โอ นี่เป็นเรื่องที่ระยำตำบอนที่สุดเท่าๆกับที่มันน่าขบขัน
ผมหัวเราะจนไม่เหลือเวลาให้หายใจได้สะดวก น้ำตาก็ไหลไม่หยุด มันขบขันแต่ก็ขมปร่า
-----------------------------------------------------------------------------------------------
จริงๆมันเริ่มมาได้สักพักแล้ว หลายปีมานี้ผมเห็นภาพหลอนของเธอ ผมมักจะเห็นเธออยู่ตามที่ต่างๆโดยเฉพาะสถานที่ยามค่ำคืน ผมเห็นเธอที่ แกสตัน ในคืนหนึ่งของเดือนสิงหาคม เดอะเจ็ม ซาลูน สองอาทิตย์หลังจากนั้น ที่ ดิอาเชอร์ ผมเห็นเธอไม่ค่อยชัดเพราะแสงสีแดงนั้นกลืนเป็นหนึ่งเดียวไปกับผมสีเพลิงของเธอ ผมได้กลิ่นซิการ์ของเธอที่ เด็กซ์เตอร์ เลค คลับ แล้วหลายเดือนถัดมาเธอก็จูบอยู่กับผู้ชายอีกคนที่หน้า เดอะฮ็อกซ์เฮด
แต่ในบรรดาเหตุการณ์ภาพหลอนทั้งหมด ครั้งนี้เป็นครั้งที่ชัดเจนที่สุดจนผมเกือบคิดไปว่านั่นคือเธอแน่ๆ โอ แต่ไม่ใช่หรอก เธอจากไปนานแล้ว อันที่จริงผมเริ่มไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าภาพของเธอที่เคยอยู่ในความทรงจำนั้นเคยมีอยู่จริงหรือไม่ บางทีเธอในความทรงจำกับเธอจริงๆตอนนี้คงได้แยกออกจากกันเป็นคนละคนไปที่เรียบร้อยแล้ว ผมนั่งเบื้อใบ้เหมือนโดนเอาค้อนทุบที่หัว เธอดูไม่เหมือนคนในความทรงจำขนาดนั้น แต่ก็ใกล้เคียงทีเดียว ผมมือสั่น เหงื่อออก จนเจ้าหนุ่มเอเชียที่นั่งข้างๆถึงกับต้องเหลือบมองพร้อมส่งสายตาเหมือนจะถามว่าผมเป็นอะไรไหม เป็นสิ เป็นมาก ผมคิดถึงเธอเหลือเกิน ความเงียบงันและการแสดงออกว่าไม่แคร์สังคม ไม่แคร์เธอของผมเก็บกดมานานเป็นสิบปี มากจนผมเห็นเธออยู่ในทุกๆที่ ความรู้สึกผิดบาปและรสขมปร่าเหมือนจะไหลย้อนออกมาตามทางเดินอาหารจนรู้สึกร้อนคอไปหมด
แต่เหมือนคนที่ต้องการพิสูจน์ว่าผีห่าซาตานนั้นมีจริงหรือไม่ ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆและตั้งสติไปกับเสียงเชคของบาร์เทนเดอร์ที่ดังเป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจของผม มือกอบแก้วแจ็คแดเนียลไว้ทั้งสองมือ ตาจ้องเป๋งไปยังน้ำแข็งก้อนกลมสวยงามในนั้น ผมค่อยๆเหลือบมองไปทางพ่อหนุ่มเอเชียคนเดิม เหมือนเขาจะมองผมอยู่แล้ว โดยไร้บทสนทนาหรืออาจจะอุปาทานของผมเอง เจ้าหนุ่มคนนั้นก็พยักหน้าน้อยๆ ส่งสายตาสมเพชเวทนาผมราวกับผมเป็นผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้าย แต่ผมรู้ว่านั่นเป็นสัญญาณส่งตัวออก เป็นนกหวีด เป็นไฟเขียว เป็นคำใบ้ของกำลังใจระหว่างลูกผู้ชาย ผมลุกขึ้นยืนอย่างทหารที่ขี้ขลาดที่สุดคนหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ผู้คนควรจะบันทึกมันลงในสมุดหนังหมาต้องห้ามจากนรกขุมที่สิบแปดของฮาเดสกับสาวผู้ละม้ายคล้ายเธอคนนั้นว่า
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมขออนุญาตเรียกคุณด้วยชื่อภรรยาของผมได้ไหมครับ”
ผมได้ยินเสียงเจ้าหนุ่มเอเชียสำลักน้ำ เสียงบาร์เทนเดอร์ทำเชคเกอร์ตกลงพื้นดังแคร้ง ก่อนจะเป็นเสียงเงียบที่รายล้อมอยู่รอบตัวผมพร้อมๆกับที่เหงื่อเริ่มไหลออกมากจากขมับของผมเอง เธอดูไม่เชื่อหูตัวเองแต่ก็ไม่ได้มีท่าที่โกรธเคืองอะไร ก่อนจะมีรอยแย้มยิ้มน้อยๆพร้อมคำปฏิเสธอย่างชัดเจน รุนแรง
ผมเหมือนทหารผู้ขี้ขลาดที่เดินไปร้องขอชีวิตกับศัตรูแล้วถูกยิงลงที่กลางหัวใจ ผมไม่แน่ใจว่าเธอคิดว่าผมเมาหรือเปล่าเพราะเธอดูไม่ได้โกรธเท่าที่ผมคิด ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเสียใจแทบเป็นแทบตาย คำปฏิเสธของเธอทับซ้อนกับภาพในวันที่เธอหายตัวไปวันนั้น วันที่ผมไม่แยแสและรอคอยวันที่เธอจะกระเซอะกระเซิงกลับมาซึ่งไม่เคยมาถึง วันคืนนับสิบปีกับความว่างเปล่าที่เฝ้าบอกตัวเองว่าเธอทนไม่ได้หรอกที่จะอยู่โดยไม่มีผม ผมร้องไห้เสียงดังที่สุดในชีวิตอยู่กับตักของเธอ ความรู้สึกอัดอั้นจุกอยู่ในอกทะลักทะลายออกมา น้ำมูกน้ำตาไหลไปกองรวมกันที่เหนือริมฝีปาก หัวก็ปวดเหมือนจะระเบิด โอ ผมอยากจะหยุดเสียตรงนี้ อยากจะหยุดความอับอายทั้งหมดที่จะถาโถมใส่ผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งแต่ผมก็หยุดมันไม่ได้เลย ผมบอกทุกอย่างที่อยู่ในใจเหมือนคนที่สำรอกเอาอาหารที่ไม่ย่อยมาเป็นสิบปีออกจากกระเพาะ เหมือนคนที่สารภาพบาปอยู่ในตู้ไม้กับบาทหลวงที่ผมไม่เห็นหน้า ผมบอกเธอว่าเป็นผมเองที่นอกใจ เป็นผมเองที่บีบบังคับให้เธอเป็นคนพูด ผมเองที่ทำเหมือนไม่แยแสตอนที่เธอบอกว่าจะมีคนใหม่ ผมบอกเธอว่าผมรักเธอเพียงไร และผมเห็นภาพหลอนหมื่นพันของเธอ น้องสาว พี่สาวของเธอ ฝาแฝดของเธอ รวมถึงโพสเตอร์ไกส์ของเธอในบางที ผมวอนขอให้เธอยกโทษ ผมบอกเธอว่าผมกลัวว่าวันหนึ่งจะลืมหน้าของเธอ ผมร้องไห้จะเป็นจะตาย ผมไม่ได้ยินเสียงอื่นอะไรอีกแล้ว
ผมคิดว่าสติของผมคงเหลือน้อยเต็มที ไม่ได้นับว่าเป็นเวลากี่นาทีที่ผมร้องไห้อยู่ตรงนั้น แปลกใจว่าทำไมผมยังไม่ถูกใครสักคนในบาร์หรือตำรวจที่ไหนมาลากตัวออกไปสักที แต่ความอบอุ่นของตักผู้หญิงคนหนึ่งก็ยังอยู่แนบชิดกับตัวผม แน่นิ่งจนผมไม่แน่ใจ ผมตัดสินใจเงยหน้ามองขึ้นใบหน้าของเธออีกครั้ง คาดหวังว่ามันอาจจะเป็นใบหน้าของใครคนอื่น แต่ภาพนั้นก็ยังเหมือนเดิม เป็นหน้าของเธอนั่นแหละ
“ขอโทษครับ คุณผู้หญิง” ผมพูดเสียงสั่นเครือ เธอไม่ได้ยิ้มให้ผมอีกต่อไปแล้ว ดูจะเบื่อๆเสียมากกว่า
“คุณรู้ไหมว่าที่จริงแล้วฉันไม่ควรทำแบบนี้” เธอเช็ดคราบน้ำตาและน้ำมูกด้วยผ้าเช็ดหน้าอันมีกลิ่นน้ำหอมที่ผมคุ้นเคยมาตลอดชีวิต “แต่เอาเถิด คุณจะเรียกฉันว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้นที่คุณอยากเรียก”
ผมเรียกชื่อเธอ ไม่รู้ว่าเธอได้ยินมั้ย พลันภาพทั้งหมดก็มืดสนิท ผมเซลงจากตักของเธอบนเก้าอี้ตัวสูงที่บาร์และหมดสติก่อนจะรู้สึกเจ็บ
-----------------------------------------------------------------------------------------------
นี่เป็นเรื่องที่น่าขบขันที่สุดในโลกจริงๆ
คนทั้งร้านพุ่งสายตาไปที่เขา มีคนหลายคนทำท่าเหมือนจะเข้าไปช่วยเหลือคุณผู้หญิงผู้โชคร้าย แต่เธอกลับดูนิ่งตราบจนที่ชายผู้นั้นสิ้นสติไปนอนกองกับที่พื้นแล้ว ถ้าเขาจำไม่ได้ตอนที่เขาตื่นขึ้น เขาอาจจะคิดว่าตัวเองฝันไป แต่ถ้าเขาจำได้เขาก็คงจะอับอายไปตลอดชีวิต ผมเห็นเขามาตั้งแต่แรก นั่งอยู่ตรงนั้น เหงื่อออกเต็มตัว เหลือบสายตาไปที่คุณผู้หญิงที่นั่งถัดไปสองที่อย่างกล้าๆกลัวๆ เธอรู้ตัวอยู่แล้วและคงจับสังเกตได้ทันทีแต่ก็ไม่มีท่าที่ว่าจะลุกหนีไปราวกับว่าเธอรอคอยอยู่อย่างไรอย่างนั้น นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมบอกให้เขาทุกขึ้นลุยเสียที แต่เอาจริงๆผมก็ไม่นึกเลยว่ามันจะจบแบบนี้
เธอคนนั้นมองต่ำลงไปยังใบหน้าของเขา จุดซิการ์ขึ้นสูบ
“เขาบอกว่าเขากลัวว่าวันหนึ่งจะลืมหน้าของฉัน” เธอหันมาบอกผม
“แต่เหมือนกับว่าเขาจะจำฉันไม่ได้จริงๆด้วยซ้ำ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in