เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แอ็ดมิทจิตเวชNoot Tharara
แอ็ดมิทจิตเวชครั้งแรก
  • บันทึกลง Blog ครั้งแรกเมืื่อ 04/07/16


    ขอเกริ่นก่อน..

    เหตุเกิดเมื่อไม่นานมานี้ค่ะ คือเราเป็นโรคไบโพล่าร์ ต้องกินยาอยู่ตลอด จนวันหนึ่ง เราออกไปกินข้าวข้างนอกกับเพื่อน ก็เลยเอายาใส่กระเป๋าไปด้วย แล้วก็เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ล้วงกระเป๋า ล้วงเข้าล้วงออก ล้วงออกล้วงเข้า จนกลับมาถึงห้องเพื่อน พบว่า.. ยาหาย เพื่อนก็พาขับรถกลับไปวนหาทุกที่ที่ไป แต่ก็ไม่เจอ จนเราปลง ยังไงวันจันทร์นี้ก็ถึงวันนัดหมอละ ขาดยาไม่กี่วันคงไม่เป็นไรหรอก (วันที่ทำหายคือวันเสาร์ตอนเย็นค่ะ)

    แต่.. โรคไบโพล่าร์มันโหดร้ายกว่าที่เราคิด

    พูดให้เข้าใจง่ายๆ โรคไบโพล่าร์คือโรคอารมณ์สองขั้ว คล้ายๆ มันมีขั้วบวกกับขั้วลบ คล้ายๆ มีช่วงที่ไฮเปอร์กับช่วงที่ซึมเศร้า แล้วช่วงนั้นเราก็อยู่ในขั้วลบพอดี พอขาดยาปุ๊บ ขั้วลบก็ทำงานเต็มกำลังมาก ตอนนั้นแผนฆ่าตัวตายเต็มหัวเราไปหมด มองทุกอย่างในแง่ร้ายไปหมด โทษว่าตัวเองแย่ ความคิดที่มันสนับสนุนให้เราฆ่าตัวตายผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เราอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ ร้องไห้แบบหยุดตัวเองไม่ได้ จิตสำนึกด้านดี(ที่เหลืออยู่เล็กน้อย)ก็บอกเราว่าให้อดทนไว้ พรุ่งนี้ก็พบหมอแล้ว

    พอถึงวันนัดหมอ จิตแพทย์เขาก็ถามเรา ถามไปถามมา เราก็นั่งเล่ารายละเอียดแผนการที่คิดจะฆ่าตัวของตัวเองให้หมอฟัง หมอก็ฟังด้วยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ แล้วเขียนใบแอ็ดมิทให้เราเข้าพักหอผู้ป่วยจิตเวชเลย

    นั่นแหละค่ะ ที่มาของเรื่องวันนี้ ตอนที่อยู่ในหอพักผู้ป่วยจิตเวช 5 คืน เราได้เขียนบันทึกไว้ ดังนี้

    Day 1

    วันนี้เป็นการนอนโรงพยาบาลครั้งแรก(ถ้าไม่นับไปนอนเฝ้าคนอื่นอะนะ) ในฐานะผู้ป่วยจิตเวชด้วยนะ เหตุผลเปรี้ยวมั้ยล่ะ

    ตอนอายุ 17 ใครจะคิดว่าวันนึงตัวเองแม่งจะเป็นไบโพล่าร์ ตอนอ่านบทความหรืออะไรเกี่ยวกับโรคพวกนี้เราก็เข้าใจนะ แต่พอมาเป็นเอง แม่งบัดซบกว่าที่คิดเยอะ กินยาก็เยอะ เจาะเลือดก็บ่อย ไหนจะความคิดเหี้ยๆ ที่เราไม่ได้อยากคิดคอยวนเวียนเข้ามาในหัวอีก  ว่าแล้วก็อยากสบถอีกทีว่า ห่าเอ้ยยยย

    แล้วทำไมต้องนึกถึงตอนอายุ 17 น่ะหรอ ก็เพราะตอนนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ความฝันเพื่องฟูที่สุด คือช่วงของการเป็นเด็กที่เริ่มได้เห็นโลกของผู้ใหญ่(แต่ไม่เคยได้สัมผัสจริง) ตอนนั้นเราจำได้ว่าเรานอนคุยโทรศัพท์ประชุมสายกับเพื่อนสนิท 2 คนทุกคืนเลย เราคุยกันว่าเราอยากมีคอนโดห้องติดกัน เราจะได้ใส่กางเกงบ็อกเซอร์เดินไปเล่นด้วยกันได้ ตอนนั้นเป็นวัยที่ต้องคิดเรื่องมหาลัยด้วยแหละ เป็นวัยว้าวุ่นที่แท้จริง ตอนนั้นเรายังไม่รู้เลยว่าจะไปทางไหน งงสุด เพื่อนก็งงๆ เหมือนกัน แต่เราพอจะรู้นะว่าเราชอบสายศิลป์ ภาษา วาดรูป นิเทศ อะไรแบบนั้นน แต่ทำไงได้ แม่ไม่ชอบ ภาพตัดมาอีกทีก็มานั่งปรบมือรับน้องที่คณะการจัดการและการท่องเที่ยว สาขาการโรงแรมละ ยังไม่หายงงเลย

    แล้วทำไมต้องไปเล่าถึงอายุ 17 ล่ะ ก็เพราะตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เราอยากย้อนกลับไปมากที่สุด เราจะกลับไปเถียงแม่ ขอเรียนสายศิลป์ เรียนในมหาลัยในกรุงเทพ จังหวัดที่เราชอบที่สุดในประเทศนี้

    กลับมาที่การเป็นโรคไบโพล่าร์บัดซบนี่ โคตรงง จนตอนนี้ก็ยังงงอยู่ แล้วมาเป็นตอนเรียนจบด้วยนะ ยังกะตั้งใจมาสะกัดดาวรุ่งกู อีโรคเลว เปลืองตังค์ กูจะกินยาจนมึงทำอะไรกูไม่ได้เลยคอยดู (ขอให้สภาพแวดล้อมเอื้อด้วยเถอะ สาธุ)

    และกลับมาที่การเป็นผู้ป่วยในหอพักผู้ป่วยจิตเวช เรามีรูมเมท 6 คน เป็นโรคไบโพล่าร์ 3 คน(รวมเราด้วย) มีน้องอายุ 13 ปี ที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวและควบคุมตัวเองไม่ได้ 1 คน โรคซึมเศร้า 1 คน และอีก 2 คนเรายังไม่ได้ถาม เราโดนน้องที่อายุ 13 ขอใช้นามสมมตว่า น้องปลา น้องปลาเปิดอวัยวะเพศให้เราดูตั้งหลายครั้งเมื่อตอนเย็นๆ ภาพนั้นช่างติดตา (จริงๆ เราบอกหมอให้ช่วยกันน้องปลาออกจากเรานะ เพราะถ้าน้องทำอะไรเราขึ้นมาเราก็เป็นคนมือไวเหมือนกัน น้องอาจเจ็บตัวได้) หลังจากนั้นก็โดนเจาะเลือดด้วยโอ้ย ช่างเป็นวันที่โหดร้าย

    เป็นผู้ป่วยจิตเวชต้องนอนโรงพยาบาลทุกคนหรอ จริงๆ คือไม่นะ ที่เราต้องนอนเพราะตอนนี้เราอยู่ในขั้วลบ รู้สึกแย่ อยากฆ่าตัวตาย เราแพลนมาหลายวันแล้วว่าจะตายด้วยวิธีไหนดี สุดท้ายเราก็เลือกวิธีเอาอิฐใส่เป้แล้วสะพายไว้ เอาเชือกผูกเป้ติดกับตัวแน่นๆ แล้วถ่วงตัวเองลงน้ำไปเลย แต่มันยังมีขั้นตอนนึงที่เรายังไม่ได้ทำ คือการเขียนจดหมายลา เราอยากไปแบบที่มีคนเศร้าน้อยที่สุด ลืมเราออกไปจากชีวิตเร็วที่สุด เราเลยคิดว่าจดหมายลามันสำคัญนะ แต่ช่วงนี้ยุ่งๆ อยู่กับงานเลยไม่ว่างเขียนสักที พอดีว่ามีนัดหมอพอดี มาหาหมอ เลยโดยจับมาอยู่หอพักผู้ป่วยจิตเวชเนี่ยแหละ

    ปล. คิดถึงโทรศัพท์ อยากฟังเพลง อยากคุยกับเพื่อน แต่นอนอ่านหนังสือแทนก็ไม่แย่เท่าไร ขอให้ได้ออกเร็วๆ ทีเถอะ

    เอาจริงๆ สิ่งที่ได้ทำในวันแรกมีดังต่อไปนี้

    1. เจาะเลือด
    2. โดนยึดโทรศัพท์
    3. สวดมนต์ตอน 20.30 น.
    4. ให้อาบน้ำตอน 16.00 น.ซึ่งนี่ไม่อาบ ไม่แปรงฟันไม่ล้างหน้าด้วย เปรี้ยวป่ะล่ะ (กลิ่นตัว)
    5. อาหารอ่อนโคตรจืด
    6. ได้เพื่อนใหม่ชื่อ ต้น เพราะชอบ GOT เหมือนกัน
    7. แม่ต้นเอาขนมมาแจก แต่เราเพิ่งผ่าฟันคุดมาวันอาทิตย์ กินไม่ได้ แต่ก็เอากับเขาแล้วเก็บไว้ก่อน 3 ห่อ 555555



    Day 2 

    เริ่มต้นวันด้วยการออกกำลังกายแต่เช้าตรู่ที่เราให้ความร่วมมือแค่ 40% ด้วย 2 เหตุผล 1. ง่วง 2. จะให้มากระโดดตบอะไร เพิ่งผ่าฟันคุดมาวันก่อน

    หลังจากออกกำลังกายเสร็จก็เป็นเวลาของการอาบน้ำ เราต่อคิวจากพี่เตียงข้างๆ เพราะขอยืมครีมอาบน้ำพี่เขา(ใช้ความหน้าด้านล้วนๆ 55555) เช้านี้มีเหตุการณ์นิดหน่อย(มั้ง) คือน้องปลาเจ้าเก่ามาขอให้ช่วยปลดเชือกเสื้อให้(นึกภาพชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลออกใช่มั้ย มันจะเป็นเชือกๆ ผูกแทนกระดุม) ด้วยความไม่คิดอะไร เราก็ปลดให้น้อง พอปลดเสร็จเท่านั้นแหละ น้องปลาก็เปิดเสื้อโชว์เรา พยาบาลมาจับตัวเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน อรุณเบิกฟ้ากูมาก

    หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ไปกินข้าว ข้าวต้มกุ้งนะจ้ะวันนี้ มีกุ้งตั้ง 2 ตัวแหน่ะ น้ำตาจะไหล เพราะเคี้ยวไม่ได้

    กินเสร็จก็ไปคุยกับหมอ คุณหมอก็จะถามว่าเราเป็นไงบ้าง ยังมีความคิด ความรู้สึกแย่ๆ มารบกวนอยู่มั้ย เราอยู่ในนี้มีปัญหาอะไรรึเปล่า ซึ่งนอกจากอาการเสี้ยนโทรศัพท์กับกลัวน้องปลา เราก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว คุยกับหมอเสร็จก็กินยาหลังอาหาร เออ เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็น Bipolar II มันต่างกันยังไงก็ไมรู้ ช่างแม่มึง ไหนๆ ก็เป็นแล้วก็ต้องรักษาไปแหละ หลังจากคุยกับหมอ นั่งเล่นสักพัก ก็ได้ทำกิจกรรมกลุ่ม แต่ละวันจะมีกิจกรรมกลุ่มแตกต่างกันไป วันนี้กิจกรรมคือให้เล่าปัญหาตัวเอง แบบทุกคนนั่งล้อมกันเป็นวงแล้วพูดถึงปัญหากันยังกะในฉากนึงในหนังเรื่อง the fault in our stars แหน่ะ พอได้ทำกิจกรรมกลุ่มแล้วรู้สึกดีนะ รู้สึกว่า เห้ย ที่จริงไม่ใช่แค่เรานี่หว่าที่มีปัญหาชีวิต แบบรู้สึกว่าทุกคนล้วนมีปัญหา

    หลังจากทำกิจกรรมกลุ่ม เราก็ออกมานั่งเล่น เห็นต้นกำลังถือสมุดวาดรูป คือต้องอธิบายก่อนว่าต้นแขนมีปัญหา ยกแขนขวาไม่ขึ้นเพราะเคยไปรักษากับสถาบันจิตเวชแห่งหนึ่งแล้วเขามัดขึงไว้นานจนมันแย่ ต้นพยายามใช้มือโดยการหัดวาดรูป เราก็เลยมานั่งเล่นกับต้น บวกกับชอบเกมออฟโทรนเหมือนกัน คุยกันไหลลื่นเลย ต้นถามว่าเราชอบวาดรูปมั้ย เราบอกชอบ ต้นก็เลยให้เรายืมสมุดวาดรูปคืนนึง

    ขอย้อนกลับมาที่น้องปลาหน่อยเถอะ ไม่รู้อะไรของเราไปถูกใจนาง นางรักเราจนเรากลัว ตามเราตลอด มานั่งใกล้ๆ (แบบเบียด)ตลอด ถ้าไม่เจอก็ถามหาตลอด โอ้ยลูกกกก พี่กลัว ทำไงดี นี่ว่าจะปรึกษาหมอเรื่องนี้

    ล่าสุด เนื่องจากเตียงข้างซ้ายเราออกแล้ว เราโดนย้ายมาแทน ซึ่งตรงข้างกับเตียงน้องปลา โอ้วมายหลอด แต่ว่าคืนนี้เราคงไม่ได้นอนสบตากับน้องปลาหรอก เพราะน้องก่อคดี น้องไปกอดต้น เลยโดนจับมัดขึงแล้วให้ไปนอนแยกห้องเดี่ยว

    เสี้ยนโทรศัพท์มาก หนังสือ 2 เล่มก็อ่านจะจบแล้ว ทำไงดี

    หมอบอกว่าจะให้ออกวันเสาร์ ตั้งวันเสาร์!


    Day 3

    เมื่อคืนหนาวสัด หลับตั้งแต่ทุ่มครึ่ง ทำให้พบว่า ถ้าเราชิงหลับก่อนสองทุ่มครึ่ง เราก็ไม่ต้องไปสวดมนต์ อิ๊ หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จเราก็มานอนเล่น อ่านหนังสือของเราไปเรื่อย นี่ตั้งแต่ย้ายตำแหน่งเตียงมาตรงข้ามกับน้องปลานี่ต้องนอนคลุมโปงตลอด ไม่นอนคลุมโปงก็ต้องนอนชันเข่า เพราะไม่งั้นจะต้องได้สบตากับน้องปลาอยู่ตลอด เงยหน้าขึ้นมาทีไรเหมือนน้องตั้งตารอสบตาแล้วยิ้มให้เราตลอดเลย ถึงอย่างนั้นก็เถอะ วันนี้ตอนนอนกลางวัน น้องมาปลุกให้ไปกินข้าวตั้ง 2 ครั้ง ตอนเปิดตาขึ้นมาแล้วเจอหน้าน้องใกล้ๆ ก็ตกใจบอกไม่ถูก นี่ไหนจะตอนเราเข้าห้องน้ำ นางจะชอบมายืนรอตรงหน้าประตูแล้วยิ้มให้ โอ้ยยยย ใจจะวายยย พูดอะไรถูกใจก็ shake hand แล้วจูบมือกูอีก ฮืออออ ไปไหนก็ไปด้วย รักอะไรพี่ขนาดนั้นลูกกกก

    เปลี่ยนเรื่อง วันนี้ไม่กินข้าวต้มละ เบื่อ ยอมเจ็บเหงือกนิดหน่อยแลกกับการได้กินแกงเขียวหวาน เจริญอาหารขึ้นมานิดนึง

    วันนี้ได้ไปนั่งคุยกับนักจิตวิทยาด้วย มันจะช่วยให้เราดีขึ้นใช่มั้ยวะ

    ยังคงเสื้ยนโทรศัพท์เหมือนเดิม

    และวันนี้! ไม่ว่าจะยังไง เราต้องได้ผ้าห่ม 2 ผืนให้ได้ เพื่อการหลับสนิทตลอดคืน

    ย้อนกลับไป วันนี้หลังจากที่กลับมาจากคุยกับนักจิตวิทยา ก็พบว่าน้องปลาโดนจับมัดขึงกับเตียง เหตุผลที่น้องโดนจับมัดขึงครั้งนี้ก็เพราะว่าไปกัดแขนต้น ทำให้ต้นทั้งต้องไปฉีดยากันบาดทะยัก กินยาฆ่าเชื้อ(จากเดิมที่กินยาเยอะอยู่แล้วก็เยอะไปอีก) และเจาะเลือดไปตรวจ

    จริงๆ น้องปลาเป็นคนที่น่าสงสารนะ ตอนเราเข้ามาวันแรก ภาพแรกที่เราเจอน้องปลาคือ น้องกำลังอาละวาด โดนเจ้าหน้าที่ 5-6 คนมัดขึงอยู่กับเตียง น้องทั้งกรี๊ดทั้งร้องไห้ ทำเอาเรารู้สึกกลัวน้องไปเลย จนกระซิบขอพยาบาลย้ายห้อง แต่หอพักผู้ป่วยจิตเวชมีแค่ 2 ห้อง คือห้องผู้ป่วยชาย กับห้องผู้ป่วยหญิง เราเลยย้ายไม่ได้ แรกๆ น้องก็ถามชื่อเรา เราก็ต้องแบบกล้าๆ กลัวๆ แต่ด้วยความที่น้องไม่เคยทำอะไรเรา เราเลยไม่กลัวมากเท่าไร ยิ่งพอได้รู้ว่าน้องเจออะไรมาเรายิ่งสงสาร น้องโดนพ่อเลี้ยงข่มขืนมา ทำให้เรารู้สึกสงสาร ไม่ทำไม่ดีกับน้องเวลาที่น้องทำตัวตามติดเรา

    วันนี้ตอนทำกินกรรมกลุ่ม น้องพูดคำหยาบขึ้นมา เช่น หีๆ เย็ดๆ ประมาณนี้ พี่พยาบาลก็เลยสอนน้องว่า ‘เป็นผู้หญิงไม่ควรพูดคำแบบนี้ ควรรักนวลสงวนตัว ร่างกายเราต้องไม่ไปเปิดโชว์ให้ใครดู’ แล้วน้องก็พูดขึ้นมาว่า ‘แต่พ่อเลี้ยงเคยเห็นของหนูหมดแล้ว’ น้องพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงปกติ แต่สิ่งที่น้องพูดออกมามันไม่ใช่เรื่องปกติ เราสะเทือนใจมาก เป็นเรื่องที่ทำเรารู้สึกเศร้าที่สุดในวันนี้แล้ว

    เราได้คุยกับพี่ก้อย(นามสมมติ) ตอนน้องปลาไม่อยู่ พี่ก้อยเล่าว่า แม่ที่มาเฝ้าน้องปลาทุกวันไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่เป็นป้า ส่วนแม่แท้ๆ ก็อยู่กับครอบครัวใหม่ พ่อเลี้ยงก็โดนจับเข้าคุกแล้ว พ่อแท้ๆ ก็มาเยี่ยมบ้าง แต่ตัวเขาเองก็ติดเหล้า กำลังบำบัดอยู่ ป้าที่น้องปลาเรียกว่าแม่ได้พาน้องไปฝังเข็มเพื่อคุมกำเนิดไว้ 3 ปี และจะพาไปทำหมันเมื่ออายุถึง ป้าบอกจะเลี้ยงน้องไปจนน้องแต่งงานมีครอบครัว ส่วนตัวป้าเองไม่มีลูกไม่มีสามี



    to be continued…

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in