เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
คลังเรื่องสั้นtofu
(OS) เมื่อผมกลายเป็นศิษย์เอก
  •     คุณเชื่อเรื่อง เอ่อ… พวกทะลุมิติอะไรนั่นไหม?

        ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไร จนกระทั่งตื่นมาอีกทีก็อยู่ในโลกของนิยายจีนโบราณที่เคยอ่านซะแล้ว!

     

    .

    .

     

        นิยายจีนโบราณที่ผมหลุดเข้ามาเป็นแนวมิตรภาพระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ ตอนแรก ๆ เนื้อเรื่องจะไม่ค่อยมีอะไรมากนัก เพราะเป็นช่วงที่ตัวละครกำลังฝึกฝนกำลังภายใน แต่ตอนหลัง ๆ เรียกได้ว่าบู๊กระจาย ผจญภัยปราบมารร้ายเกือบทุกตอน 

        ตัวละครหลักในเรื่องก็มีเพียง 3 คนเท่านั้น  คนแรก คือ ท่านอาจารย์ ผู้มีวรยุทธล้ำเลิศ สุขุมและใจดี ถือคติรับศิษย์เพียงสองคนเท่านั้น ส่วนคนที่สอง คือ มู่เฉิน ลูกศิษย์คนแรกของท่านอาจารย์ เป็นคนขยันขันแข็ง โกรธง่ายหายเร็ว และคนที่สาม คือ ฮุยหมิง ถือได้ว่าเป็นศิษย์เอกของท่านอาจารย์เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นคนฉลาดหลักแหลม เก่งในทุก ๆ ด้าน และผมดันมาโผล่ในร่างตัวละครตัวนี้อีกด้วย! ตัวประกอบมีตั้งมากมาย ทำไมผมต้องมาเป็นตัวละครหลักด้วยเนี่ย 

        แต่ในความโชคร้ายยังมีโชคดีอยู่บ้าง เพราะผมโผล่มาในตอนแรก ๆ ของนิยายที่ยังไม่มีฉากบู๊อะไรมากนัก เป็นโชคดีของผมที่ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายใด ๆ แต่ระหว่างนี้คงต้องหาวิธีกลับโลกเดิมให้ได้โดยเร็ว

     

    .

    .

     

        “ฮุยหมิงเจ้ามัวเหม่ออันใดอยู่”

        เสียงของอาจารย์เรียกสติให้ผมหลุดจากความคิดและกลับสู่โลกแห่งความจริง โลกในนิยายจีนโบราณที่เผลอแปปเดียวผมก็ใช้ชีวิตอยู่ในร่างฮุยหมิงเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว 

        แต่กว่าผมจะปรับตัวได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร ดีหน่อยที่ผมชอบอ่านนิยายจีนโบราณอยู่แล้ว เรื่องภาษาจึงไม่ใช่อุปสรรคสำหรับผม แต่อุปสรรคที่แท้จริงคือการฝึกวิทยายุทธต่างหาก

        อย่างตอนนี้ผมก็กำลังเรียนวิชากระบี่ที่ไม่ถนัดเอาเสียเลย

        “ขออภัยขอรับอาจารย์" 

        ผมรีบขอโทษอาจารย์ที่ตัวเองมัวแต่เหม่อลอยคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเนื่องจากไม่อยากฝึกวิชากระบี่

        “รีบไปฝึกกระบี่ได้แล้ว มู่เฉินรอเจ้าอยู่”

        “อาจารย์~ข้ารู้สึกเวียนหัวขอพักได้หรือไม่ขอรับ”

        ผมใช้น้ำเสียงออดอ้อนหลอกอาจารย์ว่าเจ็บป่วยดั่งเช่นทุกทีที่เรียนวิชานี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ผลเกือบทุกครั้ง และครั้งนี้ก็คงสำเร็จเช่นกัน

        “ฮุยหมิง! ไอคนหน้าไม่อาย เจ้ากล้าใช้แผนนี้อีกแล้วหรือ”

        มู่เฉินที่ยืนรอฝึกกระบี่อยู่นานตะโกนแทรกมาอย่างเหลืออดกับแผนแกล้งป่วยของสหายร่วมสำนัก

        “…”

        “อย่ากลัวไปเลยฮุยหมิง อาจารย์รู้ว่าเจ้าไม่ถนัดสายบู๊แต่-”

        “ใช่ขอรับอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นข้าขอศึกษาแต่สายบุ๋นได้หรือไม่”

        ผมยังคงทำหน้าออดอ้อนเช่นเคย หวังว่าอาจารย์จะใจอ่อนกับ(อดีต)ศิษย์เอกผู้นี้อยู่บ้าง

        “ฟังข้าพูดให้จบก่อน อาจารย์มิห้ามหากเจ้าอยากศึกษาสายบุ๋น แต่สายบู๋ก็มิควรทิ้ง ภายภาคหน้าหากเกิดอันตราย เจ้าจะได้ป้องกันตนเองได้”

        อาจารย์อธิบายเหตุผลถึงความสำคัญของการเรียนสายบู๊ให้ผมฟังยาวเหยียด และคำว่าภายภาคหน้าทำให้ผมได้สติฉุดคิดได้ว่าในตอนหลัง ๆ ตัวละครหลักต้องไปปราบเหล่ามารร้ายนี่ 

        เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็รับปากอาจารย์ว่าจะตั้งใจเรียนทั้งสายบู๊และสายบุ๋นอย่างไม่อิดออดอีกต่อไป ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวผมเอง แม้ในนิยายฮุยหมิงจะเป็นตัวละครที่เก่งรอบด้าน แต่ผมในร่างฮุยหมิงกลับไม่เก่งอะไรสักอย่าง แบบนี้เนื้อหาในนิยายจะเปลี่ยนไปด้วยไหมนะ 

        แต่ช่างมันเถอะ ผมขอเอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า

     

    .

    .

     

        และแล้วเวลาก็ผ่านไปไวเหมือนโกหกอีกครั้ง ตอนนี้ผมและมู่เฉินที่เติบโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วกำลังออกเดินทางไปท่องยุทธภพปราบมารร้ายตามที่อาจารย์ได้สอนไว้ ณ ดินแดนป่าดิบ 

        หากเทียบกับนิยายคงเป็นช่วงตอนหลัง ๆ ที่มีแต่ฉากบู๊กระจายตามที่ผมเคยบอกไว้ แล้วถ้าจำไม่ผิด การออกท่องยุทธภพครั้งแรกของฮุยหมิงและมู่เฉินจะต้องเผชิญกับปีศาจงูสามหัวหรือเปล่านะ 

        ระหว่างที่ผมกำลังนึกเนื้อเรื่องตอนถัดไปพลาง ๆ ระหว่างเดินทาง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้น

    ฟ่อ ฟ่อ

    ไม่ผิดแน่ ๆ เสียงนี้คือเสียงของปีศาจงูสามหัว

        มู่เฉินไม่รอช้ารีบชักกระบี่ออกมาเตรียมสู้กับเจ้างูสามหัวทันที ผมเองก็ไม่น้อยหน้ารีบชักกระบี่ออกมาเช่นกัน 

        อ่อ ลืมบอกไปเลยว่าตอนนี้ฮุยหมิงไม่ใช่ศิษย์เอกตามเนื้อเรื่องหลักแล้ว และตำแหน่งนี้ก็ตกไปเป็นของมู่เฉินอย่างไม่ต้องสงสัย 

        “ฮุยหมิงเจ้ารีบส่งสัญญาณเรียกอาจารย์ ส่วนข้าจะล่อพวกมันไว้ก่อน”

        มู่เฉินออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลสมเป็นผู้นำ ส่วนผมก็รีบทำตามคำสั่งโดยเร็ว

        การจุดพลุส่งสัญญาณคือการแจ้งพิกัดให้อาจารย์รู้ว่าศิษย์กำลังเผชิญอันตราย จะได้ตามมาช่วยเหลือทัน 

    ฟิ้ว~ ปัง! 

        พลุส่งสัญญาณพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าแล้วกระจายตัวออกเป็นรูปดอกบัว ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ประจำสำนักเรียนของผม อีกไม่นานอาจารย์คงตามมาสมทบโดยเร็ว

     

     

        “ระวังตัวไว้ให้ดี ปีศาจตนนี้ฤทธิ์เดชเยอะยิ่งนัก”

        มู่เฉินบอกผมขณะที่มือก็ใช้กระบี่ต่อสู้กับปีศาจงูสามหัวไปด้วย

    ฉึบ!

        กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วป่าดิบ เพราะมู่เฉิงใช้กระบี่ตัดหัวปีศาจงูขาดไปหนึ่งหัว

    ฟ่อ! ฟ่อ!

        ปีศาจงูอีกสองหัวที่เหลือส่งเสียงขู่คำรามลั่นอย่างโมโหร้าย ก่อนพุ่งตัวมาทางผมที่ดูกำจัดง่ายทันที

     

        แต่ดูเหมือนเจ้าปีศาจงูจะคิดผิดเสียแล้ว เพราะผมไม่ได้ไร้ฝีมือขนาดนั้นเสียหน่อย ด้วยความที่ฝึกฝนอย่างยากลำบากมานาน ทำให้ผมใช้กระบี่ชำนาญพอสมควร

        ต้องขอบคุณท่านอาจารย์ที่ทำให้ผมมีวันนี้ TT

    ผั๊ว! ฉึก!

        ผมใช้กระบี่ฟันที่ลำคอของมันจนเป็นรอยยาวก่อนจะแทงเข้าที่ดวงตาข้างซ้ายของมันอีกแผล

        ปีศาจงูส่งเสียงคำรามออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด จังหวะนี้เองมู่เฉินก็หันมาพยักหน้าให้ผมเป็นสัญญาณว่าต้องทำอะไรต่อย่างรู้กัน

        พวกเรากำลังช่วยกันร่ายคาถาเพื่อกางข่ายอาคมล้อมรอบปีศาจงูไม่ให้หนีก็ออกไปได้ ใช้เวลาพอสมควรพวกเราก็กางข่ายอาคมสำเร็จ

        “พวกเจ้าเก่งมาก สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ข้า”

        อาจารย์ที่ขี่กระบี่เหาะอยู่กลางอากาศแอบสังเกตการณ์อยู่นานเอ่ยชื่นชมลูกศิษย์ทั้งสองอย่างภาคภูมิใจ

        “คารวะท่านอาจารย์ขอรับ”

        ผมและมู่เฉินประสานมือก้มคำนับอาจารย์อย่างพร้อมเพรียงกัน

        คำชื่นชมของอาจารย์ทำเอาผมหุบยิ้มไม่ได้ เอาเข้าจริงผมชักจะชอบการใช้ชีวิตอยู่บนโลกนิยายนี้เข้าแล้ว เพราะผมได้ลองทำหลายสิ่งที่เคยเห็นแต่ในนิยายหรือซีรีส์เท่านั้น อย่างการขี่กระบี่ หรือใช้วิชาอาคมอะไรพวกนี้ หากอยู่ในโลกที่ผมจากมาไม่มีทางทำได้แน่นอน 

     

     

        หลังจากอาจารย์ทำการกำจัดปีศาจงูสามหัวเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางกลับมายังสำนักเพื่อพักผ่อนกัน แต่ทว่ายังไม่ทันถึงที่หมาย ผมก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มเบาหวิว เหมือนกำลังหลุดลอยออกจากร่าง

        “อาจารย์! ฮุยหมิงกำลังหมดสติขอรับ”

        มู่เฉินที่เห็นถึงความผิดปกติของเพื่อนร่วมสักนักรีบเข้ามาประคองคนที่กำลังล้มพับลงกับพื้น

        อาจารย์เห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้ามาจับชีพจรฮุยหมิงเพื่อตรวจพลังจินตานในร่างกายทันที

        “เขาพลังจินตานต่ำมาก หากปล่อยไว้นานเกรงว่าจะไม่ทันการ”

        น้ำเสียงของอาจารย์ดูวิตกกังวลกว่าทุกครั้ง ผมที่กำลังสะลึมสะลือได้แต่ภาวนาในใจขอให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัยด้วยเถิด 

        แต่ดูเหมือนว่าคำอธิษฐานของผมจะไม่เป็นจริง ภาพสุดที่เห็นคือภาพที่อาจารย์แบกผมขึ้นหลังจากนั้นสติผมก็ดับวูบ

     

    .

    .

     

     

    ซ่า ๆ 

        เสียงคลื่นทะเลเรียกสติผมให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทว่าผมกลับไม่เห็นท่านอาจารย์และมู่เฉิน สภาพแวดล้อมรอบตัวก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่สำนักเรียนโบราณแต่กลายเป็นเกาะร้างแห่งหนึ่งแทน

        “เกาะร้าง! ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยผมที!"

        ผมตะโกนร้องอย่างคนเสียสติ แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ผมจึงพยายามตั้งสติและมองไปรอบ ๆ เกาะเพื่อหาวิธีออกจากที่นี่ให้ได้ และแล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่เหมือนจะมีข้อความสลักเอาไว้

        ผมเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่ออ่านข้อความบนหินก้อนนั้น เผื่อจะเป็นหนทางให้ผมกลับไปหาอาจารย์ หรือกลับไปยังโลกที่ผมเคยอยู่ได้

        "ขอแสดงความยินดีที่คุณผ่านการทดสอบด่านแรกแล้ว และยินดีต้อนรับสู่เกาะแห่งวิญญาณ ขอให้คุณโชคดี"

        ข้อความบนหินทำผมกุมขมับ แต่ผมรู้สึกคุ้น ๆ กับคำว่าเกาะแห่งวิญญาณยังไงไม่รู้…

        นึกออกแล้ว! เกาะแห่งวิญญาณคือชื่อนิยายที่ผมเพิ่งซื้อมานี่เอง อย่าบอกนะว่าผมมาโผล่ในนิยายเรื่องใหม่อีกแล้ว ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!!

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in