เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
sunday sonata.sweetsingularity
track 01: indulgence

  • บอกผมทีว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง


    ลมหายใจอุ่นของคนบนตัก เสียงงึมงำต่ำนุ่มของหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลช็อกโกแลตเข้ม

    นิ้วเนียนที่เกาะกุมมือผม รอยแดงจางบนหลังมือจากแหวนเงินที่แนบทับ

    รีบจับรั้งไว้เหมือนผมจะหนีไปที่ไหนสักแห่งน่ะแหละ




    “พี่ชาย... ง่วงละอะ”


    (เหลวไหล เหลวไหลที่สุด มาโกหกกันตรงๆอย่างนี้ แล้วคิดว่าผมจะเชื่อ)

    คิดพลางเอามือดันคนง่วงให้ลุกขึ้น ดันอกแข็งๆ ซิกซ์แพ็คที่มันฝึกนักฝึกหนากว่าจะได้มาให้พ้นเตียง แต่ผมต้านแรงคนตัวโตกว่าไหวที่ไหน


    ...
    ........

    (ไอ้เด็กโข่งเอ๊ย)



    “ง่วงก็กลับห้องไป” ผมออกปากไล่ เสียงห้วนกว่าตั้งใจ สายตาเตร่ลงมาที่ต้นคอขาว (อยากจะชกหน้าตัวเองให้ตื่นเสียรู้แล้วรู้รอด—

    —อย่าเลย ชาร์ลี

    อย่าได้แม้แต่จะรู้สึก)



    ชอว์นเงยหน้าขึ้นมองผม

    เสียงแอร์ของห้องโรงแรมห้าดาวแทรกเข้ามาในประสาทแวบหนึ่ง

    เห็นทีจะโดนตาน้ำตาลหวานฉ่ำคู่นี้ทำพิษอีกแล้ว



    ผมต้องยอมแพ้กี่ครั้งกี่หนกัน กับเจ้าลูกหมาเมื่อวานซืน?




    “ใครบอกให้อยู่ต่อซะนาน” เขยิบตัวขึ้นใกล้หัวเตียง กะจะเอนหลังพิงกำแพง แต่คนนอนอยู่ดันคว้าข้อมือผมหมับ



    “...ก็ผมอยาก”




    เคยมีคนบอกนายไหม เมนเดส ว่าแก้มระเรื่อเจือสีชมพูตอนนายกำลังเมานี่น่าหยิกแค่ไหน




    จู่ๆ ก็โผล่มาหน้าประตูตอนห้าทุ่ม เคาะเสียงดังจนผมกลัวว่าข้างห้องจะตื่น เปิดไปก็เจอร่างทั้งหกฟุตสองนิ้วนั่น (ให้ผมเถียงเสียงแทบขาด ผมก็ตัวสูงพอๆกับเจ้านี่ละ ขาดเหลือไม่กี่นิ้วเอง) เสื้อกล้ามขาว กางเกงวอร์มน้ำเงินขาสั้น หนีบเบียร์มาครึ่งโหล กับกล่องกระดาษขนาดกลางสีแดง


    ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมหยุดเอาง่ายๆ หลังวันเกิดอายุสิบเก้า

    (นี่มันเด็กดีที่เพิ่งเริ่มดื่มเมื่ออายุผ่านตามกฎหมายแคนาดา เด็กดีที่พาตัวเองเข้ามาห้องผมดื้อๆ ไม่บอกกล่าว)

    ก้มลงมองแล้วก็เหม็นชุดนอนตัวเอง


    ใช่ว่าจะพร้อมรับแขกซะเมื่อไหร่




    “เค้าให้เค้กมา” หนุ่มแคเนเดียนชูกล่องกระดาษในมือข้างหนึ่งขึ้น ปากตวัดเป็นรอยยิ้ม

    แน่นอนว่าผมรู้ประโยคถัดมาก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยมัน

    จะพยายามกลั้นยิ้มก็ช้าไปเสียแล้ว

    “ผมกินคนเดียวไม่หมดหรอก” ก้าวยาวๆก้าวหนึ่งเข้ามาในห้อง วางเบียร์และกล่องเค้กที่โต๊ะกลม ก่อนหย่อนก้นลงบนเตียง

    “พี่ช่วยทีสิ”




    แผน นี่มันแผนชัดๆ

    ทุกอย่างวางหมากไว้หมดแล้ว มีแต่รอผมเล่นตามเกมเท่านั้น





    “มึงก็ชอบน้องนี่หว่า” เสียงเพื่อนบางคนแว่วเข้าหู

    แอบขนลุกซู่ ที่ดันนึกถึงมันขึ้นตอนนี้

    “จ้องเค้าอยู่นั่น ละตอนเค้ามาชวนทัวร์ด้วยก็กระโดดดีใ—“

    ผมหยุดมันด้วยนิ้วชี้

    “กูได้ตัง” ผมตอบเสียงเรียบ “กูก็ดีใจ”




    .... ดีใจกะผีน่ะสิ

    กว่าสอง - สามเดือนที่ผมต้องอยู่ใกล้เจ้าเด็กนี่ กว่าเก้าสิบวันที่ผมต้องทำตัวเป็นพี่ชายธรรมดาๆ ฝึกซ้อมร้องเพลง นับจังหวะ เคาะสเต็ปเต้นข้างๆเขา


    ต้องคอยมองตา มองผมหยักศกอย่างกับแก๊สบี้ อัลปาก้า แฮมสเตอร์นั่น




    หัวใจใครอยู่นิ่งได้ก็บ้าแล้ว




    “ไม่” ปฏิเสธนิ่มๆ ควรจะได้ผลเร็วทันใจใช่มั้ย “อยากกินก็กินเอง”

    ผมทรุดตัวลงนั่งข้างร่างสูง (ความผิด #1) ผลักไหล่เขาอย่างอดไม่ได้

    “เห็นชอบเค้กช็อคโกแลต.... ไม่ใช่หรอ”


    ชอว์นสบตาผมแล้วยิ้มกว้าง

    ยิ้มใสๆ ยิ้มเบาๆ ยิ้มแบบเด็กดื้อที่ยอมฟังผมเพียงช่วงเวลาหนึ่ง

    ยิ้ม แบบที่ตายิ้มไปด้วย

    ยิ้ม แบบที่ผมเห็นแล้วรู้สึกราวบ้านทั้งหลังพังครืนลงใส่




    “มึงอย่าทำตัวเป็นเทย์ สวิฟต์หน่อยเลย” เพื่อนคนเดิมเหน็บ ช้อนกาแฟเล็กของมันกระทบริมแก้วเกร้งแกร๊ง

    “แม่งแต่งเพลงถึงสาวคนโน้น คนนี้ เงาอาฆาต...” ปลายช้อนเล็กเล็งจมูกผมกลับ “... แรงนักนะ”

    ผมยักไหล่

    “ก็ไม่ได้อาฆาตเสมอไปป่ะวะ...”

    มันยักไหล่

    “รักล่มเสมอสิมึง”

    ...แล้วก็โดนตบป้าบเข้าให้จนได้




    “รู้ว่าผมชอบเค้กช็อกโกแลตด้วยหรอฮะ” ชอว์นว่า เขยิบตัวมาใกล้ผมที่ปลายเตียง

    ร่างกายเจ้ากรรมเลือกจะนิ่งไม่ตอบ นั่งแช่อยู่อย่างนั้น (ความผิด #2) และเจ้าหนุ่มก็นั่งชิดผมจนเริ่มกลัวหัวใจจะชิงพูดแทน




    หันขวับมาศึกษาผนังสีขาวตรงหน้า อารามคิดถึงหอที่บอสตัน ผนัง กำแพงสีเรียบล้อมรอบ กับเสียงจูนดนตรีของผมเอง

    อะไรก็ได้ที่ไม่—ไม่ใช่ตัวแปรข้างตัว




    ผมเคยแน่ใจไปทุกอย่างว่าควรทำยังไง ตัดสินใจแบบไหน


    คนข้างตัวทำจังหวะผมรวนขนาดนี้เชียว...




    “ได้ยินมา” ผมตอบชนิดขอไปที มือเกาหลังคอตัวเองแกรกๆ

    ชอว์นหัวเราะ และบางสิ่งในเสียงนั้นลบความคิดก้าวต่อไปของผมเกือบหมด

    เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดกล่องเค้ก ตักเข้าปากไปคำหนึ่ง แล้วถอนหายใจอย่างอิ่มเอม



    “อาาา....”



    บอกตรงๆ ว่าผมไม่รู้สึกร้อนวูบลงตามกางเกงบ๊อกเซอร์ที่สวมอยู่เลยสักนิด


    ไม่ เลย สัก นิด




    “อร่อยนะพี่” เด็กดื้อของผมโฆษณาปาวๆ ตักอีกชิ้นมาโบกตรงหน้า “ชีสเค้กแฟคทอรี่ด้วย...."


    ผมส่ายหัว ดันส้อมกลับไปหาเจ้าของ


    “งี้หรอ วิถีคนผอมของนาย เมนเดส”

    ชอว์นกลอกตา แก้มป่องกำลังวุ่นเคี้ยวเค้กตุ้ยๆ

    “ผอมอะไร ความอ้วนไม่มีอยู่จริงหรอกพี่”

    “หือ—ว่าไงนะ--“



    หมั่นเขี้ยวดีนัก เพอร์เฟคอย่างที่เป็นแล้วกล้าพูดอะไรอย่างนี้



    คราวนี้ผมเอื้อมแขนไปแย่งส้อมกลับมา (ความผิด #3) กะจะกินคำโตให้รู้เรื่อง แต่กลับพบตัวเองอยู่ในอ้อมอกของอีกคน
    สันจมูกตรงห่างจากหน้าผมไม่กี่นิ้ว ริมฝีปากใกล้กันจนแทบกลั้นหายใจ



    “….”

    “........”



    ผมกระพริบตา

    ชอว์นกัดริมฝีปากล่าง จ้องตาผมเหมือนการแข่งขันที่ฝ่ายแพ้จะกลับบ้านมือเปล่า



    ทำไมนะ

    เขาอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แล้วทำไมผมถึงทำอะไรไม่ได้



    ฝ่ามือใหญ่ทาบต้นขาผม

    เสียงอีกฝ่ายทุ้มลงไปเกือบอ็อกเทพ และใจผมร่วงหล่นไปกองกับพื้นเรียบร้อย




    ....เอาจริงดิ



    (เพอร์เฟค พิชต์แม่งไม่เคยโกหก)



    “พี่—“



    ได้ยินเสียงส้อมกระทบพื้นจางๆ หัวกำลังจินตนาการถึงเค้กช็อคโกแลตที่เกือบได้ชิม ก็กลับได้รู้รสจากปากของเด็กหนุ่มตรงหน้าพอดี



    TBC.
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in