เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Flufftober 2017ZYRUS
Day 24 - Promise
  • ***Note : Previously  Chapters

    Moving on and Smile


    Sakurai Sho/Matsumoto  Jun


    0.



    ฝนที่ตกลงมาหนักต่อเนื่องจนการจราจรเป็นอัมพาตชั่วคราว ไม่ได้ทำให้ซากุไร โชที่นั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัยรู้สึกหม่นหมองตามสีท้องฟ้าในยามนี้ ชายหนุ่มนั่งเอนหลังพิงพนัก เคาะนิ้วกับขอบหน้าต่างรถตามจังหวะเพลงเปิดจากซีดีอย่างสบายอารมณ์


    วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เขาควรจะนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นที่แมนชั่น เพลิดเพลินกับภาพยนตร์ฉายทางเคเบิลทีวี แต่ภาระงานในฐานะวิทยากรซึ่งทางมหาวิทยาลัยจากจังหวัดชิบะเชิญไปบรรยายพิเศษ ยังผลให้ต้องสละวันหยุดสุดสัปดาห์มาปฏิบัติหน้าที่


    กระนั้นโชก็คิดว่ามันไม่ได้เลวร้ายนัก เพราะการทำงานช่วยให้รู้สึกว่าวันจันทร์มาถึงเร็วกว่าความเป็นจริง


    ฟังดูแปลก...ใครต่อใครต่างเกลียดชังวันจันทร์ ด้วยมันเป็นวันที่ต้องกลับไปทำหน้าที่ของตน กิจวัตรแสนน่าเบื่อแต่ต้องกล้ำกลืนให้มันดำเนินไปโดยมีคำว่าความรับผิดชอบเป็นเหตุผลสำคัญ


    หากเขากลับถวิลหาวันนี้เหลือเกิน ซึ่งสาเหตุมีเพียงหนึ่งเดียว คือได้ขับรถแวะอพาร์ทเมนต์ระหว่างทางจอดรับคนๆหนึ่งไปทำงานด้วยกัน


    นึกถึงรอยยิ้มสดใสที่เริ่มกลับมาบนใบหน้าหวานชวนมองนั้น กับเสียงนาสิกเป็นเอกลักษณ์ทักอรุณสวัสดิ์ก็รู้สึกได้ว่าตนกำลังยกมุมปากขึ้นน้อยๆ


    แม้จะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับมัตสึโมโตะ จุนในตอนนี้ควรนิยามด้วยคำใด แต่โชก็พอใจและมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้


    สำหรับคนที่ทำได้เพียงมองมาหลายปี เท่านี้นับว่าเกินความคาดหวังมากทีเดียว


    ยิ่งได้เห็นว่าการตัดสินใจรวบรวมความกล้าเข้าไปคอยดูแล เห็นหนุ่มน้อยของตนอาการดีขึ้นเรื่อยๆด้วยแล้ว


    เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มอมยิ้มกับตนเองเมื่อนึกถึงคนที่เขาเฝ้าทะนุถนอม ซึ่งในช่วงหลายเดือนมานี้เริ่มสนทนากับเพื่อนร่วมงานได้เกือบเป็นปกติ อย่างน้อยก็ไม่สั่น เกร็ง หรือแสดงอาการหวาดกลัวเวลาเข้าประชุม ถึงจะยังต้องพึ่งพาหน้ากากอนามัยเวลาอยู่ท่ามกลางฝูงชนพลุกพล่านในที่สาธารณะ แต่โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าอยู่ในขั้นพึงพอใจ


    ‘เขาได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงจากถูกคนที่เขารักทำร้าย วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ความรักเยียวยาเขาครับ’ นักจิตบำบัดบอกในวันที่นัดโชเข้าไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวเมื่อตอนจุนเริ่มเข้ารับการรักษาได้สองสามครั้ง ความจริงแล้วเขาอยากให้ชุนกับโทมะไปพบมากกว่า เพราะทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทคนไข้มาตั้งแต่ประถม รวมถึงรู้เรื่องราวทั้งหมดดีกว่าใคร ทว่าสองคนนั้นส่ายหน้า ปฏิเสธแข็งขันก่อนโทมะจะอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่เหลือเค้าขี้เล่นอย่างเคย


    ‘ผมคิดว่าถ้าจุนถูกหมอนั่นที่เป็นคนรักทำร้าย คนที่จะช่วยเขาได้คือคนที่จะเข้ามายืนอยู่ในฐานะนั้น อีกอย่างคือผมกับชุนก็คอยประคบประหงมเขามาเป็นเดือน อาการแทบไม่ดีขึ้น กว่าจะยอมให้เข้าใกล้ ยอมกินข้าวก็ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ผมสองคนมองเขาตอนหลับแล้วแอบกอดกันร้องไห้ไม่รู้กี่รอบ กล่อมให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป แต่พอเป็นซากุไรซังก็ยอมจนได้ เท่านี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าพวกผมทำได้แค่ดูแลแต่รักษาไม่ได้’


    ภาพดวงตากลมโตรื้นน้ำของอิคุตะ โทมะยังติดตาเขาจนตอนนี้ ตามด้วยเจ้าตัวค้อมตัวลงโค้งต่ำวิงวอนด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่นเครือ


    ‘ขอความกรุณาด้วยนะครับซากุไรซัง ผมขอร้อง’


    โชรีบประคองร่างผอมนั้นยืนตรงตามเดิม ให้คำตอบด้วยการพยักหน้าหนักแน่น ไม่รู้ว่าแววตาในตอนนั้นฉายความรู้สึกใดออกไป ทั้งชุนกับโทมะถึงได้ชะงัก ก่อนวงตาโตเหมือนเด็กทารกของคนหลังจะมองตอบเขาด้วยแวววูบไหวคล้ายบานหน้าต่างแย้มออกเผยหัวใจที่ถูกสั่นคลอน


    ‘ผมจะช่วยเขา ผมสัญญา’ เขาได้ยินเสียงตนเองยืนยัน เลี่ยงจะตอบรับในเรื่องเข้าไปยืนใน ‘ฐานะนั้น’


    ช่วยเยียวยารักษาหัวใจ...ไม่ได้หมายความว่าจะได้เข้าไปอยู่ในนั้นหรือมีสิทธิ์ครอบครอง


    นึกถึงความจริงข้อนี้ ฝนกระหน่ำด้านนอกเหมือนจะผ่านเข้ามาถึงตัวเขา โชถอนหายใจ เลือกจะปัดมันออกไปพร้อมกับน้ำฝนบนกระจกด้านหน้า


    กระนั้น...ถึงจะปัดน้ำฝนบดบังทัศนวิสัยออกไปได้ น้ำจากฟ้าที่โปรยปรายลงมาต่อเนื่องก็กลับมาปกคลุมกระจกใสเต็มไปด้วยหยดน้ำอีกครั้ง ที่ปัดน้ำฝนทำหน้าที่แข็งขันเพื่อขจัดมันออกไป...เพื่อจะเปิดทางให้มันกลับมาใหม่


    ช่างเหมือนกับความจริงที่เขาพยายามไม่นึกถึงแต่ก็ยังก้องอยู่ในห้วงคำนึงตลอดเวลา



    1.


    เช้าวันจันทร์ที่รอคอยมาถึง โชขับรถมาจอดด้านหน้าอพาร์ทเมนต์แห่งเดิมดังทำจนเป็นกิจวัตร เขาลงจากรถ ส่งข้อความบอกจุนว่ามาถึงแล้ว ก่อนเดินมาซื้อกาแฟจากร้านฝั่งตรงข้ามอุดหนุนเพื่อนสนิทเหมือนเคย


    ไอบะ มาซากิต้อนรับเขาด้วยสายตาเคร่งเครียดส่งมาจากหลังเคาน์เตอร์ โชเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง


    “ฉันไม่เห็นจุนจังมาตั้งแต่วันเสาร์แล้ว ปกติเขาจะต้องออกมาซื้อกาแฟบ้าง ไม่ก็มานั่งทำงาน ออกไปซุปเปอร์ แต่นี่ฉันไม่เห็นเดินออกมาเลย มันอาจไม่มีอะไรก็ได้ แต่ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยว่ะ”


    คนฟังรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา หน้าจอข้อความที่ส่งไปยังไม่ขึ้นเครื่องหมายว่าอีกฝ่ายเห็นแล้ว ทำให้เขาเริ่มกังวล ดวงตาคมแววขรึมเครียดสบตาเพื่อน


    “สิบนาทีแล้วจุนยังไม่ได้อ่านที่ฉันส่งไป มันผิดปกติจริงๆ ...แกอยู่ตรงนี้นะ ฉันจะขึ้นไปดู ถ้ามีอะไรเดี๋ยวโทรหา”


    จบคำก็ก้าวยาวข้ามไปยังอาคารอีกฝั่งถนนเส้นเล็ก โชคดีที่พอคุ้นเคยกับเจ้าของอพาร์ตเมนต์และเห็นฝ่ายนั้นออกมากวาดใบไม้พอดีก็ตรงเข้าไปขอกุญแจสำรองเปิดห้องของจุนที่อยู่บนชั้นแปด กดเรียกลิฟต์ขึ้นไปอย่างร้อนรน


    ถึงจะเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในห้องพักอีกฝ่าย แต่โชไม่มีเวลาจะมาชื่นชมอะไรทั้งสิ้น สองเท้าสาวเข้าไปเร่งร้อน สายตามองกราดไปทั่วห้องนั่งเล่น เบาใจเมื่อเห็นอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยถูกรื้อค้น ก่อนเปิดประตูห้องนอน หัวใจเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบจนหายใจไม่ถนัดเมื่อเห็นสภาพเละเทะภายในคล้ายมีการปะทะรุนแรงเกิดขึ้นในห้องนี้ โทรศัพท์มือถือเครื่องที่เขาคุ้นตาดีตกอยู่ข้างเตียง หยิบขึ้นมากดดูหน้าจอมืดสนิทบอกปริมาณแบตเตอรี่ที่ไม่หลงเหลือ


    เสียงบางอย่างดังมาจากห้องน้ำประตูปิดสนิท เรียกหันขวับและปราดเข้าไปกระชากเปิดออก เลือดในกายเย็นเยียบเมื่อเห็นคนที่ตนมองหาถูกพันธนาการมือและเท้าด้วยเข็มขัด ริมฝีปากปิดทับด้วยเทปกาว อยู่ในอ่างอาบน้ำที่มีน้ำขังอยู่เกือบเต็มอ่าง


    โชรีบอุ้มร่างนั้นออกมาวางบนพื้นตรงห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นส่วนดูจะมีพื้นที่มากที่สุด ประเมินสภาพคนเจ็บคร่าวๆพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหามาซากิ รายงานสถานการณ์คร่าวๆและบอกให้คนตรงปลายสายโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลโดยด่วน


    หลังวางสาย ความสนใจของเขากลับมาที่มัตสึโมโตะ จุนอีกครั้ง เจ้าของห้องใส่เสื้อผ้าครบ เปียกโชกไปทั้งตัวจากถูกแช่ในน้ำ สังเกตจากผิวเนื้อที่เปื่อยจากตอนแก้มัดมือไพล่หลังและตรงเท้าที่ถูกพันธนาการด้วยเทปกาวซ้ำด้วยเข็มขัดแล้ว ท่าทางจะถูกขังอยู่แบบนี้เป็นเวลานาน แต่ใบหน้าและผมที่ยังแห้งพร้อมลมหายใจแผ่วๆยังพอให้เบาใจได้บ้าง


    หัวใจราวกับถูกถ่วงด้วยลูกตุ้มเหล็ก เมื่อเห็นรอยฟกช้ำกระจายทั่วร่างกาย ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณลำตัวใต้เสื้อยืดตัวบางเปียกชุ่มที่เป็นสีคล้ำน่ากลัวหลายแห่ง เปลือกตาทั้งสองปิดสนิท ไม่ตอบสนองแม้เขาจะลองตบแก้มหลายครั้ง รวมถึงเรียกชื่อและเขย่าตัว


    “บอกผมได้ไหม ใครทำกับคุณแบบนี้” เสียงแตกพร่าเอ่ยถามร่างไร้สติตรงหน้า ประสาทรับรู้มึนชาแทบไม่ได้ยินเสียงตึงตังจากตรงทางเดินตามด้วยร่างสูงผอมของมาซากิพรวดพราดเข้ามาคุกเข่าลงข้างกัน


    “รถพยาบาลจะมาถึงอีกห้านาที จุนจังเป็นยังไงบ้าง” คนมาใหม่รายงาน ถามปนหอบ มือยื่นไปอังปลายจมูกคนเจ็บ พรูลมหายใจโล่งอกเมื่อรู้สึกถึงลมเบาๆสัมผัสกับนิ้ว


    “หนักเอาการ เหมือนช้ำในหลายแห่ง ซี่โครงหักรึเปล่าไม่รู้ เรียกยังไงก็ไม่รู้สึกตัว” โชตอบเสียงเรียบสวนทางกับแววรานร้าวฉายชัดในหน่วยตาขณะค่อยๆถอดเสื้อผ้าเปียกน้ำออกก่อนลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวจากในห้องนอนมาบรรจงซับตามเนื้อตัวร่างตรงหน้าให้แห้ง ตามด้วยสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ถือวิสาสะสุ่มหยิบออกมาจากตู้ให้


    เสียงหวอใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อยๆ เจ้าของร้านกาแฟสบตากับเพื่อน ก่อนจะเป็นฝ่ายผละออกไปรับเจ้าหน้าที่พยาบาลยังด้านล่าง ให้โชคอยดูอาการคนเจ็บอยู่ลำพัง


    ภายในห้องเงียบเสียจนได้ยินเสียงหายใจของตนกับเสียงหายใจแผ่วและเว้นช่วงนานคล้ายต้องออกแรงมากกว่าปกติของคนเจ็บ อาการที่ดูจะทรุดลงอย่างรวดเร็วเรียกมือหนากุมมือซีดเย็นนั้นแล้วบีบเบาๆ หวังว่าสัมผัสจะผ่านเข้าไปในการรับรู้สักนิดก็ยังดี


    “อดทนหน่อยนะครับ อีกนิดเดียวนะ” เขาก้มลงกระซิบริมหู ยาวนานเหลือเกินในความรู้สึกกว่าจะได้ยินเสียงของเพื่อนสนิทอีกครั้ง



    2.


    โชต้องยับยั้งชั่งใจเป็นอย่างมากที่จะทำเพียงแค่ยืนมองส่งรถพยาบาลเคลื่อนห่างออกไปแล้วกลับขึ้นรถตนเอง เพื่อทำหน้าที่ยังสำนักพิมพ์ต่อ ดึงสมาธิของตนเองให้จดจ่ออยู่กับงาน แม้แท้จริงแล้วหัวใจตามขึ้นรถพยาบาลไปด้วยแต่เมื่อตอนเช้า จนกระทั่งถึงเวลาพักกลางวันจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเข้าแอพลิเคชั่นสนทนาที่ปิดแจ้งเตือนไว้ มาซากิซึ่งลงทุนปิดร้านไปติดตามอาการจุนที่โรงพยาบาลส่งข้อความมารายงานดังคาด


    ‘เข้าไปแล้ว ยังไงต่อเดี๋ยวรายงานแบบเรียลไทม์’ 07.50

    ‘หมอเดินออกมาและ’09.55

    ‘หนักอยู่ ซี่โครงหัก4 ซี่ มีไปขูดปอดฉีก แถมบวมเพราะแช่น้ำเย็นนาน อวัยวะสำคัญช้ำ ตับเกือบแตก มีเลือดออกในช่องอกกับท้อง แขนขวาหัก เท้าซ้ายพลิก โชคดีหน่อยที่ส่วนหัวไม่เป็นอะไร’ 10.08

    ‘ฟังดูสาหัส แต่หมอช่วยจนปลอดภัยระดับนึงแล้ว ตอนนี้ให้อยู่ไอซียูเพราะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ปอดเจอศึกหนักมากเหมือนโดนย้ำจุดนี้เป็นหลัก’ 10.09

    ‘หมอบอกถ้าดีขึ้นหน่อย วันสองวันคงถอดออกได้ อย่าเพิ่งเครียดไปนะเพื่อน จุนจังรอดแล้วหมอใช้เครื่องเพราะให้ปอดพักเฉยๆ ที่ต้องระวังช่วงนี้คืออาการแทรกซ้อน’10.10

    ‘หมอดูแผลแล้วคิดว่าน่าจะถูกผู้ชายที่แข็งแรงมากๆซ้อมไม่ยั้ง จงใจย้ำตรงอกเพราะอยากให้ทรมาน มีร่องรอยถูกข่มขืน หมอถ่ายรูปแผลไว้หมดแล้ว เรื่องนี้มันต้องถึงศาล ฉันรู้ว่าแกคิดแบบนี้แน่ๆ’ 10.12

    ‘หลังเลิกงานแล้วมาได้เลยหมอให้เข้าเยี่ยมได้’ 11.24


    โชระบายลมหายใจยาวหลังเลื่อนอ่านถึงข้อความล่าสุดที่มีรูปของคนเจ็บหลับสนิทบนเตียงคนไข้แนบมาด้วย ไม่ต้องสืบก็พอคาดเดาได้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร


    ไม่พ้นคงเป็นแฟนเก่าคนนั้น


    ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ก้าวออกไปเตรียมพบกับความหนักใจที่จะได้รับอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า


    ...เขาต้องบอกเรื่องนี้กับชุนและโทมะ


    ที่ปรึกษาการตลาดประจำสำนักพิมพ์ยื่นโทรศัพท์ของตนให้สองหนุ่มฝ่ายศิลปกรรมอ่านข้อความจากมาซากิ...ดังคาด ชุนเบิกตากว้าง ขณะโทมะอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเริ่มร้องไห้ออกมา


    “ไอ้สารเลวนั่น...มันต้องการอะไรอีก จุนต้องตายก่อนหรอถึงจะสาแก่ใจมัน” หนุ่มตาโตสะอื้น หันไปซบหน้ากับบ่ากว้างของเพื่อนข้างตัว ชุนตบหลังเพื่อนเบาๆอย่างสงบ หากดวงตาวาวด้วยไฟโทสะบอกว่าภายในใจของเขาไม่ได้เยือกเย็นดังแสดงออก


    “เจ้านั่นจะมาถึงนาริตะกี่โมง”ชุนถามโทมะที่เริ่มเด็ดทิชชูจากกล่องบนโต๊ะมาซับน้ำตา


    “มันบอกว่าบ่ายสาม” คนตอบเอ่ยพลางถอนสะอื้นแผ่ว เห็นโชขมวดคิ้วก็อธิบาย


    “เพื่อนกลุ่มเดียวกับพวกผมน่ะครับซากุไรซัง มันเป็นนักข่าวภาคสนาม ไปปักหลักทำข่าวอยู่ตะวันออกกลางหลายเดือน เพิ่งได้กลับมาเพราะติดต่อมันไม่ได้ มันเลยยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย”


    “ถ้าอย่างนั้น...” ผู้อาวุโสที่สุดในโต๊ะเรียบเรียงความคิดรวดเร็ว ก่อนเสนอ “หลังเลิกงานพวกคุณไปรถผม ผมจะรับเพื่อนคุณที่นาริตะ แล้วเราไปโรงพยาบาลพร้อมกัน”


    “รบกวนด้วยนะครับซากุไรซัง” ชุนค้อมศีรษะลงเล็กน้อย


    “ว่าแต่เพื่อนของคุณชื่ออะไรหรอครับ”


    “นิโนะมิยะ คาซึนาริครับ”  โทมะตอบ “พวกเราเรียกเขาว่านิโนะ”



    3.


    นิโนะมิยะ คาซึนาริที่โชวาดภาพไว้คือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีแทน หน้าตาดุดันแบบคนเจนงานภาคสนามต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงบ่อยครั้ง


    ดังนั้นเขาจึงแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นคนที่เดินสะพายเป้แบ็กแพ็กใบโตตรงมาเปิดประตูที่นั่งตอนหลังเป็นผู้ชายร่างเล็กผิวค่อนข้างขาว หน้าตาอ่อนวัยเหมือนเด็กมัธยมมากกว่าจะอยู่ในวัยทำงาน


    “จุนคุงของฉันไปไหนล่ะ” เสียงแหลมสูงหากยังฟังเป็นเสียงผู้ชายถามโทมะที่พยายามขยับยิ้มฝืดเฝื่อนอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ


    “เรื่องมันยาวน่ะ เดี๋ยวไปถึงแล้วฉันจะเล่าทีเดียว ส่วนนี่คือซากุไร โชซัง เป็น...” คนตอบยังแนะนำชายหนุ่มตาคมตรงที่นั่งคนขับไม่ทันจบประโยค คาซึนาริก็แทรกด้วยเสียงห้วนห้าว เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง


    “แฟนใหม่จุนคุงหรอ ดูดีนี่ เขี่ยไอ้เบื๊อกนั่นไปได้ก็ดี ฉันเกลียดขี้หน้ามันตั้งแต่ปีหนึ่ง”


    “เอ่อ...ก็อยากให้เป็นอยู่” ชุนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆผู้มาใหม่กระซิบบ้าง หากภายในห้องโดยสารที่ไม่กว้างเท่าไรนักก็ทำให้คนตกเป็นหัวข้อสนทนาระหว่างกลุ่มเพื่อนสนิทได้ยินอยู่ดี


    “เรื่องมันยาวครับเดี๋ยวค่อยเล่าทีเดียว” โชล้อเลียนคำพูดของโทมะก่อนจะออกรถ ได้ยินเสียงคาซึนาริที่จากบ้านเกิดไปหลายเดือนชวนเพื่อนๆรวมถึงเขาคุยก็ลอบถอนหายใจอย่างรู้สึกผิด


    ไม่รู้ว่าพอไปถึงโรงพยาบาล หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ผู้ชายคนนี้ยังจะคงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบนี้ไว้ได้หรือเปล่า



    4.


    ซากุไร โชไม่เคยชอบบรรยากาศของโรงพยาบาล ความสะอาดจนเกินพอดีเหมือนเผยให้ความรู้สึกด้านลบชัดเจนยิ่งขึ้นจนแทบจะเห็นอณูของความหดหู่สิ้นหวังลอยอยู่ในอากาศ ยิ่งคราวนี้เขาก้าวเข้ามาด้วยเรื่องของคนที่ห่วงใยความรู้สึกนั้นเหมือนจะยิ่งทบทวี


    “ฟื้นแล้วล่ะ แต่ดูเพลียมาก หมอคงให้เยี่ยมได้ไม่นานเท่าไหร่” มาซากิที่ยืนรออยู่ตรงด้านหน้าแผนกผู้ป่วยวิกฤตบอกตอนเดินเข้ามารับพวกเขา ก่อนจะเบิกตากว้าง โผเข้ากอดกับคาซึนาริที่ดูตกตะลึงระคนดีใจไม่แพ้กัน จากนั้นก็ได้รู้ว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แม้จะยังติดต่อกันแต่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปีแล้ว


    บางที...โลกก็กลมเสียจนน่ากลัว


    “แกจะให้ฉันเล่าให้คัซมันฟังก่อน หรือจะให้มันเข้าไปหาจุนจังก่อน” เพื่อนร่างโย่งหันมากระซิบถามความเห็น โชนิ่งคิด พยักพเยิดไปทางด้านในแทนคำตอบว่าอยากให้มาซากิพาคาซึนาริเข้าไปก่อน ส่วนเขาจะรออยู่กับโทมะและชุน


    สองคนนั้นหายเข้าไปนาน จนสามคนด้านนอกสบตากันหารือทางสายตา ก่อนจะได้ข้อสรุปเป็นเดินเข้าไปสมทบพร้อมกัน


    ทั้งสามหยุดตรงทางเดินหน้าห้อง มองผ่านกระจกใสเห็นคาซึนาริเป็นอย่างที่พวกเขากังวล นักข่าวหนุ่มดูเดือดดาลอยู่ในอ้อมกอดของมาซากิ ส่วนมือข้างหนึ่งมีมือขาวซีดราวกระดาษจากคนบนเตียงจับไว้แล้วบีบอย่างอ่อนแรงพยายามปลุกปลอบ


    เหมือนจะรู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ ศีรษะบนหมอนขยับช้าๆมาทางกระจกกั้นระหว่างภายในห้องกับทางเดิน นัยน์ตากลมโตแววอ่อนโรยสบตากับโทมะที่ฝืนยิ้ม โบกมือให้ ชุนที่คลี่ยิ้มฝืดเฝื่อน ยกมือขึ้นทักทายแล้วมาหยุดยังเขาซึ่งไม่รู้จะทำอะไรนอกจากขยับยิ้มบางเบา


    บางอย่างในลูกแก้วคู่นั้นเรียกให้โชเลื่อนประตูเปิดก้าวเข้าไปหยุดตรงอีกด้านของเตียงที่ยังว่างอยู่ ยกยิ้มซึ่งรู้ดีว่าไปไม่ถึงดวงตาให้คนเจ็บ


    ในระยะใกล้...มัตสึโมโตะ จุนดูเปราะบางเหลือเกิน เมื่อจมอยู่ท่ามกลางเครื่องมือแพทย์รายล้อมรอบกายใบหน้าซีดเซียวแทบกลืนไปกับหมอนขับให้สีน้ำเงินของแผ่นพลาสติกยึดท่อหลอดลมคอต่อกับเครื่องช่วยหายใจข้างเตียงดูโดดเด่น


    โชมองแขนขวาเข้าเฝือกวางนิ่งอยู่บนหมอนรอง ค่อยจับแพนิ้วเรียวที่โผล่พ้นปลายเฝือกแผ่วเบา ขณะมืออีกข้างวางลงบนกลุ่มผมนิ่ม ลูบไปมาอย่างทะนุถนอม


    ดวงตากลมโตพราวน้ำเอ่อคลอช้อนขึ้นมองเขา ก่อนจะปล่อยให้หยาดน้ำใสไหลรินอาบแก้ม ไหล่ผอมสั่นสะท้านตามแรงสะอื้นไร้เสียง


    ราวกับนกน้อยพลัดตกจากรัง


    หวาดกลัว สิ้นแรง  และแตกสลาย


    โชปล่อยให้หัวใจเป็นนาย ก้มลงจรดริมฝีปากบนหน้าผากมน กระซิบริมใบหู กระชับมือเย็นในอุ้งมือมั่น


    “ไม่เป็นไรแล้วนะครับ คุณปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครมาทำร้ายคุณอีก”


    ข้อนิ้วแข็งแรงไล้ไปตามกรอบหน้าซีดเซียว อีกมือหนึ่งใช้ปลายนิ้วโป้งคลึงเบาๆวนบนหลังมือขาว


    “ถ้าคุณต้องการผมจะอยู่ตรงนี้...ผมสัญญา”


    กว่าจะรู้ตัวว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ก็ตอนได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากอีกฝั่งของเตียง โชเงยหน้าขึ้นมอง สบตากับคาซึนาริที่เลิกคิ้วมองหน้าเขาสลับกับคนเจ็บอย่างเอาเรื่อง


    “ตกลงเกือบครึ่งปีที่ฉันไปตะลอนอยู่ตะวันออกกลาง มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”


    มาซากิลูบแขนเพื่อนให้อารมณ์เย็นลง แต่เหมือนจะไม่ทำให้ปมคิ้วนักข่าวหนุ่มคลายออกจากกันแม้แต่น้อย


    “ประมาณสี่เดือนที่แล้ว จุนคุงถูกไอ้กร๊วกนั่นนอกใจแถมซ้อมจนเยิน ใช้เวลาเป็นวีคกว่าชุนกับโทมะจะเข้าใกล้ได้ สภาพจิตใจพังพินาศแต่ไม่ยอมไปหาหมออยู่เป็นเดือน จนซากุไรซังเข้ามาช่วยดูแลแล้วก็ยอมไปหาหมอ ทุกอย่างเหมือนจะลงเอยดีมีความสุขแฮปปี้เอเวอร์อาฟเตอร์ จนถูกไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ที่ฉันมั่นใจว่าเป็นไอ้กร๊วกเจ้าเก่าซ้อมน่วมแล้วขังไว้ให้เน่าตายในห้องน้ำ ลงเอยที่มานอนแบ่บ พะงาบๆคาบท่อเป่าลมอัดปอดฟืดๆอยู่หน้าฉันในตอนนี้...ฉันสรุปใจความได้ครบถ้วนใช่ไหม” เสียงแหลมเป็นเอกลักษณ์จบคำสุดท้ายพร้อมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งประกอบ ถ้อยคำใส่อารมณ์ขัดกับมือลูบกลุ่มผมสีดำสนิทบนหมอนอย่างทะนุถนอม


    “ตอนนี้พร้อมจะเล่าให้พวกเราฟังรึเปล่า ใครทำกับจุนคุงของฉันแบบนี้ ฉันไม่ได้ถนอมนายมาตั้งแต่อนุบาลเพื่อจะให้ไอ้เลวจากนรกขุมไหนไม่รู้มารังแกนะ” ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ก่อนจะประทับจูบบนแก้มซีดเซียว


    วงตากลมอ่อนล้าช้อนขึ้นมองเพื่อนสนิท ขอบตาแดงช้ำคลอน้ำใสอีกครั้ง


    “โอ๋ๆ...ไม่ร้องๆ เดี๋ยวหายใจไม่ทันนะ” โทมะที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบตรงปลายเตียงพร้อมกับชุน เอื้อมมือวางบนท่อนขาใต้ผ้าห่มแล้วตบเบาๆ


    โชหยิบตารางตัวอักษรบนโต๊ะข้างเตียงส่งให้ เมื่อเห็นคนเจ็บพยักหน้าแทนคำตอบ สายตาห้าคู่จากรอบเตียงจับยังเรียวนิ้วเคลื่อนไปตามตัวอักษร หากยังไม่ทันจะประกอบได้ใจความ คาซึนาริก็ส่ายหน้าอ่อนใจ


    “เลิกบ้าความเป๊ะซักครั้งเถอะ เอาเป็นคำๆพอรู้เรื่องพอ ไวยากรณ์อะไรทิ้งมันไปก่อน แค่มองยังเหนื่อยแทน”


    จุนชะงัก ตวัดมองคนพูดขัดตาเขียว แต่ยอมทำตามคำแนะนำแกมเหน็บโดยดี กระนั้นไม่นานก็นิ่ง...ขมวดคิ้วคล้ายเห็นบางสิ่งขัดตา


    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” โชถามด้วยความห่วงใย มองรอบวงอย่างฉงนเมื่อชุนหัวเราะออกมา ตามด้วยคาซึนาริ โทมะไม่เว้นแม้แต่มาซากิ


    “กระดานนี้มันไม่มีคันจิครับซากุไรซัง จุนมันไม่ชิน” ชุนอธิบายกลั้วหัวเราะ ขณะคนไม่ชินกับตัวอักษรอ่านก้มหน้าจิ้มตัวอักษรบนตารางต่อ เรียกให้ทุกคนกลับมาสนใจ


    “มันมาหาที่ห้อง บอกว่าอยากคืนดีด้วย แกปฏิเสธเลยโมโห นี่แม่งบ้าอะไรวะเนี่ย!” นักข่าวร่างเล็กโพล่งออกมาทันทีหลังนำแต่ละคำมาเรียงกันเป็นเรื่องราว พยายามสูดหายใจลึกควบคุมอารมณ์ ถามต่อ


    “ตั้งแต่วันไหน”


    ‘วันเสาร์’


    “วันนี้วันจันทร์แล้ว เท่ากับแกถูกมัดจับแช่ในอ่างอยู่เกือบสามวัน แม่ง...มองจากดาวพลูโตก็รู้ว่ามันจะฆ่าแกชัดๆ เรื่องนี้มันต้องถึงศาล ฉันบอกเลย”


    จุนคว้าแขนเพื่อน ส่ายหน้าไปมาก่อนเบิกตาโต หันขวับมาทางที่ปรึกษาการตลาดซึ่งขันอาสาเสียงเย็น


    “เรื่องนี้ผมจัดการเองครับ”


    “อ้อ...ออกจากโรงพยาบาลแล้วแกย้ายห้องด้วยนะ ยกเสนียดในอณูห้องจากไอ้สารเลวให้คนอื่นไป อีกอย่างห้องที่แกอยู่มันไม่มงคลตั้งแต่เลขห้องแล้ว …893 แค่ฟังก็รู้สึกอัปมงคล” โทมะเสริมด้วยสีหน้าจริงจังก่อนแทนที่ด้วยคลี่ยิ้มเอ็นดูเมื่อทอดลงมองเพื่อนสบตาขอบคุณทุกคนรอบเตียง หยุดยังซากุไร โชซึ่งเป็นคนสุดท้ายเนิ่นนานจนเขาต้องหันไปลอบยิ้มกับชุนที่ยืนข้างกัน


    มองตามนิ้วนั้นชี้บนตารางตัวอักษรในมือ เรียงได้ความว่า


    ‘ขอบคุณมากนะ’


    “เรื่องเล็กน่า ตอนนี้นอนพักเถอะ พยาบาลเดินผ่านมาส่งสายจิกใส่เป็นสิบรอบแล้ว” คาซึนาริบอกยิ้มๆ ทาบมือปิดตาคนป่วย หัวเราะเมื่อจุนยกมือข้างที่ไม่ได้เข้าเฝือกขึ้น พยายามออกแรงแกะมือตน เห็นว่าไม่ได้ผลก็เริ่มกำมือทุบไปบนหลังมือ


    “นอนได้แล้วนะครับ คุณเหนื่อยแล้ว” โชช่วยกล่อม หยิบตารางตัวอักษรกลับไปวางคืนที่เดิม ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงหน้าอก  ลูบผมนิ่มไปมา ยกยิ้มบางเมื่อมือที่กำลังวุ่นวายกับมือเพื่อนสนิทผละออกเอื้อมข้ามตัวมาคลำเปะปะหามือข้างที่ว่างของเขา กระทั่งเจอก็จับไว้หลวมๆ


    คาซึนาริละมือออก เห็นดวงตากลมโตปิดสนิทเผยแพขนตายาวก็กระตุกมุมปาก มองหนุ่มตาคมที่ค่อยจับมือเรียวขาวขึ้นมาวางไว้บนหน้าอกคนนอนหลับด้วยแววตาเป็นประกาย


    “โทมะบอกผมตะกี้ เหมือนคุณจะคิดว่าจุนไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณเลยใช่ไหม”


    โชนิ่ง ไม่ตอบคำใดนอกจากสบตากับนักข่าวหนุ่ม ทว่า...เหมือนเท่านั้นก็เพียงพอ


    นิโนะมิยะ คาซึนาริส่งเสียงหึในลำคอ แตะเบาๆบนหลังมือเพื่อนที่ยังจับมือหนาไว้


    “ถ้าคุณคิดแบบนั้นจริง...มันผิดถนัดเลยล่ะ”



    5.


    “เย็นนี้โชซังดูสดชื่นเป็นพิเศษนะครับ”


    เสียงทักคุ้นเคยดังมาจากหน้าร้านกาแฟที่ต้องเดินผ่านเป็นประจำเพื่อไปยังลานจอดรถ เรียกเจ้าของชื่อหันไปมองและยิ้มให้คนพูดที่ยิงฟันใส่อย่างขี้เล่น


    “คิดไปเองหรือเปล่าโทมะจัง”


    “ไม่ใช่หรอกครับ ออร่าสีชมพูบาดตาแบบนี้” คนเด็กกว่ายืนกราน หรี่ตามองล้อเลียน


    โชส่ายหน้าให้กับท่าทางนั้น ทำเอาโทมะยู่ปาก ยังไม่ทันจะได้โต้ตอบอะไรเสียงโทรศัพท์ดังเป็นท่อนตัดมาจากเพลงฮิตก็ดังขึ้นพอดี หนุ่มฝ่ายศิลปกรรมหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง มองหน้าจอแล้วขมวดคิ้วบ่นพึมพำกับตนเองขณะกดรับ


    เห็นอีกฝ่ายท่าทางจะมีธุระสำคัญกับปลายสาย โชก็กล่าวลา


    “ผมไปก่อนนะ”


    “ครับ จุนคงรอแย่แล้ว”


    เขายิ้มให้กับคำหยอกนั้น ก่อนจะเดินแยกออกมา ไม่วายได้ยินเสียงอิคุตะ โทมะแหวใส่โทรศัพท์ดังไล่หลัง


    “ผมออกมาซื้อกาแฟแค่สิบนาที ต้องโทรตามกันแล้วหรอ นี่มันอะไรกันครับยามะชิตะซัง!”


    ที่ปรึกษาการตลาดประจำสำนักพิมพ์เข้าใจในทันทีว่าอะไรทำให้คนอารมณ์ดีอย่างโทมะหงุดหงิดขนาดนี้ ดูเหมือนที่เห็นชุนคุยกับคาซึนาริตอนไปเยี่ยมคนเจ็บด้วยกันว่า ยามะชิตะ โทโมฮิสะ บรรณาธิการที่เพิ่งย้ายมาจากอีกสำนักพิมพ์ในเครือเดียวกันมีท่าทีคล้ายถูกใจฝ่ายศิลป์เจ้าของรอยยิ้มสดใสเข้าอย่างจัง...น่าจะเป็นเรื่องจริง


    การจราจรที่ค่อนข้างติดขัดในช่วงเวลาหลังเลิกงานทำให้เขาไปถึงโรงพยาบาลช้ากว่าคาดไว้ โชถอดเสื้อสูทและเนคไทออก ปลดกระดุมเสื้อเม็ดบน พับแขนเสื้อ จากนั้นจึงลงจากรถพร้อมกระเป๋าเป้ใบย่อมผ่านทางเดินที่คุ้นเคยไปหยุดอยู่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง เคาะเบาๆบอกคนด้านในก่อนผลักประตูเปิดเข้าไป


    หลังจากเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้องไอ.ซี.ยู.นานสองวันเต็ม เมื่อช่วงเช้าแพทย์เจ้าของไข้จึงอนุญาตให้จุนย้ายออกมาพักยังแผนกผู้ป่วยสามัญ (ซึ่งแน่นอนว่าเขาแอบใช้เส้นสายของพ่อที่รู้จักกับผู้บริหารโรงพยาบาลนี้เป็นการส่วนตัวเพื่อให้ได้ห้องพักเดี่ยว แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้ดูหรูหราจนผิดสังเกต) โชกับเพื่อนๆของคนเจ็บตกลงกันว่าจะผลัดกันมาเฝ้าตอนกลางคืนตามความสะดวกของแต่ละคน ซึ่งในคืนแรกตกเป็นหน้าที่ของเขา เพราะเป็นคนเดียวที่ว่างพอดี


    ชายหนุ่มวางกระเป๋าเป้ลงบนโซฟา ยืนกอดอกพิงกำแพงมองคนนอนหลับอยู่บนเตียงเงียบๆ ยกยิ้มบางเมื่อเห็นแก้มขาวที่เริ่มมีเลือดฝาด รอยช้ำจางลงไปบ้าง แม้จะยังมีหน้ากากออกซิเจนครอบอยู่บนใบหน้าแต่ก็ยังทำให้รู้สึกใจชื้นกว่าตอนเห็นท่อพลาสติกอันยาวต่อกับตัวเครื่องเมื่อสองวันก่อน


    ท้องฟ้าด้านนอกที่เริ่มมืดเรียกก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เห็นเวลาสมควรและคนไข้ยังไม่ตื่นก็หยิบกระดาษโน้ตจากโต๊ะข้างเตียงมาเขียนข้อความสั้นๆแล้ววางไว้บนที่นอน ยกมือเรียวขาวขึ้นทับไว้ ยิ้มขันผลงานตนเอง ก่อนจะออกจากห้องไปจัดการมื้อเย็น


    โชกลับขึ้นมาอีกครั้งราวครึ่งชั่วโมงให้หลัง ภาพแรกที่เข้ามาในคลองสายตาเมื่อเปิดประตูคือหนุ่มน้อยบนเตียงลืมตาขึ้น คงรู้สึกถึงสัมผัสแปลกปลอมตรงฝ่ามือจึงหยิบกระดาษแผ่นเล็กขึ้นมาอ่าน ดวงตากลมโตมองไปทั่วห้องจนหยุดยังเขาซึ่งก้าวช้าๆ มายืนตรงข้างเตียง เปิดยิ้มทักทาย


    “วันนี้เวรผมมาอยู่เป็นเพื่อนคุณครับ”


    “แต่...” เสียงแหบแห้งแย้ง วงหน้าหวานส่ายไปมาช้าๆ


    คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมดุขมวดเข้าหากันน้อยๆ


    “ไม่มีแต่ครับ ไม่ต้องเกรงใจอะไรผมทั้งนั้น ผมเต็มใจที่จะมา จำที่ผมเคยสัญญากับคุณได้รึเปล่าครับ”


    เว้นช่วง...ประสานสายตากับลูกแก้วสีสวย


    “ผมบอกคุณว่าถ้าคุณต้องการ ผมจะอยู่ตรงนี้...คุณอยากให้ผมอยู่กับคุณรึเปล่าครับ”


    กลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ครั้นอีกฝ่ายก้มหน้ากำผ้าห่มอยู่นานคล้ายชั่งใจในคำตอบ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ยื่นมือมาจับมือเขาไว้หลวมๆ


    โชบีบมือนั้นเบาๆ ก้มลงประทับริมฝีปากบนหลังมือขาวแผ่วเบา


    มือของจุนมีขนาดไม่ต่างจากเขานัก แต่ให้ความรู้สึกน่าทะนุถนอม อยากกอบกุมไว้ไม่ว่าเวลาใด


    “มาจับมือผมแบบนี้คิดดีแล้วหรอครับ...ถ้าผมจับแล้ว ผมไม่ยอมปล่อยนะ” เอ่ยพร้อมรอยยิ้มหยอกคนเด็กกว่าที่ก้มหน้าคางจรดอก สวนทางกับแววตาหนักแน่น


    สัญญากับตนเองในวินาทีนั้น...เขาจะไม่มีวันปล่อยมือจากมัตสึโมโตะ  จุน

     

     

     

     

     

     

     

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
cyqlops (@cyqlops)
อมกกกกกกกกกกกกกก. เพิ่งเข้ามาอ่านต่อจากที่หยุดไปนาน พี่! แหมบ! ทำ! ร้าย! เคะ! อีก! แล้ว! ฮืออออ สงสารจุนจัง อยากไปโอ๋มาก ทำไมหนูโดนหนักขนาดนี้ลูกก นี่มันฟลัฟจริงๆเร้อะ! 55555555555555555

น้องชอบประโยคนี้มากเลยพี่ "เท่านี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าพวกผมทำได้แค่ดูแลแต่รักษาไม่ได้" เห้อมม คุณและคุณเท่านั้น เพื่อนกับแฟนมันแทนกันบ่ได้หรอกเด้ออ้ายโช 55555555555555

ที่ทำให้หลุดขำคือ “เจ้านั่นจะมาถึงนาริตะกี่โมง” คือแบบ รู้เลย นิหนุ่ยแน่นอน แล้วไม่กี่บรรทัดต่อมา.. “นิโนะมิยะ คาซึนาริครับ” โทมะตอบ “พวกเราเรียกเขาว่านิโนะ” 55555555555555555 ใช่จริงๆด้วย ชอบคาร์ของนิหนุ่ยในเรื่องมาก เพื่อนชายสายสู้ ต่อยกับ-ูป่าวงี้

ชอบที่ความสัมพันของเอ็มเจและคุณโชพัฒนาไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ น้องจุนในเรื่องน่ารักมากเลย เอ็นดูตรงน้องขัดใจที่ไม่มีคันจิมาก 55555555555555 โถคุณคะ

ดีใจที่มีเวลากลับมาอ่านสักที ขอบคุณที่แต่งไว้นะคะ ช่วงนี้น้องกำลังดาวน์ๆพอดี ฮีลใจได้เยอะเลย
ขอให้น้องจุนหายไวๆนะคะ แล้วก็ย้ายออกจากไอ้ 893 นั่นไปซะ กรั่กๆๆ

danke schön ♡