1
เราโตขึ้นตอนไหน?
เคยถามตัวเองในวัยเด็กไหม ว่าตอนไหนกัน ที่เราจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเราโตแล้ว
ตอนที่พ่อให้เราตัดเล็บเอง ตอนที่ข้ามถนนเองได้
หรือเป็นตอนที่เริ่มกินเผ็ดได้ ตอนที่กินกาแฟแล้วไม่คิดว่ามันขมอีกต่อไป ข้อนี้น่าสงสัยเหลือเกิน ทำไมกาแฟที่มันขมมากๆในวัยเด็กถึงได้กลายมาเป็นสิ่งที่แทบจะขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน
เพราะโตขึ้นแล้วต่อมรับรสขมกับรสเผ็ดมันพัฒนาขึ้นหรือยังไง (ซึ่งในทางกลับกันมันอาจจะฝ่อแล้วก็ได้)
นั่นเป็นสิ่งที่คิดในวัยเด็ก เราไม่รู้จริงๆว่ามันมีเส้นแบ่งอะไรที่จะพาเราก้าวข้ามไป
เพราะเราไม่ได้คิดว่ามันซับซ้อน
ก็แค่โตขึ้น... โตเป็นผู้ใหญ่ แล้วตอนนั้นก็คงจะใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ แบบที่คนโตเขาทำกัน
ก็นั่นแหละ
กินกาแฟ กินเผ็ด เรียนจบ ทำงานแต่งงาน มีลูก อะไรก็ว่าไป
2
เราในช่วงมหาวิทยาลัยไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
หลักๆก็คือห่างพ่อแม่เพราะไปอยู่หอ ซึ่งชีวิตที่ห่างไกลพ่อแม่สอนอะไรหลายอย่าง
ไม่ได้คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง ไม่ได้คิดว่า “เห้ย ฉันเก่งแล้ว ฉันอยู่ด้วยตัวเองได้”
ไม่เลยสักนิด.....
เราทบทวนตัวเอง ว่าทำไมเราไม่ได้คิดว่าเราโตขึ้นเลย
เรายังกลับบ้านง้องแง้งงอแงเป็นเด็กกับพ่อแม่เราเสมอ
เราหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังกับมุกตลกของพ่อ ยังงอแงอยากให้แม่ทำกับข้าวที่เราชอบให้กิน
ยังเล่นอะไรปัญญาอ่อนกับน้อง ยังติดเพื่อนทั้งเพื่อนมหา’ลัย เพื่อนมัธยมยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
เรายังเป็นเด็ก
เราตัดสินใจอะไรไม่ได้
เราไม่มีความรับผิดชอบ
เราคิดแบบนั้น
แม้เราจะกินเผ็ด (ได้บ้าง จริงๆแล้วไม่ค่อยชอบ) เรากินกาแฟ (อันนี้ติดมากเพราะเราต้องปั่นงานดึกๆ)
แต่ก็ไม่นี่ ไหนล่ะ....การโตเป็นผู้ใหญ่
3
ปีสี่ไม่ใช่ปีที่เรียนหนักสุดสำหรับเรา แต่เป็นปีที่เราครุ่นคิดอะไรมากมาย
เราทบทวนตัวเอง เราคุยกับตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม
เรามีปัญหา
เราพบปัญหา
ปัญหาคือเราไม่มีความทะเยอทะยาน....
ตลกล่ะ เราไม่เคยคิดเลยสักนิดว่ามันสำคัญกับชีวิตขนาดนั้น
จนกระทั่งเมื่อเรากำลังจะเรียนจบเราถามตัวเองว่าอยากทำอะไรหลังจากนี้
ซึ่งมันไม่มี
ว่างเปล่า ... เราหวาดกลัวการไม่มีความทะเยอทะยาน เราไม่มีแรงผลัก
เราฉุกคิด
เรามาทำอะไรตรงนี้
เราเริ่มเกลียดสิ่งที่เราเป็น เกลียดสิ่งที่เราทำ
มีช่วงหนึ่งที่ไม่อยากไปเรียน เพราะเรารู้สึกเหมือนกำลังวิ่งเข้าหากำแพง เหมือนเจอทางตัน ซึ่งไม่มีแรงส่งให้เราก้าวข้ามกำแพงนี้ไป
เรากำลังเติบโตมาเจออะไร นี่เองหรือ การโตเป็นผู้ใหญ่
4
ยังคงว่างเปล่า....เรากำลังคิดว่าเราเติบโต
เรากำลังห่างออกจากความเป็นเด็ก อีกนัยหนึ่งคือเรากำลังละทิ้งความเป็นเด็ก
ยอมรับเลยว่าเราดึงตัวเองลงหลุมมืดๆของเรา ซึ่งมันแย่ มันกำลังทำให้ทุกอย่างแย่
มืดสนิท
มันไม่ถึงขั้นมืดมิดตลอดเวลา แต่ไอ้ภาวะประหลาดนี่มันกัดกินทุกอย่างเมื่อมันเกิดขึ้นในหัว
ไม่สามารถมีความสุขได้ เราคิดแบบนั้น
เราอ่านหนังสือ เราอยากอยู่กับตัวเอง และเผื่อว่าเราจะพบอะไรสักอย่างในนั้น
แรงผลักอะไรสักอย่าง....
5
เราที่ตอนนี้เรียนจบ และยังไม่พบแรงผลักที่ว่านั่น
แต่ถ้าถามว่าไอ้ภาวะนั้นมันยังมีอิทธิพลกับเรามากมายเหมือนช่วงก่อนไหม ก็คงไม่
เราพาตัวเองไปเจอเรื่องราวที่คิดว่าเรากำลังสนใจ
เราเริ่มสัมผัสความทะเยอะทะยานแม้จะเพียงนิดหน่อย.....แต่เรากำลังเอาชนะตัวเอง
สิ่งนี้แหละ ที่ทำให้เราคิดว่าเรากำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ
เราตอนนี้ กับเราเมื่อสองปีก่อน หรือแม้กระทั่งแค่ปีก่อนก็ไม่เหมือนกัน
สิ่งหนึ่งที่เราดีใจคือ เมื่อเรารู้สึกว่าเรามีปัญหาและเราทบทวน เราทำความเข้าใจตัวเองจนเรารู้ว่าปัญหาคืออะไร อะไรที่พาเราไปเจอกำแพงนั่น
ตอนนี้เราไม่ได้กระโดดข้ามกำแพง
อุปมาให้ฟังก็คงเป็นการค่อยๆต่อบันไดขึ้นไปล่ะมั้ง
เชื่องช้า ค่อยเป็นค่อยไป
6
เรามีพื้นที่ที่เราได้ใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่และเรามีพื้นที่เล็กๆให้เราใช้ชีวิตแบบเด็กๆ
เรายังเป็นเด็กเวลาอยู่กับครอบครัวและกับเพื่อนเหมือนเดิม
แต่ตอนนี้ที่นั่งพิมพ์ข้อความเหล่านี้อยู่ ก็คิดว่ารู้จักตัวเองมากขึ้น คิดเยอะขึ้น ทบทวนตัวเองเสมอ
กลั่นกรองความคิดของตัวเองออกมาได้ (อย่างน้อยตอนนี้ก็843คำแล้วล่ะนะ)
นี่แหละพื้นที่ๆเราได้ใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่
เสียใจ ร้องไห้ แสวงหา เจ็บปวดผิดหวัง ท้อแท้ มืดมิด ความสุข ฯลฯ อะไรที่พบเจอและสั่งสมให้เราเป็นเราทุกวันนี้ขอบคุณนะ
ไม่ได้คิดว่าต่อจากนี้จะมีแต่ความสุข นี่ไม่ใช่เรื่องราวปรัชญาชีวิต จิตวิทยาเพื่อความสำเร็จ เราเขียนมันเพราะอยากถ่ายทอดตัวเราออกมาเป็นตัวหนังสือแค่นั้นแหละ มันโอเคนะถ้าต่อไปจะต้องร้องไห้ทุรนทุรายผิดหวังกับอะไรสักอย่าง
เติบโตและสูญเสียอะไรบางอย่าง มันมาคู่กัน
7
ที่แน่ๆตอนนี้รู้แล้วว่าคนเราคงไม่ได้โตขึ้นเพียงเพราะกินกาแฟกินเผ็ดแน่นอน :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in