เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
NoveletteDamsel in Distress
ชาชืด
  •      ฉันจะไม่แต่งงาน... โดยเฉพาะกับผู้ชายที่มีนิสัยเหมือนพ่อของฉัน ...หละหลวม ตื้นเขิน ไร้ความรอบคอบ และไม่มองการณ์ไกล พ่อกับแม่แยกกันนอนมาหลายปีแล้ว ฉันไม่รู้หรอกนะว่าชีวิตคู่ของพวกเขาเป็นยังไง ยังรักกันดี หรือแค่อยู่ด้วยกันไปงั้นๆ แต่ก็ไม่เคยเห็นพวกเขาทะเลาะกันแบบรุนแรง นั่นแหละ แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นความสัมพันธ์ที่ดูจืดชืด และน่าอึดอัด
         พอเถอะ พูดเรื่องพวกเขาแล้วมันน่าปวดหัว
         ...อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่คิดจะแต่งงานอยู่แล้ว อย่าว่าแต่เรื่องแต่งงานเลย แค่มีแฟนสักคนก็ยังไปไม่รอด และที่ไม่เคยไปรอด ก็เพราะไม่เคยมี ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ฉันไม่เคยรู้สึกเศร้าเลย ...ขอร้อง ได้โปรดอย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ...โอเค ก็มีเศร้าบ้าง แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก …เออ มันก็มีเหงาๆ บ้างอยู่หรอก แต่มันไม่ได้เลวร้ายไง เข้าใจไหม
         “ขอโทษนะครับที่มาช้า คุณรอนานแย่เลย”
         เขาพูดพร้อมกับสางผมของเขาที่ชุ่มเล็กน้อยเพราะเดินลุยฝนที่ตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โชคดีที่เสื้อผ้าของเขาไม่ได้เปียกมากนัก แต่ก็ดูเปียกอยู่ดี
         “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฝนตกหนักขนาดนี้...”
         ...เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ และฉันก็ไม่รู้จะชวนคุยยังไงดี ทันใดนั้นพนักงานเดินมาเสิร์ฟชาเอิร์ลเกรย์ของฉัน ซึ่งเป็นถ้วยที่หกของวันนี้ และฝนข้างนอกก็ตกหนักจนน่ารำคาญไปหมด
         “ขอชาแบบนี้อีกถ้วยนึงครับ” เขาคิดแป๊บนึงก่อนจะหันไปสั่งเมนูกับพนักงาน อย่าเรียกว่าสั่งเลย นั่นมันลอกเมนูกันชัดๆ
         “รู้เหรอว่าฉันกินชาอะไร”
         “เอิร์ลเกรย์”
         “หืม”
         ฉันประหลาดใจเล็กน้อย ...ทำไมเขาจำได้
         “คุณกินแต่ชาเอิร์ลเกรย์”
         “ทำไมคุณรู้”
         “ก็ที่ออฟฟิศมีแต่ชาเอิร์ลเกรย์”
         ใช่…พูดอีกก็ถูกอีก
         “คุณแช่ถุงชานานขนาดนั้นไม่เฝื่อนแย่เลยเหรอ” เขาเอ่ยประโยคคำถามหลังจากที่ฉันเงียบไป
         “เฝื่อนสิ แต่ฉันชอบแบบนี้ ขนมที่นี่หวานไป เลยต้องกินชาแบบขมๆ หน่อย”
         ...เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่นานพนักงานก็เดินมาเสิร์ฟชาที่เขาเพิ่งสั่งไป เขาเอ่ยขอบคุณพนักงานด้วยเสียงอันนุ่มละมุนก่อนจะยกถ้วยขึ้นมาจิบชาร้อนๆ
         “เซ็ตรูปรีสอร์ตที่กระบี่เรียบร้อยดีนะครับ”
         “ค่ะ พรุ่งนี้คุณเอาไปให้พี่เอมได้เลย”
         ฉันตอบพร้อมกับหยิบเอ็กซ์เทอร์นอลฮาร์ดดิสก์ขึ้นมาแล้วยื่นให้เขา เขารับมันไว้แล้วเก็บใส่กระเป๋า ซึ่งเป็นกระเป๋ากันน้ำอย่างดีรุ่นเดียวกันกับที่ฉันใช้ ส่วนฝนข้างนอกก็ยังคงตกลงมาเรื่อยๆ ไม่หนักขึ้น แต่ก็ไม่ได้เบาลงไปกว่าเดิม
         …เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ ฉันเองก็เช่นกัน อันที่จริงแล้วฉันไม่ใช่เป็นคนที่ช่างพูดช่างจา ผิดกับเขาที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนคุมทุกๆ บทสนทนา แต่ตอนนี้เขาเลือกที่จะไม่ชวนฉันคุยต่อ ดังนั้นระยะห่างระหว่างหนึ่งช่วงโต๊ะจึงไร้เสียงทั้งเขาและฉัน เราเงียบนานเกินจนฉันได้ยินเสียงของเข็มนาฬิกาที่กำลังเดินแข่งกับเสียงเพลงบอสโนว่าที่ฟังนานๆ เข้าแล้วรู้สึกเวียนหัวชวนอ้วก
         “ตกลงคุณจะไปหรือเปล่า”
         จู่ๆ เข้าก็ถามขึ้นมา ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย
         “เอ้าท์ติ้งที่ไต้หวัน คุณจะไปไหมครับ พอดีพี่เอมฝากมาถามน่ะ เห็นคุณยังไม่ได้คอนเฟิร์ม”
         “อืม…”
         “…”
         …เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่คาดคั้นเอาคำตอบจากฉัน แต่ทำไมฉันรู้สึกกดดัน...?
         “ไปค่ะ ฉันไป”
         “โอเคครับ”
         …ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อ
         “คุณไม่ดื่มชาเหรอ เดี๋ยวถ้ามันเย็นแล้วมันตายนะ”
         …อะไรของเขา?
         “คุณไม่เคยได้ยินประโยคนี้เหรอที่ว่า ชาที่เย็นคือชาที่ตายแล้ว”
         “ไม่นี่” ฉันเผลอขำออกมาเบาๆ ที่ขำก็เพราะมันฟังดูเหมือนคำคมตามเพจเกรดบีในเฟซบุ๊ก ไม่สิ เกรดซีลบต่างหาก
         “อา...หรือคุณอาจจะชอบแบบเย็นๆ”
         “เปล่า ฉันชอบชาร้อน”
         ว่าแล้วฉันก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ อืม...เริ่มอุ่นแล้วแฮะ ถ้าไม่รีบดื่มให้หมดอีกสักพักชาถ้วยนี้คงจะเย็นลงและรสชืดเหมือนชีวิตคู่ของพ่อกับแม่ของฉัน จนกระทั่งฝนเริ่มหยุดตกแล้ว แต่ก็ยังมีเป็นหยดแบบปรอยๆ
         “คุณจะไปไหนต่อหรือเปล่า” เขาเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
         “ไม่ล่ะ ฝนเริ่มหยุดแล้ว คิดว่าจะกลับบ้านเลย กลัวมันตกลงมาอีก”
         “…”
         “…”
         “คุณจะไปด้วยกันหรือเปล่า”
         “?”
         “ก็...คุณไม่มีรถนี่ ผมแวะไปส่งคุณที่บ้านได้นะ รถผมจอดไม่ไกลมาก แต่ต้องเดินตากฝนนิดหน่อย พอดีผมลืมพกร่มมา...”
         “…”
         “...ผมไม่รอบคอบเลย แย่เนอะ” เขาพูดเสียงเบา “…หรือคุณจะรอให้ฝนหยุดสนิทก่อนก็ได้”
         “ไม่หรอก แค่ตากฝนนิดหน่อยเอง ถ้ารออาจจะต้องอยู่ถึงดึก...”
         “ตกลงคุณจะไปกับผม?”
         “อืม”
         …เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เขายกมือเรียกพนักงานเพื่อเช็กบิล พอจ่ายเงินเสร็จแล้ว เราก็เดินออกมาจากร้าน ฝนยังคงตกลงมาปรอยๆ เราทั้งคู่มีกระเป๋ารุ่นกันน้ำ แต่ไม่คิดจะเอามันมากันฝนให้ตัวเองหรอก แม้มันจะกันน้ำได้เป็นอย่างดี เพราะในนั้นมีทั้งแล็ปท็อปและเอ็กซ์เทอร์นอลฮาร์ดดิสก์ซึ่งบรรจุไปด้วยงานที่สำคัญหลายงาน ดังนั้นเราจึงกอดมันไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม
         “เซ็ตล่าสุดที่ฉันส่งดราฟต์แรกไป พี่เอมพูดอะไรให้คุณฟังบ้างไหม พอดีเขายังไม่ได้ตอบเมลฉันเลย”
         …คราวนี้ฉันลองเป็นคนเริ่มบทสนทนาบ้าง
         “เซ็ตที่ไปถ่ายที่เชียงใหม่เหรอ”
         “ค่ะ เซ็ตนั้นแหละ”
         “อืม…เขาก็ไม่ได้พูดอะไรนะ สงสัยยังไม่ได้เปิดเมลมั้ง”
         “…”
         “…”
         “แล้วคุณคิดว่าไงบ้าง”
         “ผมเหรอ...อืม...”
         “…”
         “คุณตั้งใจทำให้สีมันจืดหรือเปล่า”
         “…”
         “พี่เอมอาจจะไม่ชอบ คุณเตรียมตัวแก้สีได้เลย” เขาพูดขำๆ
         “…ก็คงงั้นแหละ” ฉันขำตาม “โดนว่าเรื่องไม่ทำตามบรีฟแน่ๆ”
         “ก็คุณไม่ทำตามบรีฟ”
         “ฉันทำตามบรีฟแล้ว”
         “งั้นคุณต้องเอาจอคอมไปคาลิเบรตแล้วล่ะ”
         “คงงั้นมั้ง”
         …เราไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่ขำด้วยกันเบาๆ
         “...แต่ผมชอบนะ”
         “…”
         “ผมชอบสีจืดๆ แบบนี้”
         “ฉันว่าคุณต้องเอาจอคอมไปคาลิเบรตแล้วล่ะ”
         “ฮ่ะๆ ผมเอาไปคาลิเบรตตั้งนานแล้ว”



    /fin./
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in