เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SWAIN SWAN SVERIGE : ค่ำคืนอันเหน็บหนาว ณ ดินแดนใจกลางสแกนดิเนเวียMoschan Nutthapat Suma
Chapter 1 : ไม่เจอกันนานเลยนะ
  • .

    สำหรับผมการเขียนบันทึกก็คล้ายการถนอมอาหาร เราเก็บเกี่ยวเอาช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยเรื่องราวบรรจุลงโหลแก้ว แช่ตู้เย็น ปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้น กระทั่งวันหนึ่ง เมื่อหวนนึกขึ้นได้เราเดินไปเปิดตู้เย็นหมุนฝาโหลแก้วใบเก่านั้นออก ก่อนจะพบว่าสิ่งเหล่านั้นได้กลายเป็นความทรงจำที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สามารถกลับมาชื่นชมได้อีกไม่มีวันหมดอายุ 

    ผมตั้งใจกับตัวเองไว้ว่าจะเขียนบันทึกเล่มนี้ตั้งแต่ช่วงหลังจากกลับจากการเดินทางใหม่ๆ แต่กลายเป็นว่า ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เหตุการณ์ต่างๆ อลหม่านปั่นป่วนจับต้นชนปลายไม่ถูก ความรู้สึกนั้นท่วมท้นจนไม่สามารถเรียบเรียงอะไรออกมาเป็นตัวหนังสือได้เลย ต่างกับเรื่องสั้นหรือเรื่องแต่งที่พอมีไอเดียเพียงเล็กๆ ผ่านเข้ามาในหัวผมจะค่อยๆ ปะติดปะต่อมันออกมาทีละนิด จนในที่สุดก็ถึงหน้ากระดาษสุดท้าย สำหรับเรื่องของตัวเองแล้ว นอกจากการรวบรวมสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ยากที่สุดก็คือ การหาจุดเริ่มต้น ชีวิตคนเรานั้นเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่เรียงต่อกันไปเรื่อยๆ ทุกชิ้นสำคัญและส่งผลต่อชิ้นอื่นๆ เสมอ 

    เวลาจึงกลายเป็นตัวคั่นความรู้สึกที่ดีที่สุด ผมอาจต้องการห้วงเวลาในการตกผลึก ผมบอกกับตัวเองว่าเราควรห่างกันสักพักเผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น

    เวลาทำหน้าที่นั้นได้ดี ผ่านไป 4 ปี ผมก็ได้พบกับตัวเองอีกครั้ง 

    มันเหมือนการหายหน้าไปของเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน ทั้งๆ ที่ต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายยังโคจรอยู่รอบกันและกันเสมอ ช่วงเวลาที่ห่างกัน เราต่างใช้เวลาเพื่อค้นหา เผชิญหน้า และละทิ้ง จนที่สุดแล้วเราต่างบ่มเพาะตกผลึกซึมซับเหตุการณ์ต่างๆ และเมื่อถึงช่วงที่เหมาะสม เจ้าเวลาอีกนั่นแหละที่กลายมาเป็นแรงดึงดูดเพื่อนเก่าคนนั้นให้กลับมาพบผมอีกครั้ง เวลาพาให้วงโคจรของพวกเรากลับมาทับซ้อนกันอีกครั้ง เรายืนปะทะหน้ากันในมือถือกระเป๋าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยของขวัญมากมายซึ่งพร้อมจะเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไประหว่างกันและกัน

    เขายิ้มแล้วบอกกับผมว่า เขียนถึงฉันบ้างสิ...เราไม่เจอกันนานเลยนะ

    ขนาดมองจากมุมบนก็ยังมีเสน่ห์จริงๆ เลยนะ : เบอร์ลิน

    ย้อนกลับไปช่วงเดือนตุลาคม ปี 2013 ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง ‘Seven Something : รัก 7 ปี ดี 7 หน (2013)’  คงจะพอจำธีมของเรื่องได้ เขาว่าในชีวิตคนเรามักต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทุกๆ รอบ 7 ปี ผมเป็นหนึ่งในคนที่เชื่อแบบนั้น 

    7 ขวบ เด็กชายดีใจตื่นเต้นที่ตัวเองจะกลายเป็นพี่ชายคนโต เขาเฝ้าไปเกาะกระจกสายตาลุกวาวมองดูน้องสาวตัวน้อยที่นอนดิ้นไปมาในห้องเด็กอ่อน 

    14 ปี นักเรียนชาย ม.2 ได้รู้จักการลาจากเป็นครั้งแรก เพราะครอบครัวต้องย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกระทันหัน เขาจึงจำต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ทั้งที่มีเพื่อนและครูที่เขาผูกพัน 

    21 ปี นักศึกษาปี 3 ตัดสินใจทำตามความฝัน ลงสมัครชิงทุนแลกเปลี่ยนไปดูงานที่สวีเดนเป็นเวลา 3 เดือน ทั้งๆ ภาษาอักฤษแทบไม่กระดิก

    ตอนนั้นจำได้ว่า ผลสอบภาษาอังกฤษที่ผ่านเกณฑ์รับสมัครมาแค่ 2 คะแนน คืนก่อนสัมภาษณ์เครียดมาก ขนาดแนะนำตัวเองผมยังต้องแต่งประโยคแล้วจำเอา ไม่รู้จะหาวิธีไหนไปชนะใจอาจารย์ได้เลย ระหว่างที่กำลังท้อแท้ จู่ๆ ก็นึกถึงหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มันเป็นฉากเล็กๆ ที่กินใจด้วยคำพูดของ คริส การ์ดเนอร์ (รับบทโดย วิล สมิธ) ตัวเอกในหนังเรื่อง ‘The Pursuit of Happyness : ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้ ( 2006 )’ คริสต้องไปสัมภาษณ์งานในรุ่งเช้าของวันที่เขาเพิ่งจะพ้นโทษออกจากคุกด้วยข้อหาค้างจ่ายค่าที่จอดรถ เขาไม่มีเวลากลับบ้านไปแต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนผู้สมัครคนอื่นๆ สิ่งที่เขาทำได้คือรีบพุ่งไปสัมภาษณ์งานให้ทันเวลานัด แม้จะอยู่ในสภาพเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาดๆ แถมยังเลอะสีทาบ้านเต็มไปหมด แต่นี่คือไพ่ใบสุดท้ายที่เขามี เขาต้องต่อสู้กับแรงกดดันมากมายในชีวิต ทั้งชีวิตการแต่งงานที่ไม่ราบรื่น ตกงาน และต้องเลี้ยงดูลูกชาย แต่ด้วยความที่เป็นนักสู้มาโดยตลอด การ์ดเนอร์ทำให้ผู้สัมภาษณ์มองข้ามรูปลักษณ์ภายนอกที่สกปรกมอมแมมนั้นด้วยความมุ่งมั่นผ่านสีหน้าแววตา และคำพูดที่ทำให้ทุกคนประทับใจรวมถึงตัวผมด้วย

    “ผมเป็นคนประเภทที่ ถ้าคุณถามผม แล้วผมไม่รู้คำตอบ ผมจะตอบว่าไม่รู้ แต่ผมรับประกันว่าผมรู้วิธีหาคำตอบ และจะหาคำตอบนั้นให้ได้”

    เขาว่ากันว่า ละคร คือ ชีวิตจริง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะลองทำชีวิตจริงให้เป็นละครดูบ้าง ผมเลยจำคำพูดของการ์ดเนอร์มาใช้ในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น

    หนึ่งเดือนหลังจากวันสัมภาษณ์ ผลประกาศออกมา ผมถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในสี่ของนักศึกษาที่จะเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศสวีเดนประจำปีนั้น ไม่มีอะไรน่าดีใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว ผมจำช่วงเวลาตั้งเป้าหมายของตัวเองได้ดี ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองสอบติดคณะนี้ ผมเข้าไปในเว็บไซต์เพื่อพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนแล้วไปเจอโครงการนี้เข้า วินาทีนั้นผมก็บอกตัวเองเลยว่า ผมจะต้องทำมันให้ได้ ผมจะต้องไปสวีเดน แล้ววันนี้ผมก็ทำมันได้จริงๆ เป็นความฝันที่ในที่สุดก็กลายมาเป็นความจริง 

    เคยมีคนกล่าวไว้ว่าในเรื่องร้ายๆ ย่อมมีเรื่องดีซ่อนอยู่ ในสถานการณ์แบบนี้ ผมคงต้องพูดในทางกลับกันว่าในเรื่องดีๆ ก็ย่อมมีเรื่องแย่ๆ ซ่อนอยู่เช่นกัน

    "ถ้าเราได้ไปจริงๆ จะตามเราไปมั้ย"

    "จะไปยังไงล่ะ ต้องฝึกงานน่ะ"

    "ก็หลังจากฝึกงานไง"

    "ออกตังค์ค่าตั๋วให้สิ"

    "ถ้างั้น...ถ้าเราเรียนจบ ทำงานแล้ว ไปด้วยกันนะ"

    "ไม่ดีกว่า เราว่าอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว"

    ความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนระหว่างเราสองคน ใช่ครับ เรื่องแย่ๆ ที่ว่า ก็คือ... 'ความรัก' 

    ก่อนหน้านี้ สำหรับผม ความรัก คือ สิ่งสวยงามเสมอ แต่ช่วงเวลาระหว่างเราทำให้ผมแทบลืมไปเลยว่าเคยเป็นใคร สิ่งสวยงามที่ผมคิดกลายเป็นอาการซึมเศร้าที่ตัวเองต้องทนเป็นคนอื่นโดยที่ไม่รู้ตัว ผมใช้เวลากับเพื่อนน้อยลง เก็บตัวมากขึ้น ลิสต์เพลงในเอ็มพีสามมีแต่เพลงเศร้า เพื่อนสนิทพยายามบอกผมว่าให้ถอยออกมา ผมเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน แต่ผมก็เลือกที่จะอยู่ มันเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าความรักสามารถเปลี่ยนคนได้จริงๆ ผมคิดว่า ในเมื่อผมรักเขามาก เขาก็ต้องรักผมสิ แต่ในความเป็นจริง ผมไม่มีทางรู้เลยว่าถ้าเอาความรักระหว่างเราไปวางไว้บนตาชั่งผลออกมาจะเป็นอย่างไร หลายต่อหลายครั้งที่ทำให้ผมรู้สึกตกเป็นเบี้ยล่างของอีกฝ่าย ที่น่าเศร้าคือ ผมยอมรับและเต็มใจที่จะอยู่สถานะแบบนั้น เวลาที่ทะเลาะกันทุกครั้ง ผมต้องเป็นฝ่ายอ่อนและเข้าหาเขา ซึ่งจริงๆ แล้วคู่รักที่ดีก็ควรทำกันอย่างนั้น แต่มันติดที่ว่า ต่อให้เราเป็นฝ่ายถูก เขาก็จะทำเหมือนว่าเราผิดเสมอและพร้อมที่จะเมินเฉยต่อเราโดยไม่มีสาเหตุ นอกจากนั้น ทัศนะคติในการดำรงชีวิตของเราก็ไปกันละทิศละทาง คนหนึ่งรักการผจญภัย มองหาโอกาสในการเดินทางอยู่เสมอ ในขณะที่อีกคนชอบใช้ชีวิตวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่กับบ้านเงียบๆ ผมเคยไปถึงจุดที่พยายามมองภาพตัวเองคู่กับเขาในอนาคต เป็นอะไรที่ยากเกินจินตนาการ แต่ผมก็ยังดึงดันที่จะเจ็บอยู่ข้างๆ เขาอย่างนี้แหละ ด้วยความคิดที่ว่า 

    ก็แค่มีใครสักคน...มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ?

    ผมไม่รู้เลยว่าเพราะความใกล้ชิด ลุ่มหลงหรือเพราะเวรกรรม อันไหนกันแน่ที่ทำให้ผมยังคงอยู่ตรงนี้ ผมอดทนมาเรื่อยๆ มันค่อยๆ ทับถมกันจนมากขึ้นๆ โดยที่ผมไม่รู้ตัว

    ช่วงปลายเดือนมกราคมในปีถัดมา หลังจากที่ต้องเจอกับการสอบมาราธอนติดต่อกันร่วมสองสัปดาห์ เวลาที่รอคอยก็มาถึง พวกเราสี่สหายพร้อมย้ายก้นจากบ้านเกิดเมืองนอนกว่าหมื่นกิโลเมตรมุ่งหน้าไปตั้งหลักปักฐานกันที่ ‘เวสเตอโรส’ (Västerås) และวันนั้นก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่มีวี่แววของเขา แม้แต่ข้อความก็ส่งมาไม่ถึง ผมรอจนวินาทีสุดท้าย ตัดสินใจปิดเครื่องแล้วเดินหน้าต่อ การเหินฟ้าในครั้งนั้นถือเป็นครั้งแรกที่ผมได้โบยบิน เป็นครั้งแรกที่ต้องไกลจากบ้าน เสี้ยววินาทีผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้า ในขณะเดียวกันก็พยายามหนีจากบางสิ่งบางอย่าง

    น่านฟ้าสแกนดิเนเวีย : เริ่มเข้าสู่แทบสแกนดิเนเวียจริงๆ แล้วนะ

    ด้วยความงกหรือถ้าเป็นสายแบ๊วอาจหยวนๆ ให้ใช้คำว่า 'รู้เท่าไม่ถึงการณ์' ผมกับเพื่อนลงมือจองตั๋วสายการบิน KLM ร่อนลงสนามบินอรันดา (Stockholm Arlanda Airport) ประมาณตีหนึ่งกว่า นั่นหมายความว่าคืนนั้นทั้งคืนเราต้องนอนค้างที่สนามบินจนกว่าแท็กซี่จากมหาวิทยาลัยจะมารับตอน 10 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น 

    ทันทีที่ถึงสนามบิน ผมแยกไม่ค่อยออกระหว่างความตื่นเต้นกับความหนาวแต่รู้สึกได้ว่ามือสั่น ภาพตรงหน้าคือสิ่งแปลกตา ทุกอย่างดึงดูดความสนใจไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นพื้น ป้าย โต๊ะ เก้าอี้ หน้าต่าง รถเข็น ตัวอักษร และผู้คน (ถึงจะไม่มากนักก็ตาม) ถ้ามีคนกำลังแอบมองพวกเราอยู่ คงสังเกตเห็นแววตาที่ลุกโชนเปี่ยมไปด้วยความสุขแบบล้นๆ ประเภทที่ว่า ฉันโชคดีจังที่ได้มาที่นี่ ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย ฉันจะกอบโกยไปให้ได้มากที่สุด ถึงจะตื่นเต้นขนาดไหน คนอย่างผมก็เลือกที่จะซ่อนมือสั่นๆ นั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อขนเป็ด เก็บอาการตื่นเต้นตูมตามอย่างที่ควรจะเป็นเอาไว้แล้วพยายามจะเป็นผู้ชายเอเชียตัวเล็กๆ ที่ยังพอจะมีความชิคอยู่บ้าง


    แต่สุดท้าย...


    ตายแล้ววว...!!!หิมะ!!!


    ขาวๆ ปุยๆ แบบนี้แหละที่อยากเจอมานาน ผมนำทีมเหล่าสหายอีกสามชีวิตกระโดดออกไปนอกประตู อากาศเย็นชื้นจนต้องกระชับแขนเข้ากับลำตัวเพื่อเพิ่มความอบอุ่น วินาทีนั้นเองที่ผมได้ทำความรู้จักกับหิมะของจริง ไม่ใช่น้ำแข็งผสมเกลือในดรีมเวิลด์ ผมแอบหลบมุมทักทายเจ้าหิมะด้วยเสียงกระซิบเป็นภาษาไทยก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันคงฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไม่มีความสามารถพอที่จะเอ่ยทักด้วยภาษาสวีดิช เลยกระซิบค่อยๆ ออกไปว่า

    "Hi!...Mr.Snow"

    พร้อมกันนั้นก็ใช้นิ้วชี้สั่นๆ จิ้มลงไปในหิมะขาวปุยนุ่มนิ่มช้าๆ เป็นการทักทายของชนผมดำกับหิมะขาวโพลน ผมเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าที่มีแต่แสงไฟข้างทางและแสงจากตัวตึกสะท้อนส่องสว่างจนมันเป็นสีน้ำเงินเข้มอมเทาสูดหายใจลึกจนสุดปอดก่อนจะค่อยๆ ผ่อนมันออกมา

     

    หลังจากคืนนี้ต้องมีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะเลย

    .

    ถึงสวีเดนตอนตีหนึ่งกว่าๆ รอคนจากทางมหา’ลัยมารับสิบโมงเช้า คืนนี้ยังอีกยาวไกล : Stockholm Arlanda Airport

    Get over your fear of flight mode : Frank

    MFS : My First Snow

    บันไดเลื่อนที่ทอดยาวจากสถานีรถไฟซึ่งจะพานักเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงสต๊อกโฮม

    Another nice one please go to https://storylog.co/story/57a89df61dbeb38e1958d814

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in