ก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นโควตนี้บนโลกอินเตอร์เน็ต "It's both a blessing and a curse to feel everything so deeply" ฉันแย้งในใจทันทีที่อ่านประโยคนี้จบ ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นคำสาปตรงไหนเลย การรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งมันดีจะตาย เมื่อก่อนฉันเคยสมเพชผู้คนที่เฉยชาต่อความรู้สึกด้วยซ้ำ
ตอนนั้นฉันอยู่มัธยมปลาย ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง สมมุติว่าเขาชื่ออิฐ อิฐเป็นคนที่ค่อนข้างจะมองอะไรอย่างตื้นเขิน และไม่ค่อยจะเข้าใจหรือเห็นใจความรู้สึกผู้อื่น ถ้าเปรียบกับความรู้สึกของคนคนหนึ่งเป็นภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทร ฉันคิดว่าฉันรับรู้ได้ทั้งส่วนที่โผล่พ้นน้ำและส่วนที่อยู่ใต้น้ำนิดหน่อย แต่สำหรับอิฐน่ะ เขาคงสัมผัสได้แค่ปลายยอดเขา
หลายๆ ครั้ง ฉันเคยเห็นอิฐพูดจาล้อเลียนเพื่อนคนหนึ่งและล้อไม่หยุดแม้คนที่โดนล้อจะแอบแสดงท่าทีไม่พอใจ ตัวฉันในตอนนั้นรู้สึกสงสารและสมเพชเขาในเวลาเดียวกัน ฉันได้แต่กรีดร้องในใจว่า ถ้าเป็นฉันน่ะ! ฉันคงจะเลิกล้อเพื่อนไปแล้ว นายไม่เห็นสีหน้าเขาหรือไง
แต่ด้วยความตื้นเขินต่อความรู้สึกของอิฐ เขาก็ยังทำแบบนั้นต่อไป
เพราะอิฐเป็นแบบนั้น เพื่อนหลายๆ คนเลยไม่ชอบเขา ตอนนั้นฉันรู้สึกโชคดีมากเลย ที่ตัวฉันเองเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น มีความรู้สึกละเอียดอ่อนแบบที่อิฐไม่เคยมี
____________
เมื่อ 2 ปีก่อน ตอนที่ทั้งโลกโซเชียลเต็มไปด้วยข่าวนักร้องนำวง sqweez animal ฆ่าตัวตาย ระหว่างที่ฉันไล่อ่านข่าวไปเรื่อยๆ ก็พบว่ามีหลายแหล่งข่าวที่บอกว่านักร้องคนนั้นเป็นโรคซึมเศร้า แต่ที่น่าสนใจก็คือสำนักข่าวช่องหนึ่งได้ขึ้นพาดหัวข่าวที่มีใจความว่า 'ศิลปิน นักร้อง-นักดนตรี มีโอกาศเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้คนทั่วไป'
โควทที่บอกว่า 'การที่เรารู้สึกได้อย่างลึกซึ้งนั้นเป็นทั้งพรและคำสาป' ลอยมากระแทกเข้าที่หน้าฉันจังๆ
ฉันเริ่มสังเกตุถึงข้อเท็จจริงนี้มากขึ้น เพื่อนฉันที่เป็นโรคซึมเศร้านั้นเขาก็เป็นศิลปินเหมือนกันนี่นา (เธอเขียนนิยาย) และเมื่อได้เรียนประวัติศาสตร์วรรณคดี ฉันก็พบว่ามีกวี นักประพันธ์และจิตรกรมากมายที่ป่วยจาก Depressive disorder ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นเวอร์จิเนียร์ วูลฟ์, เอิร์นเนสต์ เฮมมิ่งเวย์, เอ็ดการ์ อัลลัน โพ, และที่เห็นได้ชัดมากๆ เลยก็ฟาน โคคก์ (หรือเรียกแบบไทยๆ ก็แวนโก๊ะ)
____________
พอได้มานึกถึงข้อเท็จจริงพวกนี้ ฉันก็เอาแต่วนเวียนคิดอยู่แบบนั้นแหละ จนต้องมาเขียนเพื่อระบายออกมาตามที่นักจิตบำบัดแนะนำ และตามที่ลอร์ดไบรอนบอกว่า "If I don't write to empty my mind, I go mad"
ฉันก็ได้สำรวจตัวเองด้วย ว่าฉันน่ะ feel everything so deeply จริงๆ เวลาฟังเพลงหรือดูหนังอะไรที่เศร้าๆ หน่อย ฉันก็จะซึมไปเลย แล้วก็เอาแต่คิดถึงมันซ้ำไปซ้ำมา อินหนักจนถึงขั้นต้องไประบายในทวิตก็มี หรือเวลาเห็นคนที่มีปัญหาชีวิตรุมเร้า ฉันก็ชอบจินตนาการตัวเองให้อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นบ้าง บ้ามากเลยใช่มั้ย สำรวจไปมาฉันก็สงสัยว่าทำไม
ทำไมการที่เรารู้สึกมากกว่าคนอื่นจึงทำให้เราเจ็บปวด
____________
อ้างอิงจาก
เว็บไซต์นี้ (ที่ฉันพึ่งอ่านเมื่อตะกี้สดๆ ร้อนๆ) มีคำอธิบายไว้ว่าการที่ศิลปินนั้นเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้อื่น เป็นเพราะผู้คนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะครุ่นคิดกับความคิดตัวเองมากกว่าชาวบ้านเค้า
ไอ่การครุ่นคิดนี่แหละ เป็นคีย์สำคัญเลยที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นศิลปิน ผู้ซึ่งที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ซะส่วนใหญ่เลยเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้ายังไงล่ะ
ปัจจุบันนี้เมื่อฉันเห็นโควตที่เกริ่นไว้ด้านบน ฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ รับมันเพราะตอนนี้ฉันเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งเลย การรู้สึกมากกว่าคนอื่นนี่มันเป็นทั้งพรและคำสาปจริงๆ และฉันก็ไม่ได้สมเพชผู้คนที่ตื้นเขินต่อความรู้สึกอีกต่อไปแล้ว ฉันแอบอิจฉาพวกเขานิดๆ ซะมากกว่า วันๆ หนึ่งของพวกเขาคงผ่านไปได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องมีอะไรร้อยแปดวิ่งวนไปมาในสมองแบบฉัน
แล้วฉันเกลียดตัวเองไหมที่เป็นแบบนี้ ไม่เลย
ก็อย่างที่บอก มันเป็นทั้งพรและคำสาปยังไงล่ะ :)
____________
PS.This is a depression diary. My regular psychologist told me it might help. So here comes the very private, villainous, and chaotic thoughts of mine, one depressed girl.
(หมายเหตุ : นี่คือไดอารี่โรคซึมเศร้า นักจิตวิทยาบอกว่ามันอาจจะช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้น เลยเป็นที่มาของไดอารี่ที่เก็บความคิดส่วนตัว ที่แสนจะร้ายกาจและวุ่นวายของฉัน, ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นโรคซึมเศร้า)
ผมว่าจริงครับที่ศิลปินมีความรู้สึกที่อ่อนไหวกว่าคนทั่วไป ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจสร้างงานศิลปะที่สะเทือนใจคนได้
ความเศร้าคือความงดงามอย่างหนึ่งครับ
ผมว่าบางทีสังคมที่ตัวใครตัวมันมากเกินไป มีค่านิยมที่บอกว่าการพูดหรือการระบายกับใครเป็นเรื่องผิด เป็นเรื่องที่ทำให้คนพูดหรือระบายออกมาดูอ่อนแอ ก็ทำให้คนเป็นโรคซึมเศร้าได้เหมือนกันนะครับ