เรื่องเริ่มจากเมื่อไม่นานมานี้ มีคนนึงในทวิตเตอร์กำลังจะฆ่าตัวตายและได้ทวีตลา ทำให้เกิดกระแสมากมาย มีกระแสนึงที่เกิดขึ้นค่อนข้างเยอะ ก็คือการขอให้เขาได้หลับสบาย ขอให้เขาไม่เจ็บปวด ขอให้เขาเป็นนางฟ้า บางคนก็บอกว่าไม่กล้าเห็นแก่ตัวรั้งเขาไว้เพราะรู้ว่าสิ่งที่เขาเจอมันหนักหนา
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เราไม่เห็นด้วย เลย
เราพูดเสมอว่าถ้าเจอคนป่วยให้พาเขาไปหาหมอ ถ้าตัวเองป่วยให้พาตัวเองไปหาหมอ มันมีทางออก มันหายยาก แต่หายได้ หรือไม่ก็เราอยู่ร่วมกับมันได้
เราได้อ่านเรื่องของคนนั้น พบว่าที่เขาเจอมามันหนักหนาจริงๆ แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่เราจะเห็นด้วยกับการฆ่าตัวตาย โลกนี้ไม่ใช่โลกของคนที่มีความสุขเท่านั้นถึงจะอยู่ได้ คนส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นซึมเศร้าหรือไบโพล่าร์ ทุกคนล้วนเจอเรื่องราวหนักหนา อาจจะไม่เหมือนกัน อาจจะหนักหนาไม่เท่ากัน แต่นั่นก็หนักหนามากแล้วสำหรับเขา มากพอที่จะทำให้เขาป่วยใจได้
แต่มันก็ยังมีทางออกไม่ใช่หรอ
แม้ว่าเราไปหาหมอ หมอลบสิ่งที่มันเกิดไปแล้วไม่ได้ แต่หมอบำบัดเราได้ ปรับสารสื่อประสาทเราได้ การทำจิตบำบัดช่วยให้เราก้าวผ่านความเจ็บปวดในอดีตได้ ช่วยให้เรามองไปข้างหน้าได้อีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อครอบครัว ไม่ใช่เพื่อเพื่อน ไม่ใช่เพื่อใครทั้งนั้นนอกจากตัวเราเองค่ะ
ได้โปรด รั้งเขาไว้เถอะ ให้ความหวังเขาเข้าไว้ ความหวังจะทำให้เขารอคอยวันข้างหน้า
คนที่ขอให้เขาไปดีในทวิต บางคนไม่เคยคุยกับเขาเลยด้วยซ้ำ บางคนอ่านสิ่งที่เขาเจอมาแล้วก็มารู้สึกว่าการตายคงดีกว่าสำหรับเขา
แต่ในฐานะที่เราเคยรั้งเพื่อนสนิทเราไว้ ตอนคุยโทรศัพท์ฟังเพื่อนร้องไห้ไปแล่าไป เราทุกข์มากที่ตอนนั้นอยู่ไกล เราไม่อยากให้มีวันที่ไม่มีเพื่อนคนนี้อะ เราพยายามหาคำพูดโน้มน้าวมากมาย สุดท้ายเราทำสำเร็จ ที่เรารั้งเพื่อนเพราะเรารักเพื่อนอะ รักแบบที่ยังอยากให้เขามีความหวัง อยากให้เขาเดินทางไปถึงอนาคตที่เราก้าวผ่านมันไปได้ อนาคตที่เรามีความสุขแบบที่เคยเป็นอีกครั้ง เราอยากให้ทุกคนมองมุมนี้ค่ะ
เราถึงกับเอาเรื่องการเกิดกระแสนี้ไปคุยกับนักจิตบำบัดที่เราบำบัดอยู่ เขาบอกว่า การสนับสนุนให้เขาฆ่าตัวตายแบบนี้มันผิดในหลักการทางจิตเวช เราไม่ควรเห็นด้วยกับการฆ่าตัวตาย
ในมุมมองของเราที่เป็นผู้ป่วยมาเกือย 5 ปีแล้ว ทุกวันนี้เรายังต้องไปหาหมอทุกเดือน กินยาเยอะทุกวัน เคยแอ็ดมิท 25 คืน เคยพยายามฆ่าตัวตายมา 1 ครั้ง เรารู้ดีว่ามันไม่ได้ผ่านไปง่าย ๆ แบบที่เราพูด เรารู้ว่าความรู้สึกอยากตายมันทรมานแค่ไหน เรารู้ว่าการโดนอดีตหลอกหลอนมันเป็นยังไง
แต่แล้วไงอะ เราก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้ไง
ถามว่าเราหายรึยัง ยังเลย เรายังไม่หาย แต่เราทำงานได้ปกติแล้วนะ ไม่สวิงแล้วด้วย มีจิตใจที่แข็งแรงขึ้นมาก เราไม่เทิร์นเข้าขั้วดีเพรสมามากกว่า 1 ปีแล้ว แต่ถ้าเราเจอเรื่องที่เป็นทริกเกอร์เราก็ยังดีเพรสอยู่ แต่เป็นดีเพรสแบบช่วงสั้น ๆ
แต่ก็ต้องบอกว่ากว่าเราจะมาถึงตรงนี้ เราใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีเลย ในช่วงเวลานั้น เรายังทรมานอยู่เรื่อย ๆ แต่มันก็ค่อย ๆ เบาลงเรื่อย ๆ เหมือนกัน
ทุกคน อย่าท้อเลย เราก็เคยท้อ แต่ขอให้อดทนหน่อยเถอะนะคะ ไปหาหมอ ถ้าหมอไม่โอเคก็เปลี่ยน อดทนกินยา อย่าลืมความฝัน อย่าทิ้งความหวัง เรามีชีวิตที่ดีขึ้นได้จริง ๆ
_________________________
นอกจากเรื่องนี้ สิ่งนึงที่เราอยากให้ทุกคน concern ก็คือการแชร์ trigger การแชร์ depression ในสื่อโซเชี่ยลต่าง ๆ คือตอนนี้เราก็ระวังกันอยู่แหละ เรารู้ หลาย ๆ ทวีตก็มี warning เตือนก่อน
คือไม่ใช่ว่าเราจะห้ามไม่ให้เล่านะ แต่เราอยากให้ระวังหน่อยอะ เราไม่รู้ว่าใครจะได้อ่านบ้าง อาจจะเป็นบางคนที่เขาเหลือแค่ฟางเส้นสุดท้ายก็ได้
จะเป็นไปได้มั้ยถ้าเกิดมีคนจะฆ่าตัวตาย หรือดีเพรส เราจะช่วยกันห้ามเขา แชร์ข้อมูลการรักษา แชร์ไวบ์ดี ๆ ไปให้ถึงเขาและคนอื่น ๆ ช่วยให้ความหวัง ทำให้เกิดอีกกระแสที่อ่านแล้วได้รับกำลังใจ
เราขอแนะนำอีกนิดนึงสำหรับคนใช้โซเชี่ยลมีเดีย เราต้องรู้ตัวอยู่ตลอดเวลานะคะว่าเรากำลังรู้สึกยังไงอยู่ ถ้าเราไม่สบายใจ อันฟอล ถ้าอ่านแล้วดีเพรส mute เราต้องป้องกันตัวเองนะคะ
ด้วยรักและอยากเห็นทุกคนสุขใจ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in