ปีที่สองแล้วที่ได้เอารีวิวเล็กๆน้อยๆของตัวเองมาลงใน minimore ปีนี้เก็บได้ครบ! ดีใจมากที่โรงไทยเอาหนังเข้าครบทุกเรื่อง ถึงแม้ three billboards จะเข้าหลังวันประกาศ
หลังจากตื่นมานั่งดูพรมแดงตั้งแต่ 7 โมง และลุ้นกับทุกๆสาขา เราก็อยากจะนำความคิดของตัวเองต่อหนังแต่ละเรื่องมาแชร์ให้ทุกคนฟัง เป็นเวอร์ชั่นแบบสั้นๆและไม่มีสปอยนะคะ 55555
(ลำดับเรียงตามเวลาที่เราดูนะคะ)
"Life can become a bad joke."
เปิดมาเรื่องแรกก็ชอบเลย55555 เป็นเรื่องที่อยากให้ชนะมากๆ พล็อตเรื่องดีมากกก dialogue หรือ ทุก action มันมีความหมาย มีดีเทลแฝง ฉากที่ชอบมากๆ คือฉากพระเอกบนเก้าอี้กับฉากซีเรียล ต้องไปดูเอาเองเนอะ อันนี้พยายามพูดแบบไม่สปอย5555 ประเด็นที่หนังสื่อออกมาเผ็ดแสบมาก เป็นประเด็นผิวสีที่สุดโต่งมากๆ คนเขียนบทเค้าไอเดียดีจริงๆ จุดหักมุมคือเรียกว่าพีค! เรื่องนี้ jump scare แอบเยอะพอสมควร ไม่ได้มีบรรยากาศน่ากลัว แต่ทำให้ตกใจมากกว่า นักแสดงเล่นดีทุกคนเลย ให้ไล่พูดทุกคนก็คงจะไม่ไหว ตัวประกอบยังเผ็ดอะพูดเลย แต่ขอพูดถึง daniel kaluuya กับ นางเอก (Allison Williams) ล่ะกัน เราชอบเคมีของทั้งคู่มากตั้งแต่เปิดเรื่อง เดเนียลเล่นดีมากๆ แบบที่ทำให้เรารู้สึกตามได้ทุกฉาก ความรู้สึกแบบชิบหายแล้ว ไรงี้ คือลุ้นตามจริงๆ เป็นเรื่องที่แนะนำมากๆ ไม่อยากให้พลาดเรื่องนี้เลย ส่วนตัวเชียร์ให้เรื่องนี้ได้ best picture นะ กับรางวัล original screenplay ซึ่งก็ดีใจที่ได้คว้ารางวัลอันหลังมาจริงๆ
"Survival is not fair."
เป็นเรื่องที่หนังเต็มไปด้วยผู้ดีอังกฤษค่ะ! เย้ย ไม่ใช่แล้วว หนังของป๊าโนแลน (Christopher Nolan) ต้องทำให้ไม่ผิดหวังอยู่แล้วเนอะ โนแลนได้เสนอชื่อเข้าชิงผู้กำกับเป็นปีที่สามแล้ว ส่วนรางวัลจากสถาบันอื่นๆก็เก็บมานับไม่ถ้วน ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องความเป๊ะของเอฟเฟค,visual,และไอขโมงของความเป็น film noir ที่โดดเด่นที่สุดไม่ว่าจะหนังกี่เรื่องของโนแลน คือเรื่องของ theme ‘เวลา’ นั้นเอง Dunkirk เป็นเรื่องที่มีไทมไลน์เวลาที่โดดเด่นมาก แบ่งตัวเนื้อเรื่องออกเป็นสามช่วง หลายคนอาจจะบอกว่า Dunkirk เป็นหนังที่ดูง่ายเมื่อเทียบกับ Inception, Interstellar แต่เราขอเถียง55555 ยอมรับว่าไอเดียของโนแลนมันล้ำสมัยและดูมีอะไรมากกว่าหนังทั่วไป แต่เรากลับไม่ค่อยอินมากเท่าเรื่องอื่นๆของโนแลนนะ ดันเคิร์คเป็นหนังเน้นการเอาตัวรอด ความสะบักสะบอมของตัวละครล้วนๆ โดยไม่ได้ปูแบคกราวมากเท่าไหร่ ซึ่งเราก็เข้าใจว่านั้นคงเป็นสิ่งที่เค้าต้องการ เพราะเสียงประกอบ เอฟเฟค ภาพ และ สกอร์หนังคือบิ้วด์อารมณ์และทำออกมาได้สมจริงมากๆ แต่ถึงอย่างนั้นเรารู้สึกถึงความเรียลและความตื่นเต้นตอนดูในโรง แต่เมื่อเดินออกจากโรง เรากลับไม่มีอะไรมาตราตรึงใจนอกจากเอฟเฟคพวกนั้นเท่าไหร่ แต่เราก็ชื่นชมในภาพ เอฟเฟค ความสามารถของโนแลนและความหล่อของทุกตัวละคร 555555 เรื่องนี้ควรค่าแก่การชนะ Sound Editing จริงๆ คอนเฟิร์ม!
"Call me by your name and i'll call you by mine."
โอ่ยย หนังในดวงใจมากค่ะเรื่องนี้ ปริ่มมากกกกก ตั้งแต่เพลงขึ้นตอนแรกและเปิดฉากแรกออกมา คือเรารู้สึกได้เลยว่าเราจะต้องตกหลุมรักหนังเรื่องนี้แน่ๆ เรารักความละมุนละไมและความละเอียดอ่อนของหนังเรื่องนี้มาก ต้องขอออกตัวก่อนนิดนึงว่าเราได้มีโอกาสอ่านหนังสือเรื่องนี้จบก่อนหนังจะเข้าฉากที่ไทยด้วย เลยทำให้ค่อนข้างอินและเฝ้ารอเรื่องนี้เป็นพิเศษ สำหรับเรา call me by your name ไม่ใช่หนังเกย์ แต่มันเป็นหนังที่พูดถึงความรักที่สวยงาม รักแรกพบครั้งนึงที่ยากที่จะลืม เป็นหนังที่เน้น coming of age มาก เหมือนพระเอกได้รุ้จักตัวเอง ได้ลองผิดลองถูก หนังถูก drive หลักๆจากเคมีของสองตัวละคร ดังนั้นมันจำเป็นมากๆที่ทั้งสองคนต้องมีเคมีที่ดี ซึ่งบอกได้เลยว่าทั้ง Timothée Chalame และ Armie Hammer ทำออกมาได้สวยงามและสมบูรณ์แบบมาก ทีโมธีเล่นดีมากกกก เราประทับใจทิมมี่จากเรื่องนี้จริงๆ และต่อจากนี้ก็คงจะกลายเป็นติ่งและคอยติดตามเรื่องอื่นๆของทิมมี่อย่างแน่นอน 55555 มีฉากที่เราจำได้ไม่ลืมหลายฉาก ไม่ว่าจะเป็นฉากในทุ่ง ฉากที่เดินรอบรูปปั้นนี้เป็นฉากโปรดของเราเลย ตัวโทนเสียง dialogue บรรยากาศรอบตัวเหมือนร่ายมนต์ออกมาจากหนังสือ จังหวะเพลงก็ขึ้นพอดีมาก อีกฉากที่เราเชื่อว่าทุกคนจะต้องชื่นชมคือฉากคุยกับพ่อจนไปถึงฉากจบเรื่อง ยอมรับว่าการอ่านหนังสืออาจจะทำให้อินกว่า ด้วยความที่หนังสือเราอ่านจากมุมมองของเอลิโอ ทำให้เราอินกับทุกความรู้สึกของเค้า แต่เรารู้สึกว่าทีโมธีทำหน้าที่ตรงนี้ผ่านฉลุย สายตาและ body language ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของทีโมธี และเอาจริงๆนะ มีหลายอย่างที่หนังทำได้ และหนังสือทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นการแพนกล้องไปที่ต้นพีชบ่อยๆ เพื่อแสดงถึงความ symbolic หรือฉากเต้นสองรอบที่ใช้เพลงเดียวกัน ในหนังสือก็ไม่สามารถเล่าเรื่องผ่านวิธีการนี้ได้ ปริ่มอีกอย่างคือภูมิใจในผุ้กำกับภาพคนไทย สยมภู มุกดี ที่สามารถทำให้เนรมิตบรรยากาศ summer love ผ่านทางกล้องฟิล์มได้อย่างหาที่ติไม่ได้ เรื่องนี้เข้าชิงออสการ์ถึง 5 รางวัล เราเชียร์ไปเลย 4 (Best Picture, Best Adapted Screenplay, Best Actor, Original song - Mystery of Love) ส่วน directing ขอนอกใจไปเชียร์เรื่องอื่นนะ เรื่องไหนเดี๋ยวมาว่ากัน 55555
"We could not discuss with the tiger when we're living in its mouth."
หนังที่ส่ง Gary Oldman คว้ารางวัล Oscar ตัวแรกของเค้าไปครอง แกรี่ขึ้นชื่อในเรื่องของการสวมคาแรคเตอร์ที่แทบจะแปลงโฉมทั้งตัวไม่ว่าจะเสื้อผ้าหน้าผมยัน accent เรารู้จักแกรี่จากตอนที่แกรี่มาเป็น Serius Black ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ และบอกได้เลยว่าจำหน้าจริงๆของพี่แกไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะเรื่องอื่นนี้ยังกับคนละคน5555 เรื่องนี้ก็เหมือนกัน แปลงโฉมแบบสุดๆ แกรี่รับบทเป็น Winston Churchill นักการเมืองเจ้าอารมณ์ที่แทบจะแบกรับเรื่องหนักอึ้งไว้บนไหล่สองข้างของตัวเอง ถึงแม้เราจะเชียทีโมธีสุดแรงเกิด แต่ก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มันสร้างมาเพื่อให้แกรี่ชนะจริงๆแหละ หนังมีการ close up หน้าแกรี่บ่อยมาก (ไม่แปลกใจที่เมคอัพจะชนะไปด้วย ถึงแม้เราจะไม่ได้เชียเมคอัพเรื่องนี้ก็ตาม 5555) แกรี่แทบจะอุ้มหนังไว้ทั้งเรื่อง นอกจากตัวแกรี่ เราค่อนข้างชอบบทของเลขาด้วยนะ เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนของเรื่องเหมือนกัน ที่ความคิดเห็นของเธอดูจะมีผลต่อความรู้สึกของแกรี่ เราไม่ได้อินกับตัวหนังมากหนัก อาจจะเป็นเพราะหนังใช้วิธีเล่าเรื่องเรียบๆ เน้นการแสดงของแกรี่และความกดดันเป็นหลัก และเรายังเข้าไม่ถึงอารมณ์ของหนังเท่าไหร่ แต่เราขอชมมุมกล้องของหนังเรื่องนี้ สวยมาก ยิ่งฉากที่มันจะขึ้นบอกเวลากับวันที่อะ แบคกราวจะสวยมากๆ
"The only way to protect the right to publish is to publish."
ตั้งแต่ดู trailer เรารู้สึกว่าเรื่องนี้ให้กลิ่นอายความเป็น spotlight มากๆ ด้วยตัวพล็อตเอ่ยอะไรเอ่ยแล้ว ซึ่ง spotlight เป็นหนังที่ได้คว้ารางวัลออสการ์ไปแล้วในปี 2016 เมื่อเข้าไปดู the post แล้ว เป็นหนังที่เนื้อหาเครียดค่อนข้างน้อยกว่าspotlight มีประเด็น feminist มุกตลกจิกกัดประปลาย บางช่วงถ้าหลุดๆ อาจจะดูตามยากบ้าง แต่ไม่ถึงกับไม่รู้เรื่อง การแสดงของทั้ง Meryl Steep และ Tom Hanks แทบจะไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะไร้ที่ติมาก ในช่วงยุคปัจจุบันที่ยอดหนังสือพิมพ์เริ่มถอยตัวลง คนให้ความสนใจน้อยลง แต่ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อเป็นสิ่งที่ powerful มาก การจะตีพิมพ์สิ่งๆหนึ่งมันมีผลที่จะตามมาได้อีกร้อยแปด ในประเด็นนี้ หนังสื่ออกมาได้ดีมาก Meryl เป็นคนที่ถ่ายทอดตัวละครออกมาได้ดูใจเย็นแต่ก็รู้สึกถึงสิ่งที่เธอแบกรับไว้อยู่ แต่ถึงอย่างไรเราก็รู้สึกว่าหนังยังให้อะไรเราไม่สุดเท่าไหร่ เหมือนยังไม่สามารถดึงดูดเราได้ 100 เปอร์เซ็น ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมตลอดเวลา ยังมีช่วงเอือยและเนือยบ้างสำหรับเรา
"When he looks at me, the way he looks at me, he does not know what I lack or how I am incomplete."
เปิดมาฉากแรก เราก็หลงรักเพลงประกอบเรื่องนี้ทันที ทุกอย่างเหมือนถูกต้องมนต์ตั้งแต่ฉากแรกว่าฉากอื่นหลังจากนี้จะไม่หลุดโฟกัสไปไหนเด็ดขาด ตัวฉากเปิดมีความน่าสนใจและดูเทพนิยายมากๆ ชอบๆ เราประทับใจที่หนังไปสุดมากๆในเรื่องของไอเดีย ทุกอย่างมีความ creative ถึงแม้ตัวบทจะ simple แต่องค์ประกอบของหนังตระการตามาก เอาง่ายๆคือเป็นหนังที่นานแต่เราไม่รู้สึกเบื่อเลยนะ ชอบดีเทลเล็กๆของหนัง เช่นฉากนางเอกนั่งบนรถเมย์ในแต่ละครั้ง มันมีดีเทลที่เปลี่ยนไปในแต่ละครั้ง อันนี้ต้องเข้าไปดูกันเอง ชอบความสัมพันธ์ของนางเอกกับทุกตัวละคร ไม่ใช่แค่กับพระเอก แต่เป็นกับทุกๆบทบาทที่อยู่รอบตัวนางเอก ทุกตัวละครเป็นตัวแทนของ outliers หรือคนชายขอบ ไม่ว่าจะเป็นเกย์ คนผิวสี เนิร์ด หรือคนพิการ แต่หนังทำให้ออกมาดู positive ถึงแม้จะมีประเด็นแสบๆอย่าง sexual harrasment in workplace หรือ domestic violence หนังก็ทำให้เรารู้สึกว่าคนที่โดนกระทำ สู้ และนั้นคือสิ่งที่สังคมเราควรจะโฟกัสและช่วยกัน สู้ ปัญหาเหล่านี้ซักที เราประทับใจใน Guillermo del Toro (ผู้กำกับ) ตั้งแต่รู้แรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องนี้ของเค้าแล้ว กล่าวคือเจ้าตัวได้ดูหนังเรื่อง Creture from the Black Lagoon ตอนเด็ก และรู้สึกผิดหวังที่สัตว์ประหลาดไม่ได้รักกับนางเอก เพียงเพราะตัวเองเป็นสัตว์ประหลาด เดล โตโร่เลยอยากสร้างหนังที่ทำให้เห็นว่าการที่เราแตกต่างหรือมีรูปลักษ์ไม่เหมือนคนอื่น ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สามารถรักใครซักคนได้ ดีเทลภาพแต่ละฉาก เดล โตโร่ก็เอาอยู่ เป็นการเนรมิตโลกบนดินใต้น้ำ (?) ที่สวยงามมากๆ ดีใจจริงๆที่เดล โตโร่ชนะ ส่วน Sally Hawkins (นางเอก) ก็ทำให้เราประทับใจได้จริงๆ เรารู้สึกว่าเธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้โดยไม่ต้องพูดซักคำ เป็นคนที่เวลาเคลื่อนไหวแล้วมีเสน่ห์มากๆ ถึงเราจะเชียร์ผู้กำกับ นักแสดงนำหญิง แต่เราไม่ได้เชียร์ให้เรื่องนี้ได้ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมนะ เราขอหักคะแนนหนังตรงที่background story relationship ของนางเอกกับพระเอกมันรวดเร็วไปหมด มันไม่สตรองพอ ทำให้เราไม่สามารถอินกับตรงนี้ได้เต็มที่
"Don't you think it's the same thing, love and attention?"
เป็นหนังที่ simple แต่มันมีความเรียลมากๆ ให้กลิ่นอาย nostalgic (หวนถึงวันเก่าๆ) Greta Gerwig เลือกช่วงเวลาได้เข้ากับเรื่องมาก ช่วงรอยต่อระวัง high school ไปมหาลัยเนี่ยแหละ เป็นช่วงที่วัยรุ่นจะได้เจอกับการเปลี่ยนแปลงมากมาย เป็นช่วงที่เล่น coming of age ได้ดีมาก เราชอบที่ทุกตัวละครเป็นสีเทา ไม่มีขาวและดำ ไม่ว่าจะเป็นแม่ ตัวเลดี้เบิร์ด แฟนนางเอกไม่ว่าจะเป็นคนแรกหรือคนที่สอง (น้องทิมมี่ที่รักกก5555) ทุกคนไม่ได้ดำล้วนและขาวล้วน แค่ทุกคนมีจุดหมายที่ต่างกัน ซึ่งตรงนี้มันเรียลมากจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นการดำเนินเรื่องที่เรียบง่าย แต่ตัวละครคือจุดดึงความสนใจไว้ เราแอบขัดใจช่วงที่นางเอกเป็นวัวลืมตีนเรื่องเพื่อนนิดนึง มันดูเป็นอะไรสำเร็จรูปไปหน่อย ไม่อินและขัดใจนางเอกมากๆ ดีนะ ที่หนังมันเปลี่ยนเรื่องค่อนข้างไว เล่าเรื่องเร็ว แต่ตามทันง่ายและรายละอียดย่อยก็ไ่ม่ได้หายไป Saosire Ronan เป็นคนที่มีเสน่ห์มากนะ บทมันส่งให้เรารักนางเอกได้แบบไม่รู้ตัวเลย555 เราชอบที่นางเคยให้สัมภารณ์ว่าช่วงถ่ายทำ ถ้ามีสิวขึ้นก็ไม่ได้รักษาจริงจังหรือทาคอนซีลเลอร์ปิด เพราะรู้สึกว่ารอยสิวพวกนี้แหละคือความเป็นวัยรุ่น! (คิดถูกแล้วค่ะ ทุกวันนี้จะผ่านมานานแค่ไหน ดิฉันก็มีปัญหาเรื่องสิวไม่หยุดหย่อนซะที5555) ดีใจกับ Greta ด้วยที่เป็นผู้กำกับหญิงที่ได้เข้าชิง อ่อ ชอบเพลงประกอบเรื่องนี้มากก โหลดไว้หลายเพลงเลย5555 ตัวภาพก็สวย จริงๆเราชอบ screenplay ของเรื่องนี้ด้วยนะ แต่ก็ยังแพ้ getoutสำหรับรางวัลนี้ ถึงตัวหนังจะsimple, มีฉากน่าขัดใจบ้างบางตอน แต่ด้วยความเรียล เป็นหนังที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาด
"A house that doesn't change is the dead house."
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ออกมาไม่เหมือนที่คิดไว้เลย มันดีและสวยงามกว่าที่วางภาพไว้ในหัวอีก55555 เป็นอะไรที่ซับซ้อนและน่าค้นหามาก เวลาเขียนรีวิวถึงเรื่องนี้อยากจะหา adjective สวยๆมาวางเรียงกัน ทั้งพระเอก นางเอก และพี่สาวพระเอก คือเฉิดฉายความเป็นตัวเองออกมาและทำให้เราตื่นตากับการแสดงของทั้งสามได้ตลอดเวลาเลย ฉากโปรดของเราคือฉากที่พระเอก (Daniel Day-Lewis) เดินไปตามนางเอก (Vicky Krieps) ที่งานเลี้ยงปีใหม่ มันตีความได้เยอะ ภาพก็สวย สกอร์นี้ทำดีมาก จริงๆเราชอบสกอร์เรื่องนี้มากๆ เป็นเรื่องที่เชียร์เลย เสียงแก้ว เสียงผัดเห็ด แค่นั้นมันยังมีความหมายเลยอะ แล้วยิ่งช่วงท้ายๆของเรื่องทุกอย่างมันออกมาแบบไม่เหมือนที่คิดไว้เลย เป็นหนังที่มีความ artistic มาก เล่าความรักของ relationship ที่เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่แต่ก็ปราณีตเหมือนกับเสื้อผ้าในเรื่อง ส่วนเรื่องเสื้อผ้านี้ไม่ต้องเถียง ยังไงก็ต้องชนะอะ พระเอกเป็นคนตัดชุดนะคุณ5555 แล้วคือแดเนียลเป็นคนที่แก่แต่ยังมีเสน่ห์มาก ส่วนนางเอกนี้อยู่เฉยๆจะไม่สวยเลย แต่พออยู่ในชุดของพระเอกออกมาสวยมาก ยอมจริงๆ บางช่วงอาจจะตึงเครียดและกดอารมณ์หรือเข้าถึงยากไปหน่อย แต่ร่วมๆแล้วก็ชอบเลย
"Hatred never solves anything, but thoughts did, and calm did."
สุดท้ายยย เป็นเรื่องเดียวที่เข้าหลังวันประกาศออสการ์เลยนะเนี่ย5555 พล็อตเรื่องนี้มีแก่นหลักอันเดียวโดดๆเลย พล็อตแอบทำให้รู้สึกเหมือนดูหนังใน netflix ไปหน่อยที่จริง ._. 5555 แต่เรื่องตัวบทกับอารมณ์ของหนังคือเหนือกว่าตัวพล็อตนะ ต้องยอม Frances McDormand จริงๆอ่ะ เค้าเอาบท monologue dislogue อยู่หมดเลย สีหน้าคือต้องดูสตรอง แววตาต้องดูเศร้าแต่ก็สู้ เราชอบฉากที่นางตะโกนว่า ร็อบบี้! มาก ไปดูเอาเอง ฉากนั้นคือเอาคะแนนจากเราไปเต็มๆเลยอ่ะ เราชอบที่หนังมันไม่มี protagonist antagonist (ตัวดี ตัวร้าย) ที่ชัดเจน เรารู้สึกว่าทุกคนก็ทำเต็มที่ในจุดของตัวเอง ทำตามที่สมองมันสั่งมา ชอบตั้งแต่หัวหน้าตำรวจ รองตำรวจ (Sam Rockwell) ลูกคุณป้า ยันพนักงานขายบิลบอร์ด หนังแฝงข้อคิดไว้เยอะมาก เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ประเด็นเข้มข้น แต่แสดงออกมาในมุมมองของนักสู้คนหนึ่ง ประทับใจๆ รู้สึกอยากดูต่อไปเรื่อยๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ ขอหักคะแนนที่บางฉากมันดูพยายามแบบบอกไม่ถูก ด้วยความที่พล็อตมันน้อยเลยแอบอินไม่สุดด้วย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in