จะสนใจงานตรงหน้า โดยการหยิบรูปค้างคาวที่ผมวาดอีกแผ่นมาช่วยตัดบ้าง


  • วันที่สามสิบเอ็ดตุลาคมมาถึงแล้ว

    ใยแมงมุมจากศิลปะตัดกระดาษ, ฟักทองแกะบ้างจริงบ้างกำมะลอ, ค้างคาวจากกระดาษลังและสีโปสเตอร์, โครงกระดูกจากห้องเรียนหมวดวิทยาศาสตร์, ใบหน้าของซอมบี้จากศิลปะเปเปอร์มาเช่, ภาพวาดอันน่าสยดสยองเข้าบรรยากาศ


    ทุกสิ่งนี้ล้วนมาจากการช่วยเหลือคนละไม้คนละมือของฝ่ายจัดสถานที่ทุกคน


    ผมยืนอยู่ที่นี่ ตอนเวลาหกโมงเช้านาทีที่สี่สิบ กำลังตรวจตราชื่นชมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนนักเรียนคนอื่นๆ จะมา 


    ผมยังไม่ได้แต่งตัวให้ตรงตามธีมเทศกาลอย่างที่ควรจะเป็น คิดว่าถ้ารีบแต่งอาจแป๊ก ของอย่างนี้ค่อยรอแต่งตอนเย็นทีเดียวดีกว่า 


    ช่วงเช้าเปิดเป็นฟรีไทม์ นักเรียนจะทำอะไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เก็บตัวรอแต่งชุดในห้องเรียนกัน จำได้ว่าปีก่อนมีเริ่มออกมาเดินเฉิดฉายตอนเที่ยงช่วงบ่ายถึงเย็น รอรวมหัวเพื่อดูกิจกรรมโชว์ทักษะความสามารถด้านการแสดงออกที่มีมากหลากหลาย ตามด้วยเข้าร่วมปาร์ตีผีฉลองสุดเหวี่ยงปิดท้าย


    คอนเสิร์ตขนาดย่อมของนักดนตรีประจำโรงเรียน ความทรงจำล่าสุดเกี่ยวกับพวกเขา(ที่ผมไม่รู้จักชื่อ)คือมีมือกลองที่ตีจังหวะได้โคตรมันส์ และนักร้องนำที่กระโดดลงท่ามกลางผู้คนแต่ไม่มีคนคอยรับ ก็เจ็บตัวและมีเพลงชะงักกันไป


    น่าสงสารอยู่ ไม่รู้คราวนี้เขาจะทำอีกไหม หรือว่าจะหวาดไปแล้ว


    นอกจากนี้พอจบสิ้นการการแสดงทั้งมวล ก็จะมีการประกาศรางวัลที่เปิดให้เข้าร่วมของกิจกรรมก่อนหน้า รวมถึงประกาศรางวัลของการแสดงโชว์ แต่คนโฟกัสกันที่รางวัลแต่งตัวยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ
     

    นั่นเพราะว่ารางวัลสำหรับใครก็ตามที่แต่งตัวได้ถูกใจกรรมการปริศนาได้มากที่สุด ไม่ใช่ของราคาถูก ปีก่อนมีคนได้สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดในปีนั้น ส่วนปีก่อนๆ ก็ได้บัตรเสวนากับไอดอลแปดนาที


    ลุ้นทั้งรางวัล ลุ้นทั้งว่าใครคือกรรมการ


    ไฮต์ไลท์มันอยู่ที่ตรงนี้แหละ


    ทุนรางวัลมีค่าบัตรเข้างานภาคบ่ายเป็นส่วนประกอบ บัตรใบนี้ทุกคนต้องได้จ่าย ราคาไม่เกินเอื้อม อยู่ที่ประมาณแปดสิบบาท เทียบกับรางวัลที่ตนเองอาจได้แล้ว อย่างไรใครก็ว่าคุ้ม


    เกริ่นไว้เหมือนจะอวยและสนใจอยากได้ แต่อันที่จริงผมไม่ได้อินขนาดนั้น


    ผมมองของแบบนี้เป็นเหมือนสิ่งติดสอยห้อยตามมากกว่า


    จุดประสงค์คือแค่อยากจะผ่อนคลาย มาหาเพื่อนๆ รอดูโชว์น่าตื่นตา เพลงที่จะได้ฟังแล้วโยกหัว และมาให้กำลังใจหลิวที่เป็นพิธีกร 


    รวมถึง..


    รอดูใครบางคนเฉิดฉาย


    ( เนื้อเรื่องตอนนี้ถูกเขียนไว้เมื่อสิบพฤศจิกายนพุทธศักราชสองพันห้าร้อยหกสิบเอ็ด )

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in