ข่าวลือร่ำอวดคราวเคราะห์ผึ่งสะพัดเมือง
คนเหล่านี้ ถูกความฝันและพระเจ้าทอดทิ้ง
ขณะที่ผู้ประทานพรให้แก่พวกเขาคือข้าพเจ้า— ข้าพเจ้านี้แล แท้
ผู้ประสาทพรล้วนจำแลงบททวยเทพ ซึ่งยังเสวยสุขด้วยบุญญาธิการทิพย์โดยอาศัยความเชื่อและศรัทธาของมนุษยชน
บางหน บางแห่ง พวกท่านก็เอาแต่วิจารณ์ว่าข้าพเจ้าไม่เอาไหน เทียวเล่นเทียวหัว ไปวัน ๆ ไร้ความหมายอันวิจิตรชวนตีตรา กลบรกรากที่ข้าพเจ้าฟูมฟักให้แก่เหล่าเทวดาประจำตัวได้มีงานการเป็นหลักเป็นแหล่งแฝงตนบันดาลช่วยเหล่าเพ้อฝัน คลุ้มคลั่ง ทุรนทุราย แม้ตามจริง คนเหล่านั้นจะไม่เชื่อว่าพวกเรา—เผ่าเรา ๆ ต่างก็มีอยู่เช่นเดียวกัน
เป็นละอองชื้นบนกลีบบาน บ้างเหี่ยวเฉา แล้งไอแดด ร่ำไห้ต่อลมฝน และตายจาก
เป็นกระแสเชี่ยวในระลอกธาร ใต้เปลือกขอนซุงหักโค่นบังแรงถ่วง
เป็นหินก้อนเขื่องที่อุบัติขึ้นซ้ำ ๆ ยามฝีเท้าจลาจลก้าวสวนธรรมเนียมโลก
เป็นตอผุดซึ่งอำนวยสัตว์จรปีนป่าย หรือชี้ชวนสัตว์หลงพำนักแปลงถิ่นอาศัย เมื่อฤดูผลิดอกมาเยือน
เว้นก็แต่ สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์
ของพวกนั้น แท้แล้วมีหัวใจไม่ต่างจากพวกเขา แต่เพราะเป็นสิ่งนามธรรมในสมการที่มนุษย์จะสามารถหยั่งทอนขีดจำกัดถึง พวกเขาจึง...ไร้ชีวิต
กิ่งสูงยื่นพ้นลำไม้พลิ้วใบ ปลิดขั้วละลิ่ว สยบพัก เคียงรากยาวเฟื้อยของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าพลันระลึกได้ว่า ต้นไม้อย่างเขาเคยช่วยชายสูงวัยผู้หนึ่งทำงานอยู่พักใหญ่ แม้จะไม่ได้รับสินบนใดเป็นการตอบแทน แต่มนุษย์ผู้มีใบหน้าเหี้ยมโฉด ทว่า รวยน้ำใจผู้นั้นกลับขุดเขาขึ้นมาจากหน้าดินเพื่อแปลงสุนทรียภาพริมทางร้างรก ให้กลายเสมือนสรวงสวรรค์เดินดินสำหรับต้อนแขกเหรื่อ เฉกกันกับเพื่อนพ้องของเขา— ในเมืองใหญ่ เช่น หน้าดินถมสำหรับทางสัญจรยานพานะสินค้านำเข้า
ข้าพเจ้ากระซิกหัวร่อ แม้รู้ว่าเขาไม่ชอบใจ
วิญญาณของเขาอยู่ในกำมือของข้าพเจ้า นับแต่นั้น
“หากทวยเทพประทานพรสมปรารถนาให้แก่เจ้าได้ ข้าก็อยู่ตรงกันข้ามพวกท่านทั้งหลาย เพราะโลกใบนี้คือเงาสะท้อนกันและกัน
“เธอเป็นอะไร” ตุ๊กตาหมีตัวสีน้ำตาลอ้างถาม ขณะทำความรู้จักเด็กชายผู้มาใหม่
“หมายถึง...เป็นอะไร...ถึงได้มาที่นี่
ตุ๊กตาหมีพยักหน้าเห็นพ้อง “
“แล้วผมจะออกไปยังไง” เด็กชายถามต่อ แต่แล้วเขาก็หยุดเงียบ ชะงักปลายนิ้วอ้วนกลมมายังข้าพเจ้าที่เพิ่งจะทอดน่องอาด ๆ ออกจากฟูกนอน แม้จะเป็นเวลาสายจวนเทพองค์อื่นพากันเอือมระอา เพราะท่านเหล่านั้น ต่างล้วนต้องลุกขึ้นมาเรียบเรียงพรของหมู่มนุษย์เสียเนิ่นอรุณตรู่ มีตั้งแต่ผู้มาแก้บนต่างงาน มีทั้งภาระส่วนตัวที่ต้องการให้ท่านแต่ละองค์อุบายพรเสียตรงนั้น ครั้นจราจรของรถม้าเคลื่อนล้อบดยางแฟ้นขบฟันเฟือง กระจุกแดนเกลียวกลึงของเหล่าชำระภาษีจึงปะปนกันอย่างเหนียวแน่นอยู่เฉพาะในเมืองหลวง
ทั่วทุกสารทิศล้วนมีแดนแห่งเทพ และประตูสำหรับแต่ละเขตเป็นฝ่ายรับผิดชอบแต่หน้าที่ “ลุ่มหลง
ข้าพเจ้าไม่มีรูจมูกไว้ระบายอารมณ์ เศร้าหมอง สุขใจ หดหู่ เคืองขัน สิ่งนั้นเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับข้าพเจ้าผู้ไม่สมประกอบเหมือนอย่างสัตว์ชนิดอื่นบนโลก มันเป็นของที่มีอยู่จริงก็ต่อเมื่อถูกใช้กรุยทางชีวิต เว้นแต่ ข้าพเจ้าหาใช่ทั้งสองสิ่ง มีชีวิต หรือ ไม่มี ใช่แล ข้าพเจ้าอยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นหรือความตาย กึ่ง-เสี้ยว-นิด-สันทัด-กระจิริด-อเนจอนาถ-ระพือระพัด-เวิ้งโหวง-ปรายปลิว-ฉิวคะนอง ดูเหมือนจะสมประกอบแลไม่สมประดีในเวลาเดียวกัน เหมือนเลขคู่ขนานของ ๐๒ และ ๕๘ บนเข็มนาฬิกาตั้งพื้นหลังสูงเปื้อนฝุ่นในโถงกระได เหมือนคนพเนจรที่เลือกได้ว่าจะกลับไปยังแหล่งพำนักหรือหลงทางเพื่อออกตามหาความเป็นตัวตน อืม— จะมากความกว่านี้ มันคงไม่จำเป็นสำหรับผู้อ่านอย่างเจ้านักหรอก ข้าพเจ้าไม่ต้องการสั่งสอน อวดอ้าง หรือเผื่อแผ่รางวัลแก่คนไม่มีความหมายขนาดนั้น
หนหนึ่ง หย่อมขจีทั่วเขตแดน ยังมิแยกสุดผืนคราม กระทั่งมวลชื้นแบ่งบรรยากาศออกห่างการชอนไชของธรรมชาติ อุบายชี้ให้สังสารวัฏภักดีต่อการกระทำ เสียจน นานวัน และก็เป็นเช่นนั้นโดยสัตย์จริง เพราะเมื่อเราเหหน้ายืนหยัดต่อการดำรงอยู่ ทุกสิ่งฝันก็ไร้ความลังเลเป็นแรงสืบสันดาน
ทว่า ผืนภพใต้แดดเลือนกลับแผดสนั่น ปริล้ำรอยแยก ดั่งฝูงราเขมือบกลืนผิวเนื้อหมดขัยเบิกตาให้ข้าพเจ้าลุกขึ้นต่อกร หลังสิ้นสงครามวจีเสมอ ๆ เพราะเขาไม่เชื่อว่าข้าพเจ้าจะมีตัวตนมาก่อนท่านผู้สร้าง เจ้าลบหลู่
พวกเขาว่ายทวน ข้าพเจ้ามุ่งตรง
สรรพสิ่ง-โกลาหล-ลากยาว ทิ้ง โกล เขยื้อนออกจาก ลา-หล
“ลาหล” พวกเขาเรียกข้าพเจ้าว่าสิ่งนั้น ช่างเคืองยามยินเสียเหลือเกิน
โกลหมายถึง ความเป็นอันเดียวกัน อา หมายถึง ทั่วไป หลฺ หมายถึง ไต้ และเมื่อรากศัพท์ประกอบคำอุปสรรคเชื่อมด้วยธาตุและ อ ปัจจัย จึงอุบัติขึ้นเป็นโกล+อา พ้องได้ โกลา+หลฺ ประสมเป็น โกลาหล+อ ประกอบถ้วน และถอดความได้ โกลาหล ควบรวมคือชุดองค์ประกอบหนึ่ง ๆ หมายแจ้ง “ภาวะที่ได้ความเป็นอันเดียวกัน
อันที่จริง ข้าพเจ้ามีน้องชายฝาแฝด นาม “
เปรียบเทียบข้าพเจ้า คือ ลำดับแรก น้องชายของข้าพเจ้าจึงเป็นลำดับถัดไป และเมื่อมีสองสรรพรำลึกให้ข้องเกี่ยว ความพัวพันจึงสาละวนโยงสัมพันธ์ออกเป็นการสอดผสานและแฝงชุดอันเป็นอนันต์ ถ่ายทอดบรรพชีวินสืบเนื่อง ท่านทั้งหลายก็พึงมาจากข้าพเจ้า คือพี่น้องของข้าพเจ้ายามถูกทอดทิ้ง อย่างนี้ ข้าพเจ้าจะละสายตาออกจากพวกท่านได้อย่างไร
ดังนั้น ลวดลายที่เจ้าได้เห็นเมื่อก้าวเท้าข้ามริมฝั่งสะพานมายังธรณีประตูแห่งนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคลเช่นเดียวกัน แม้พวกท่านจะพเนจร แต่เพราะรอยมลทินของหยดน้ำตา ความโศกา และเลือดหลั่งริน ไม่ว่าจะกำเนิด เร้นรอน ริดลอด คลอดหลุด จากปากแผลใดบนร่างกาย มันจึงถูกนับว่าไม่ใช่ความบริสุทธิ์ เพราะถูกความขุ่นมัวก่อตัวเพื่ออุบายให้กลายเป็นสิ่งอัดอั้นแสนทุกข์ทรมาน พวกเขาทั้งหลายจึงมาตายรังอยู่ในเคหะส่วนตัวของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะโลกเสมือน โลกความเป็นจริง โลกจินตนาการ โลกหลังการหลับใหล โลกในวังวนเพ้อฝัน โลกในความเงียบงัน โลกที่พวกเขาต่างก็ซัดเซพเนจร ขณะตะโพกยังปวดร้าวเสียอุบายเลือกได้ว่าจะทบทวนหรือก้าวเดิน และแม้แต่จะสะบัดให้โอกาสเหล่านั้นหลุดลอย ประสงค์เอาเถิด เฉกนี้ น้องชายของข้าพเจ้าจึงต้องสร้างรังโกลัมไว้สำหรับวิญญาณที่หิวโหยเป็นแหล่งพิงพักแก่ผู้ที่ผ่านไปผ่านมาได้ลองเหยียบย่ำ ขณะที่ผู้ตระหนักออกบางคนก็เลี่ยงจะทำเช่นนั้นเพราะความเคารพ ข้าพเจ้าหาได้ถือดอก น้องชายของข้าพเจ้าช่วยเบาภาระข้าพเจ้าได้มากโขทีเดียว
“ทำไมศิลปินมักมีอารมณ์อ่อนไหว
“ทำไมนักสร้างสรรค์จึงมีสายตาที่ผู้อื่นมองไม่เห็น
“ทำไมพวกเขาถึงเกิดมาพิกลพิการ
“ทำไมเศษระดาหกกระเทินเหล่านั้นจึงมีความหมายสำหรับเขานัก
เจ้าหมี เจ้ากระต่าย เจ้าแรคคูน เจ้านกฮูก ถามไถ่องค์รัชทายาท
เขาพลัดหลงพเนจรเพราะเรื่องกลัดกลุ้มของราษฎรหรือไร เปล่าหรอก ข้าพเจ้าทราบดีเพราะอำนาจล้นทรวงต่างหาก ที่กำลังสุมให้ร้ายแก่ร่างกายมอดไหม้ของเขา เสียต้องถ่อรอยย่ำมายังธรณีประตูข้าพเจ้าเขาปรารถนาจะให้ช่างระบายแปรงฝีมือดีในเมืองเก็บรอยจุมพิตห้วงฝัน ขณะกาลทรงพระเยาว์ของชายหนุ่มชุดกากีเอนกายหลุดภวังค์สยบกิริยาใต้แพขนตาขับแววพริ้งเพริดไว้เผื่อดูต่างหน้า ซึ่งแม้แต่รอยแทรกขบถของละอองขนแปรงจากทักษะผู้มีฝีมือเพียงใดท่านใด ก็ถลำเข้าไปในเบื้องจิตห้วงลึกของเขามิได้
เช่นเดียวกับ “ความรัก” ที่บุรุษหนุ่มพ่ายแพ้ต่อองค์หญิง
ความรัก ท่ามกลางลมอุ่นเหนือละอองแดดชวนปรารถนามิเคยแสร้งหลอกผู้ใด ดังนั้นแล้วเขาจึงตกหลุมรักคนธรรมดา เสรีชนสุดสายตาจะปรายพบ หาใช่กลิ่นพรมเครื่องประทินทิพเกสรฟุ้งเรือนนอน
“เพราะพวกเขามองเห็นตัวตนของข้า ในโมงยามที่มิมีผู้ใดจะเหลียวแล ข้ามองดูพวกเขา เช่นเดียวกับที่พวกเขารู้สึกต่อข้าข้าอยู่ตรงนั้น ราวพัศดีของความวิจิตรอันวิตถารของเหล่าพเนจร
“มาเถิด ข้าจะได้เล่าให้ท่านรำลึกเสีย
เขาหลับพริ้ม ฝูงสัตว์จรแปลงสภาพเป็นสิ่งของ ไร้สิ่งคงเดิมบนฝุ่นควันโหมสายถนนราวผงข้าวระเนกระจาดใต้ฝีเท้าผู้คนเข้าออกประตูบานนอก-ในหลังคาทรงโปร่งเจตนารมณ์ของมันมิได้เป็นเช่นนั้น— เฉกเดิม เมื่อฝีแปรงจรดคราบจิตวิญญาณจากชายผู้หนึ่งลอยล่องอาภรณ์ของข้าพเจ้าหลุดเปลือย โถมครองความว่างเปล่าแสนอ้างว้างโอบรับผืนผ้าชิ้นใหญ่อันถูกยึดเหนี่ยวด้วยผลรวมของลวดลายและโทนสีสะโอดสะอง ฝังกลบอาดูรแห่งธัญญ์ธิชา3ตามวิถีชนนี ด้วยความหมองหม่นสลักขึงบานแผ่น
ใจกลางสูญสิ้น ดับมัวแสงรังรอง ประนามเมล็ดพันธุ์ซึ่งถูกห่อหุ้มไว้อย่างดีภายใต้รอยลากพู่เล็กจรดเสี้ยวแปรงวงหนา
สะเก็ดบาดน้อยทิ้งตัวตกตะกอน หล่นลับจรลาชั้นลำดับ หลอมรวมหนึ่งแผกอาลัย
มีเพียงเขาและข้าพเจ้า
สอง
ที่รอบรู้ว่าภายใต้ฝีแปรงนั้น คือ สมการใดในสัมพันธ์แห่งสัทพจน์นับอนันต์
‘
ปีกกล้าของนกยามเย็นกำลังบินกลับรังนอน
1 สับปลับ (กริยาวิเศษ) กลับกลอกเชื่อถือไม่ได้ บางทีใช้คู่กับคำว่าสับปลี้ เป็น สับปลี้สับปลับ
2 แฟร็กทัล (fractal)
3 ธัญญ์ธิชา ความหมายชื่อ แปลว่า เกิดมายิ่งใหญ่ด้วยโชคอันมงคล
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in