เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
วินาทีที่ยาวนานSTOUCH
EP3 : ทุกคนต่างรอคอยของขวัญในวันเกิดตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดครั้งไหนก็ตาม
  • ผมได้ยกตัวอย่างเรื่องเศร้าในวันเกิดไปซะหนาเลย เลื่อนขึ้นไปดูกลับพบว่ามันอาจทำให้อ่านจนตาหมุนเป็นลูกข่างอยู่เหมือนกัน ตามหลักโรงละครเขามักกล่าวกันว่า ศิลปะชั้นยอดมาจากความเจ็บปวด และความเจ็บปวดนี้มันคงทำให้ผมมือลั่นไปหน่อย เลยอดเล่นใหญ่ไม่ได้ นิผมยังไม่หยุดมือลั่นเลยนะครับ

    แต่เอาจริงๆ วันเกิดผมปีนี้แตกต่างไปจากหลายปีที่ผ่านมา เมื่อเติบโตขึ้นของขวัญก็ลดน้อยลงไปเลื่อยๆ แถมบ้างปีอาจทำได้แค่นอนหลับตาให้ผ่านวันเกิดไปเฉยๆ เหลือเพียงแต่เสียงที่พูดกับตัวเองว่า

    'สุขสันต์วันเกิด แก่ขึ้นอีกปีละ'
     
    ส่วนตัวผมเองนั้นยังคงเชื่อว่า "ทุกคนต่างรอคอยของขวัญในวันเกิดตัวเอง" ไม่ว่าจะเกิดครั้งไหนก็ตาม ผมเองก็เช่นกันผมยังคงเฝ้ารออะไรบ้างอย่างที่มากกว่า ประโยคเดิมๆ ที่ทุกคนมอบให้กันว่า 'สุขสันต์วันเกิดนะ' ซึ่งมันจะมีมาทุกปีเป็นวงล้อ ทำส่งต่อกันไปจนเรียกได้ว่านิแหละคือวัฒนธรรมที่ตายตัวสำหรับวันเกิดไปเสียแล้ว มนุษย์เราจะทำอะไรได้อีกนอกจากมอบคำว่า สุขสันต์วันเกิดให้กันและกันเมื่อวันเกิดของใครมาถึง มันมีความหมายในเชิงลึกไหมอันนี้น่าสนใจหากใครจะไปวิเคราะห์ต่อ แต่ผมก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนั่นหมายถึงเรายังนึกถึงกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และมันก็ทำให้ยิ้มเล็กๆ ได้ทุกครั้งที่มีคนมา 'สุขสันต์วันเกิดนะ' แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนกิเลสหนา ได้หนึ่งอยากได้สอง(แหมก็นะครับ ของฟรีใครบ้างไม่อยากได้) ผมเลยแอบรอคอยของขวัญจากใครสักคน  ซึ่งก็น่าเศร้าอีกละครับที่เรื่องแบบนี้มันมีเงื่อนไขเป็นธรรมดา เพราะคนที่พิเศษเท่านั้นที่อาจจะมีสิทธิ์ ตายละหว่า! ผมไม่เคยมีใครมองว่า ผมเป็นคนพิเศษสำหรับเขาซะด้วย เลยอดของขวัญอยู่ล่ำไป

    วันเกิดจึงเกิดเป็นวันเซง

    ผมเดินวนเวียนไปมาอยู่ในห้องรื้อลิ้นชักออกมาหวังแค่ว่า จะมีอะไรให้ตื่นเต้นได้บ้างจากของเก่าๆ ที่เก็บยัดหมกไว้ จนเจอโทรศัพท์เครื่องเก่าอยู่เครื่องหนึ่ง ที่กาลครั้งหนึ่งเคยมีข้อความเสียงข้างต้นดังออกมา ผมรีบหยิบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองเห็นว่ามันมีรอยแตกร้าวไปตามกาลเวลาของมัน ผมหยิบมันออกมาชาร์จแบตแล้วเปิดเข้าไปดูในอัลบัมรูปภาพ และคิดในใจว่าถึงแม้เป็นอีกปีที่จะไม่ได้ของขวัญ แต่อย่างน้อยก็คงได้นั่งขำกับภาพเก่าๆ ที่เก็บไว้  ((กระทั้งตอนนั้นเอง))   ที่ผมตระหนักได้ว่า

    ผมดันพลาดอะไรไปบ้างอย่าง

    -

    ไม่ใช่เรื่องรอคอยของขวัญในวันเกิดตัวเอง
    ไม่ใช่เรื่องที่บอกตัวเองแก่ขึ้นอีกปี
    ไม่ใช่เรื่องเพลงของขวัญวง Musketeers
    ไม่ใช่เรื่อง ดูแลตัวเองให้ดีจากข้อความเสียง

    และก็ไม่ใช่  เสียงผู้หญิงในสายโทรศัพท์ที่พูดต่อกันเป็นเวลายาวนาน

    ไม่ใช่ใครเลยทั้งนั้น นอกจาก
    คนคนหนึ่ง
    คนที่จำข้อมูลส่วนตัวผมได้
    คนที่มองผมเคลื่อนไหวช้าๆ อยู่บนพื้น
    คนที่จำวันเกิดของผม ได้เป็นคนแรก

    และคนคนนั้นก็คือ แม่

    happy birth day
    วันนี้มีสองอย่างที่เกิดพร้อมกัน
    ผู้เป็นแม่ มอบความรัก
    จากร่างกายเป็นแม่คน
    ส่วนอีกคน ถูกเบ่งคลอด
    ด้วยหัวใจเป็น ลูกแม่

    ผมนั่งอ่านข้อความที่ตัวเองเคยส่งไปให้แม่ผ่านรูปแคปหน้าจอที่เก็บไว้ในอัลบัม ความรู้สึกมันเหมือนไฟฉายที่ถ่านกำลังหมด แต่ยังพอมีกระแสไฟอ่อนๆ อยู่ แสงไฟฉายจึงส่องจนเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ชัดมากขึ้น ว่าชีวิตในบางช่วงขณะหนึ่ง ผมได้พลาดอะไรไปบ้าง

    เรื่องหนึ่งที่ผมพลาดอย่างหนักก็คือ ผมดันไปติดกับดักวัฒนธรรมของวันเกิดโดยไม่รู้ตัว ผมมัวเมากับการรอของขวัญจากคนสำคัญ ซึ่งพอไม่ได้มาก็จะกล่อมประสาทตัวเองตลอดจนหลอน ว่ามึงมันไม่พิเศษไม่สำคัญอย่างนั้นอย่างนี้ ขนาดวันเกิดยังเคยโดนบอกเลิกลา แล้วจะมาหวังลมๆ แล้งๆ อีกต่อไปทำไม จนลืมไปว่ามีคนหนึ่งที่มองผมเป็นคนพิเศษตลอดเวลาและรอคอยที่จะสุขสันต์วันเกิดให้ผมอยู่ทุกๆ ปี นั่นก็คือแม่

    จริงอยู่บ้าง ที่บางปีผมอาจต้องเป่าเค้กคนเดียวในความมืด แต่เค้กก้อนนั้น แม่ก็คือคนที่หาซื้อมาให้ แม่เคยบอกผมว่าอย่าไปอยากได้ของคนอื่นถ้าแม่มีเงิน แม่จะไปหามาให้ และทุกวันนี้แม่ก็หามาให้เสมอเท่าที่แม่จะทำให้ได้โดยอยู่บนความพอดี ของขวัญวันเกิดผมไม่เคยได้สักปีเมื่อผมโตขึ้น แต่แม่ก็หาทางซื้อมาให้ผมเสมอถึงจะเลยวันเกิดไปแล้วก็ตามทั้งเกมส์เพลย์ทูที่ฮิตมากในยุคที่ผมกำลังเริ่มทำตัวป๊อบๆ หรือพีเอสพีเครื่องสีขาวรุ่นตัวบาง เเละพาไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมชอบมากมายในวันสำคัญของผม มีอีกเยอะมากเลยนะครับ ของขวัญที่มาจากแม่เนี่ยให้เล่าคงไม่จบง่ายๆ

    แต่ของขวัญที่พิเศษมากจากแม่อย่างหนึ่ง ที่ผมจำได้ขึ้นใจ นั่นคือคำสอนที่บอกผมตั้งแต่ยังเด็กว่า

    ถ้าเรามี เราก็ควรให้ และจง รู้จักเป็นผู้ให้ มากกว่าผู้รับ
    วันเกิดผมปีนี้จึงแตกต่างไปจากหลายปีที่ผ่านมา ผมทำตามสิ่งที่แม่เคยทำให้ผมเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมของแม่ส่งต่อให้ลูกจะดูยิ่งใหญ่ไปไหมครับ เพราะเมื่อเรามีเราก็ควรให้ ผมเลยเป็นผู้ให้คนอื่นแทนในวันเกิดตัวเอง ไม่พันธการตัวเองด้วยการรอให้คนอื่นมามอบของขวัญให้อีกต่อไปแล้ว และทุกครั้งที่ผมให้ก็จะมีผู้รับมากมายเข้ามาใช้ปากเพื่อให้ผมถึงจุดสำเร็จ ผมก็ต้องยอมครับ ใจอ่อนจริงๆ เพราะผมรู้สึกเป็นเกียรติ ที่การให้ครั้งนี้มันทำให้ผู้รับของผมมีรอยยิ้ม -บางที่ชีวิตเราก็อาจจะมีความหมายมากขึ้นผ่านจำนวนรอยยิ้มของผู้คนที่ส่งให้กันก็ได้-

    แต่ถ้าใครงงว่าใช้ปากอะไรยังไง ก็สามารถไปตามอ่านกันให้กระจ่างแจ้งได้ในบทความก่อนหน้านี้ของผมครับ ชื่อบทความว่า 'เมื่อชีวิตเดินทางมาถึงจุดหนึ่ง จุดที่ต้องใช้ปากให้ใครจนถึงจุดสำเร็จ'
    https://storylog.co/story/56ebd25a7b9d965231c8916e

    .....

    ผมยังคงเชื่ออยู่อีกแหละครับว่า ทุกคนต้องมีแม่ ไม่งั้นคนที่นั่งอ่านบทความผมอยู่คืออะไร!
    hahaha มีย้อนเล็กๆ คงไม่เคืองกันนะครับ ว่าแต่คุณเคยรอของขวัญจากใครในวันเกิดไหมเอ่ย หากรอแล้วได้รับหรือไม่ได้รับยังไงก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า แม่คือของขวัญชิ้นโบว์แดงที่สุดในชีวิตเราแล้ว ถ้าไม่มีแม่ เป็นไปได้ยากมากครับที่จะมีเราเป็นตัวเป็นตนในวันนี้ แถมปีนี้แม่ผมยังส่งเค้กก้อนโตมาให้อีกทั้งที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วแบบนี้จะไม่ให้รักแม่เพื่มขึ้นทุกๆ วันได้ยังไงละครับ

    วันเกิดคุณปีนี้คุณจะมอบอะไรให้แม่ดีครับ ส่วนผมวางแผนไว้ว่าจะยืมเสียงผู้หญิงในสายที่ผมตัดสายไปหลายครั้ง ให้เธอติดต่อกลับไปหาแม่ผมและมอบข้อความเสียงให้ หวังว่าแม่ลูกจะไม่เหมือนกันขนาดที่พอเสียง สวัสดีค่ะ ดังขึ้นแล้วกดตัดสายนะ เพราะหากเป็นยังงั้นจริงเรื่องนี้จะคอมเมอดี้มาก และนิคือสิ่งที่ผมอยากจะส่งไปให้แม่ครับ

    อยากจะขอดาวจากฟ้า ทุกดวงดารา
    ให้ช่วยนำพาให้เธอได้เจอ แต่สิ่งที่ดี
    อย่ามีเรื่องร้าย ให้เธอเจอแต่สิ่งที่ดี
    และต่อจากนี้

    ลูกจะดูแลแม่ให้ดี

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in