Kindle Edition
726 pages
Published April 26th 2018 by Tal Bauer
*เนื้อหาด้านล่างมีการวิเคราะห์เนื้อเรื่องและอาจมี spoil*
*edit: 06/12/22*
ก่อนจะรีวิวเรื่องนี้ต้องหายใจเข้าลึกๆ เพราะในเจ็ดร้อยกว่าหน้าที่อ่านใน Kindle มีเรื่องราวเกิดขึ้นเยอะมาก เยอะมากๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเวลามากกว่าสิบห้าปีนับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 ตั้งแต่ครั้งแรกที่คริสพบเดวิดที่อัฟกานิสถาน ตอนที่ทั้งคู่พรากจากกัน และกลับมาพบกันอีกครั้ง
ต้องเล่าก่อนว่าเรื่อง Whisper เป็นเรื่องสปินออฟมาจากเรื่อง Hush ซึ่งเป็นเรื่องของไมค์และทอม(เล่าถึงความรักระหว่างนายตำรวจกับผู้พิพากษาและการเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีรัสเซีย(สนุกมาก)) คริสถูกเกริ่นไว้สั้นๆว่าเป็นเพื่อนสนิทของไมค์ เขาเป็นพ่อหม้ายและสามีของเขาชื่อเดวิดตายในสงคราม ด้วยบุคลิกที่โฉบเฉี่ยวและชอบหว่านเสน่ห์ ถึงคริสจะออกมานานๆทีแต่เขาเป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก จนเราได้มาทำความรู้จักกับคริสในเล่มของเขา แต่เรื่องจะเริ่มต้นย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อประมาณ 15 ปีก่อน
ปี 2001, 11 กันยายน วันที่ คริส แคลเดรา รู้สึกว่าเขามีส่วนรับผิดชอบในเหตุการณ์ครั้งนั้น เหตุการณ์ที่ฆ่าคนบริสุทธิ์นับพันๆคน ความรู้สึกผิดเกาะกินจิตใจตามคริสไปจนถึงอัฟกานิสถาน เด็กหนุ่มจากเปอร์โตริโกที่ความสนุกในชีวิตขับเคลื่อนเขาให้เรียนรู้ภาษาอย่างที่น้อยคนจะทำได้ สเปน อารบิก เปอร์เซีย ดารี รัสเซีย คริสพูดและเข้าใจพวกมันได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อทำเนียบขาวจำเป็นต้องลงมือ
คริสจึงกลายเป็นเจ้าหน้าที่ CIA เพียงคนเดียวในทีมที่ไม่ใช่ทหาร ไม่เคยผ่านสนามรบ เขาต้องทำหน้าที่เป็นล่ามและคอยวิเคราะห์ข่าวกรองที่จะนำไปสู่การจับกุม อุซามะฮ์ บิน ลาดิน
"อย่าให้ใครมากำหนดชีวิตของนาย คริส อย่าให้ใครมากำหนดความเป็นตัวตนของนาย
พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจ อย่ายอมจำนนกับมัน"
ช่วงแรกของเรื่องทำให้เราได้เห็นถึงสิ่งที่คริสถูกปฏิบัติจากคนรอบข้าง สิ่งที่สังคมมองคนอย่างคริส คริสรู้สึกว่าเขากำลังถูกประเมินค่า ถูกทดสอบอยู่ตลอดเวลา ทั้งทริปที่อัฟกานิสถานจนกลับมาถึงวอชิงตันดีซีเราจะเห็นคนที่พยายามขัดขวางคริสทุกอย่าง เหตุเพราะสิ่งที่คริสเป็นและผลประโยชน์ทางการเมือง ทุกอย่างมันน่าอึดอัดมากๆ ไม่ว่าทำอะไรก็จะโดนจับผิด โดนตั้งแง่ มีข้อกังขากับความสามารถของคริสเพียงเพราะว่าเขาเป็นเกย์
เป็นเกย์แล้วยังไง? คริสเชื่อมั่นมาตลอดว่าทุกคำพูด ทุกการกระทำที่คนรอบข้างตัดสินเขา เขาจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น เขาจะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพียงเพื่อจะเป็นที่ยอมรับของใคร ในเมื่อเขาทำหน้าที่ของเขาอย่างสุดความสามารถและทำออกมาได้อย่างโดดเด่น ไม่ว่าคริสจะแต่งตัวแบบไหน ชอบผู้ชายหรือไม่ เขาจะไม่ยอมให้ใครมาตัดสินเขาเพียงเพราะสิ่งที่เขาเป็น ตัวตนของเขา นี่เป็นสิ่งที่เราคนอ่านรู้สึกว่า Tal Bauer(ผู้แต่ง) พยายามสื่อออกมาตลอด
"ฉันเห็นผู้ชายที่ฉันห่วงใย" เดวิดกระซิบ "คนที่ฉัน—" เขาเม้มปากแน่นสนิท นิ้วโป้งลูบไปมาบนแก้ม
ของคริส เช็ดหยาดน้ำตาออกไป "ฉันเห็นนาย ฉันเห็นคนที่เป็นข้อยกเว้นของทุกอย่าง"
เดวิด หรือ ดาวูด แฮดแดด เป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก เขาเป็นหนึ่งในทีมแพทย์ทหารที่ทำงานร่วมกับทีมของคริส เดวิดเป็นคนที่น่าเชื่อถือ มั่นคง พึ่งพาได้ เขาทะนุถนอมดูแลคริสเป็นอย่างดีตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้ายของเรื่อง ตอนอายุ 10 ขวบ เดวิดกับแม่ลี้ภัยจากลิเบียมายังสหรัฐอเมริกา เขาเป็นทั้งคนอาหรับและอเมริกัน เป็นคนมุสลิมและเป็นเกย์ ทุกอย่างที่เป็นตัวตนของเดวิดมันช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน จนเดวิดได้มาพบคริส คริสเป็นคนที่ค่อยๆประสานรอยร้าวในใจของเขาอย่างอ่อนโยน เป็นคนที่ทำให้เขาโอบรับความแตกต่างที่เป็นตัวตนของเขาเอาไว้ด้วยกันได้
หนังสือเรื่องนี้นอกจากความรักระหว่างคริสและเดวิดก็มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องศาสนาที่เรียกได้ว่าเป็นแก่นของเรื่อง ตอนแรกค่อนข้างลังเลใจหลังจากอ่านรีวิวก่อนซื้อเพราะเรามองว่ามันออกจะน่าเบื่อและไม่น่าสนใจ การก่อการร้าย? สงคราม? การเมือง? ศาสนา? ทั้งหมดนี้มันควรจะอยู่ในหมวด MM Romance จริงๆเหรอ? มันจะสนุกได้เหรอ? สงคราม การพลัดพราก และความสูญเสีย ตอนเหตุการณ์ 9/11 เราอายุยังไม่ถึงขวบด้วยซ้ำ นี่คงไม่ใช่สิ่งที่จะอ่านแล้วดีต่อใจแน่ๆ
แต่พอได้อ่านจนจบแล้วรู้สึกว่าหนังสือเรื่องนี้เปิดโลกมากๆ Tal Bauer กำลัง educate คนอ่านผ่านตัวละครและเรื่องราวของเขา โดยส่วนตัวเรารู้จักศาสนาอิสลามอย่างผิวเผิน เคยมองว่าอิสลามมีแต่ความรุนแรง ที่มีปัญหากันอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเพราะรากฐานของศาสนาเขาหล่อหลอมให้คนเป็นแบบนั้นหรือเปล่า? จนเราตระหนักได้ในช่วงท้ายเรื่องที่คริสบอกกับไรอันว่า ทุกศาสนาทั้งฝั่งตะวันตกและอิสลามมันก็มีทั้งฝ่ายซ้ายและขวานั่นแหละ ชาวอิสลามที่ถูกตีตราว่าเป็นพวกหัวรุนแรงเพียงเพราะในตอนนี้เสียงที่ดังที่สุดใม่ใช่เสียงของความถูกต้อง คนอีกหลายล้านคนย่อมมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำป่าเถื่อนของผู้ก่อการร้าย ความรักและความเข้าใจเหมือนที่คริสมีต่อเดวิดเป็นคำตอบของทุกๆอย่าง
ตัวละครรองลงมาทั้งไรอัน จอร์จ แดน ผู้อำนวยการCIA ไปจนถึงประธานาธิบดี ขอปรบมือเลย ทุกคนทำให้เรารู้สึกทั้งโกรธ หงุดหงิด ว่า เอ้ย ทำไม่ทำแบบนี้ พูดแรงไปไหม กับรู้สึกปลง/สะท้อนใจ ว่า เออดี อย่างน้อยก็คิดได้ เรื่องนี้มีคนดีเลวปนกันไป บางคนก็เหมือนจะดีปรากฎว่าไม่ใช่อย่างที่คิดแฮะ555 ทุกคนถูกสร้างมาเพื่อทดสอบคริสจริงๆ จนบางทีเราอยากจะกอดคริสแน่นๆแล้วบอกว่าสู้ๆนะ ผ่านมันไปให้ได้ spoil โดยเฉพาะตอนเดวิดตาย ถึงแม้คริสกับเดวิดจะแต่งงานกันแล้วก็จริงที่แคนาดา แต่ในตอนนั้นอเมริกายังไม่มีกฏหมายรองรับ มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากๆ คริสไม่แม้แต่จะได้ดูศพเดวิดด้วยซ้ำ คริสไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้เลยเพราะทุกคนถือว่าคริสไม่ใช่ next of kin เราอ่านถึงตอนนั้นเราทั้งโกรธ เศร้า และเจ็บปวดไปพร้อมกับคริส นี่คิือตัวอย่างของความทุกข์ของชาว lgbtq+ ความไม่เท่าเทียมนี้มันถูกต้องแล้วเหรอ?
If you are gone, my love, then I will follow you. I won’t let you go again.
Never, ever, again.
If you breathe your last breath, the very next will be my last as well.
you are the moon that rises in my darkness
ความสัมพันธ์ระหว่างคริสกับเดวิดมันพิเศษมากๆ ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ มันลึกซึ้งจนเราคงเก็บไปคิดอีกนาน อาจมีบางการกระทำของตัวละครที่เราไม่ชอบใจแต่ก็รู้สึกว่ามันเป็น flaw ของตัวละคร ไม่ว่าคริสกับเดวิดจะตัดสินใจแบบไหนแต่เราก็เข้าใจได้ว่ามันคือความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ละคนรับมือกับความทุกข์ไม่เหมือนกันยิ่งเมื่อดึงเรื่องศาสนาเขามาผสมด้วย spoil เหมือนตอนที่ทั้งคู่รับมือความตายของอีกฝ่ายต่างกัน เดวิดที่หันไปหาอัลเลาะห์อย่างเต็มตัว กับคริสที่ fuck through DC หวังให้ลืมความเจ็บปวด
เรื่องนี้ HEA (Happy Ever After) ถึงแม้จะล้มลุกคลุกคลานระหว่างทาง แต่เหมือนเราได้โตไปพร้อมกับตัวละครและตั้งข้อสงสัยกับสังคมทั้งเรื่อง lgbtq+, ศาสนา, ความรักและการจากลา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in