"แก ฉันไม่โอเคแล้ว" เสียงของแจมดังขึ้นมาจากโทรศัพท์หลังจากที่ฉันรับสายของเธอ
"เกิดอะไรขึ้น ใจเย็นก่อน ขอรายละเอียดก่อนแก" ฉันพยายามบอกแจมให้ตั้งสติ ฉันไม่อยากให้เธอรู้สึกโมโห หรืออารมณ์ไม่ดี เพราะเวลาที่คุยกัน มันจะไม่ได้อะไรเลย หากต่างฝ่ายต่างใช้อารมณ์
"แกเข้าใจปะว่าฉันอึดอัด"
"แจม แกอึดอัดอะไร"
"นิล แกจำไอ้คนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้มั้ย"
"พี่คนนั้นน่ะหรอ"
"ใช่แก ฉันไม่โอเคแล้วจริงๆ เว้ย"
"เกิดอะไรขึ้น"
"คืองี้ ตั้งแต่ฉันคุยกับพี่คนนั้นมา ฉันรู้สึกไม่เป็นตัวเองเลยซักนิด ย้ำเลยนะว่าไม่เป็นตัวเองเลย เพลงก็ไม่ได้ฟังอย่างที่ชอบ หนังสือก็ไม่ได้อ่านอย่างที่ต้องการ แถมดูหนังก็ไม่ยอมให้ฉันดูเรื่องที่อยากดู แก ฉันไม่โอเค!" เสียงของแจมเริ่มสั่น ไม่ได้สั่นเพราะว่าจะร้องไห้ ฉันจับทางได้ว่าเธอน่าจะกำลังพูดด้วยความอัดอั้น และฉันไม่เคยเห็นแจมโมโห และอารมณ์เสียขนาดนี้มาก่อน
เราสองคนไม่ได้คุยกันมานานพอสมควร ทั้งๆ ที่เราสนิทกันมากพอสมควร แต่เราไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่ที่แจมไปเริ่มคุยกับพี่คนนั้น แจมไม่อยากคุย ฉันก็ไม่อยากจะไปกวน แต่ฉันบอกกับแจมเสมอว่าเรายังคุยกัน ปรึกษากันได้ตลอด
"แกเคยบอกเขามั้ยแจม ว่าแกไม่โอเค"
"ฉันไม่กล้าบอกเว้ย ถ้าแกเห็นเขาตอนนั้น แกจะรู้ว่ามันไม่มีโอกาสให้บอกเลย"
"ได้ลองรึยัง"
"ฉันพยายามหาโอกาสบอกแล้วแก แล้วฉันก็พยายามทำความเข้าใจเขานะ"
"แล้วเป็นยังไงล่ะ แกก็มาอึดอัดเองอะนะ"
"เออ นี่ยังไม่รวมเรื่องที่เขาด่าเพื่อนฉันด้วยนะ ต่อหน้าทำดีด้วย แต่พอลับหลังก็ไปด่าเพื่อนฉันให้ฉันฟัง นั่นเพื่อนฉันนะเว้ย ฉันเคยบอกเขาแล้ว แต่เขาก็หาว่าฉันปกป้องเพื่อนอีก" แจมถอนหายใจยาวๆ ใส่
"นี่แกยังทนอยู่อีกหรอ"
"ไม่เอาแล้วแก"
"หมดรึยัง"
"ยังแก ยังไม่หมด"
"งั้นพักหายใจก่อน แล้วค่อยระบายออกมาให้หมด แกจะได้คลายความอึดอัดใจไปได้บ้าง" หลังจากที่ได้ฟังแจมบ่นมาให้ฟังซักพักแล้วก็พบว่า ทำไมเธอถึงต้องยกความสุขของตัวเองไปให้คนแบบนั้นด้วย แจมเป็นคนที่รักเสียงเพลงและการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ เสียงเพลงคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้แจมมีความสุข พาแจมให้สามารถยิ้มได้
"มาแล้วแก" แจมไปดื่มน้ำมาแก้วใหญ่ๆ เธอบอก
"อะ มาต่อๆ"
"ฉันเล่าอะไรไปบ้างแล้วนะ"
"ก็เรื่องเพลง หนัง หนังสือที่เขาไม่ชอบแบบเดียวกับแก ด่าเพื่อนลับหลัง"
"เออ มันมีอีกแก แกรู้ใช่มั้ยว่าฉันกับเขาแค่คุยกันเฉยๆ ไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่านั้น"
"อาหะ"
"เขาไม่เหลือพื้นที่ให้ฉันเลยซักนิดเลย ฉันมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับตัวเอง แต่เขาจะแทรกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของฉันมากเกินไป แทรกเข้ามาจนทำให้ฉันกับเพื่อนมีปัญหากัน ทำทุกอย่างในชีวิตของฉันให้มีแต่สิ่งของเขา ซึ่งฉันไม่พอใจมาก ฉันเคยบอกเขาแล้ว บอกประจำ บอกทุกครั้งที่เขาแสดงออกเลยนะ"
"แต่เขาไม่ฟังหรอ"
"แรกๆ ก็เหมือนจะเข้าใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยังทำเหมือนเดิม แต่ฉันก็บอกเขาตลอดเลยนะ"
"แจม ฉันถามจริงๆ เถอะ แกรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าแกไม่โอเค"
"ช่วงแรกๆ ที่คุยกัน แต่ฉันก็คิดว่าเราจะปรับเข้าหากันได้"
"แล้วทำได้จริงๆ มั้ย"
"ไม่เลยซักนิด"
"ตอนนี้จะทำอะไรต่อ"
"คืนนี้คงเรียบเรียงคำพูด และเตรียมเหตุผล อธิบายให้เขาฟัง"
"ถ้าเขาไม่ฟังล่ะ"
"ฉันก็ปล่อยเขาแล้ว ฉันเหนื่อยกับการที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง"
"ถ้าเขาไม่ปล่อยแกล่ะ"
"ไม่ปล่อยก็ช่างเขาแล้ว โตซะเปล่า แต่ไม่เข้าใจ ไม่คิดถึงใจคนอื่นก็ขอให้เขาโชคดี"
"งั้นก็ทำตามสิ่งที่ตัวเองเป็นตัวเองเถอะแก"
"ฉันยอมไม่ได้เว้ย ที่เขาจะมาด่าเพื่อนของฉันให้ฉันฟัง เขาชอบฉัน แต่เขาไม่ชอบเพื่อนของฉัน ไม่ชอบสิ่งที่ฉันฟัง อ่าน หรือดู ไม่ชอบสิ่งที่ฉันเป็น มันก็ไปด้วยกันไม่ได้แล้วแหละแก ต่อให้พยายามปรับก็เถอะ แต่ถ้าตัวเองไม่ชอบ จะพยายามปรับมันก็ฝืนใจตัวเองไปเปล่าๆ สุดท้ายเขาก็จะพังเอง ส่วนฉันก็จะรีบออกมาจากความสัมพันธ์พังๆ นั้นก่อนที่ฉันจะกลายเป็นคนที่ทรมานไปกว่านี้ ขอบคุณแกมากนะเว้ยนิล"
"อย่าคิดมากเลยแก ฉันสงสารแกนะแจม แต่ก็อย่างที่ฉันเคยบอกแกตั้งแต่คราวแรกๆ ว่าแกเลือกเอง แกก็ต้องพร้อมรับสิ่งที่แกเลือก ส่วนตอนนี้ แกก็รู้ตัวเอง และพาตัวเองออกมาให้ได้ไวๆ ล่ะ"
หลังจากที่แจมระบายให้ฉันฟัง เราก็กลับไปคุยกันเหมือนก่อน เหมือนตอนที่เรายังสนิทกัน พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเรา เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยก็กลับมาเหมือนเดิม ก่อนที่จะวางสายจากกัน แจมก็พูดกับฉันขึ้นมาว่า 'นิล ฉันโคตรคิดถึงช่วงเวลาแบบนี้มากเลยล่ะ คิดถึงเพื่อน คิดถึงการได้คุยแบบนี้ คิดถึงทุกอย่างเลยเว้ย คิดถึงแกด้วย ขอโทษนะที่เราไม่ได้คุยกันเลยในช่วงนั้น'
แจม เชื่อฉันสิ แกเลือกสิ่งที่ดีสำหรับแกได้ และแกสามารถมีความสุขไปกับสิ่งที่แกมีความสุขได้โดยที่ไม่มีใครบังคับ หรือทำให้แกอึดอัดจากสิ่งที่แกรัก เพื่อนทุกคนรักแกนะแจม และรอแกกลับมาเป็นตัวเองเหมือนที่แกเคยเป็นนะ
ฉันคิดว่าความสัมพันธ์ที่สร้างความอึดอัดให้แก่กัน มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ว่ายังไงก็ไปไม่ยั่งยืน ไม่ว่าจะใช้เวลานาน หรือแค่ช่วงเวลาอันสั้นก็ตาม ฉันยังคงเชื่อเสมอว่าในทุกๆ ความสัมพันธ์ต้องมีระยะห่างให้แก่กันและกัน คนเรามันต้องมีพื้นที่ให้ตัวเอง ไม่ต้องมาแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในชีวิตของอีกฝ่ายจนมากเกินไป มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะเข้าไปอยู่ในชีวิตของคนอื่น ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีชีวิตของตัวเอง มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาชีวิตของเราไปผูกกับคนอื่น ความสุขของเรา ถ้าเราทำให้ตัวเองไม่ได้ แล้วใครจะทำให้เราได้ล่ะ ลองคิดดูสิ
สุดท้ายนี้ ฉันก็หวังว่าแจม ผู้ที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบ Toxic Relationship และความไม่เป็นตัวเอง ได้หลุดพ้นจากความสัมพันธ์แบบนั้นได้อย่างเร็ว เพื่อความสุขและสุขภาพจิตที่ดีของแจม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in