*คลิกขวา กด loop หรือ วนซ้ำ*
couple; jooheon x kihyun
rate; 15+
เสียงเพลงแจ๊สที่คลอเคล้าภายในร้านคาเฟ่เรียบง่ายในย่านแห่งหนึ่งของแมนเชสเตอร์ผู้คนมากมายภายนอกกระจกที่กั้นไว้ระหว่างสังคมวุ่นวายและสังคมเงียบสงบ เพลงของ เชตเบเคอร์ ยังคงบรรเลงไปเรื่อยๆ ตามบรรยากาศช่วงฤดูใบไม้ร่วงของเดือนพฤศจิกายน
แม้ในแมนเชตเตอร์จะรายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมแนวกอทิกมากมายและดูจะไม่มีต้นไม้มาประดับตกแต่งรอบเมืองมากนัก แต่วิวโดยรวมแล้วกลับทำให้สถาปัตยกรรมอันสูงชะลูดแข็งกระด้างดูอ่อนโยนขึ้น
มันคงเป็นช่วงเวลาที่ ยู กีฮยอน โปรดปรานมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่เขามาอยู่ที่แมนเชตเตอร์แห่งนี้ ต้องขอบคุณการสอบทุนเรียนต่อของเขาที่ทำให้ได้มาเห็นโลกอีกฝากของตะวันตกที่สวยงามไม่แพ้ตะวันออกเลยเป็นเวลา2 ปี ตั้งแต่เข้ามาอาศัยในเมืองแมนเชตเตอร์เพียงลำพังช่วงแรกเขาแทบจะไม่กล้าออกไปไหนเลย เรียนเสร็จก็กลับมาที่ห้อง อ่านหนังสือบ้างเล่นโทรศัพท์เรื่อยไป ถึงเขาจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเพลงแจ๊สเพลงหนึ่งซึ่งดังมาจากตึกฝั่งตรงข้ามเหมือนถูกมนต์สะกดด้วยเสียงเพลงทำให้เขาเจอกับบางคนเข้า
เด็กหนุ่มราวๆวัยเดียวกันลักษณะเหมือนคนเอเชียเช่นเขา กำลังเปิดเพลง I fall in love too easily
ตั้งแต่นั้นมาเขาตัดสินใจทำงานในร้านคาเฟ่เล็กๆแห่งนี้ของเพื่อนที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันซึ่งเป็นตึกบล็อกเดียวกับที่ผู้ชายหน้าตาเหมือนคนเอเชียคนนั้นอาศัยอยู่และเผื่อเขาอาจจะได้เจอเขาในร้านกาแฟแห่งนี้พร้อมกับนั่งพูดคุยและดื่มกาแฟ
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เรียบง่ายของกีฮยอนรับออเดอร์ ชงกาแฟ ทำความสะอาด พูดคุยกับเพื่อนพนักงานด้วยกัน พักเที่ยงซื้อของมาเติม ถึงจะเป็นร้านคาเฟ่เล็กๆแต่ก็ใช่ว่าจำนวนลูกค้าจะเล็กตามถ้าเข้าช่วงฤดูหนาวลูกค้าจะยิ่งแน่น เพราะ การดื่มกาแฟร้อนตัดกับอากาศเย็นเยือกมันหอมหวานกว่าทุกช่วงไหนๆ คงเป็นความขัดแย้งที่เข้ากันอย่างน่าเหลือเชื่อล่ะมั้งที่ทำให้มันอร่อยยิ่งขึ้น
“กรีซ ช่วยรับออเดอร์โต๊ะที่ 14 ทีฉันต้องไปรับสินค้ากับผู้จัดการ”
“ได้ครับ”
“คัม-ซา-มี-ดา”
จอห์นเพื่อนมหาลัยเดียวกันและเป็นเด็กเสริฟ์ในร้านของตัวเองกล่าวขอบคุณเป็นภาษาเกาหลีที่กีฮยอนสอนแม้มันจะฟังดูเพี้ยนไปเยอะก็ตามจอห์นไม่ได้เรียกเขาว่ากีฮยอนแต่เรียกด้วยชื่อเล่นว่า กรีซเพราะมันง่ายกว่าการเรียกแบบภาษาเอเชีย กีฮยอนก็ไม่ได้ว่าอะไรมันคงยากที่จะให้คนตะวันตกเรียกชื่อของคนเอเชียแบบเป๊ะมากๆกีฮยอนเดินเข้าไปรับออเดอร์ที่โต๊ะ 14 ตามที่เพื่อนเขาบอกเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าซักถามเมนู และเมื่อเขาได้สบตากับลูกค้าเข้าก็พบว่าเป็นคนที่เขารอคอยมานาน
“เอ่อ... รับอะไรดีครับ?”กีฮยอนพูดภาษาอังกฤษตะกุกตะกักเล็กน้อย เพราะเขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนประเทศไหนในเอเชีย
“เอาอเมริกาโน่ล่ะกันครับ” เขาพูดเป็นภาษาเกาหลี?
“เฮ้! คุณเป็นคนเกาหลีเหรอ?”
“ใช่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“แล้วคุณรู้ได้ไงว่าผมเป็นคนเกาหลีเหมือนคุณ”นิ้วเรียวของเขาชี้มายังป้ายชื่อที่ปักบนอกซ้ายของเขา ให้ตายสิเจ้าทึ่ม ยู กีฮยอนนามสกุล ยู ภาษาอังกฤษตัวเบอเร่อขนาดนี้ทำไมเขาจะไม่รู้
“อ่า...ให้ตาย ผมนี่ทึ่มจริงๆ”
“เป็นลูกครึ่งเหรอครับ ชื่อ กรีซด้วย”
“อ่อ เปล่าหรอกครับมันเป็นชื่อเล่นที่เพื่อนในร้านตั้งให้น่ะครับผม ยู กีฮยอน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“ผม จูฮอน ครับ อี จูฮอน”
“งั้นเดี๋ยวผมรับออเดอร์ก่อนนะครับ”
“ถ้าทำงานเสร็จแล้ว...มานั่งเป็นเพื่อนผมก็ได้นะครับ”
เขาชวนเรานั่งด้วย ให้ตาย
อะไรกันแล้วยิ้มนั้นมันคืออะไรกันชอบใจเหรอ?
กีฮยอนพยักหน้าก่อนจะรับออเดอร์ของคุณอีและลูกค้าคนอื่นๆต่อ แม้ใจจะลอยละเมอไปอยู่ที่โต๊ะ 14 แล้วก็ตามเหมือนสวรรค์จะเป็นใจเมื่อเพื่อนของเขากลับมาที่ร้านและเปลี่ยนกะกับเขาได้ทันเวลาพอดีกีฮยอนยกแก้วกาแฟอีกแก้ววางลงบนโต๊ะเดียวกับคุณอี
“ไม่ต้องเกร็งหรอกครับผมน่าจะเด็กกว่าคุณนะครับ”
“เอ๊ะ? แล้วคุณอายุเท่าไหร่เหรอ”
“ผมเกิดปี 1994
“ห่างกันแค่ปีเดียวเองแต่ดูเป็นผู้ใหญ่จังนะ”
“ใครๆก็บอกแบบนั้นแหล่ะครับทั้งที่มันก็เป็นลุคปกติของผมเอง ฮ่าๆ”
“แล้วนี่เรียนอยู่รึเปล่า?”
“ครับ ผมพึ่งจะมาต่อปริญญาโทที่นี่”
“เหมือนกันเลยแต่นี่ก็ใกล้จะจบเต็มทีแล้ว คงไม่ได้เจอกันอีกหลังจากนี้”
“ผมเองก็คงเสียใจถ้าไม่ได้เจอคุณอีก”
“?”
ประโยคที่แฝงความนัยของจูฮอนลอยออกมาจากริมฝีปากอิ่มกีฮยอนเอียงคงสงสัยกับประโยคเมื่อครู่หากว่าที่เขาได้ยินหูไม่ฝาดล่ะก็เขากำลังรั้งกีฮยอนอยู่ใช่รึเปล่ากันนะ
“มันฟังแปลกๆเหรอครับ?”
“เอ่อ.. จะว่าอย่างงั้นก็ได้นะ”
“คือผมเองก็อัดอั้นใจมานานเหมือนกัน กว่าจะรวบรวมความกล้ามาที่นี่ได้...”
“...”
อี จูฮอนในวันนั้นที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตโดดเดี่ยวในห้องอยากจะทำลายบรรยากาศอึกอัดออกจากหัวเขาจึงเปิดเพลงแจ็สเพลงโปรดของเขาพร้อมกับอ่านวรรณกรรมเพื่อท่องโลกจิตนาการที่เขาชื่นชอบและในตอนนั้นเองที่สายตาคมได้เหลือบไปเห็นผ้ายคนหนึ่ง อายุราวๆ 25 ได้กำลังเดินออกมาจากประตูของตึกฝั่งตรงข้ามกำลังหลับตาราวกับซึมซับบรรยากาศในช่วงฤดูของใบไม้ผลัดสีบนฟุตบาทซีเมนต์นั้นและดูเหมือนผู้ชายหน้าหวานคนนั้นกำลังฟังเพลงของเขาอยู่
“อันที่จริงแล้วผมเองก็รอคุณเหมือนกัน...”
“จริงหรอครับ?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเพลงแจ๊สเพลงนั้นกับคุณไม่งั้นผมไม่มาทำงานที่นี่หรอก”
“ถ้าอย่างงั้นเราสองคนคงตกหลุมรักกันเหมือนในเพลงแล้วล่ะมั้งครับ”
ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานออกรสโดยที่จอห์นมองผ่านเคาว์เตอร์อย่างอิจฉาออกหน้าเช่นกันเพลงแจ๊สของ เชต เบเคอร์ ยังคงบรรเลงซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่รู้จบเหมือนดั่งการตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าของคนทั้งคู่การตกหลุมรักมันช่างง่ายดายและรวดเร็วเสียเหลือเกิน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in