เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Gabriel's Workshop - A Den of Antiquities Spin-Offpiyarak_s
Tattoo

  • (1)



    “คุณไม่ชอบคนมีรอยสักเหรอคะ”

     

     

    ในที่สุด ฉันก็รวบรวมความกล้าถามออกไปจนได้

    หลังจากสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่า เขามักจะดูอึดอัด

    เมื่อเห็นพนักงานพาร์ทไทม์เชื้อสายจีนคนนั้นพับแขนเสื้อขึ้น

    เผยรอยสักรูปปลาคาร์พตัวโตที่มีชีวิตชีวาเหมือนว่ายอยู่บนท้องแขน

    และไม่เฉพาะกับเขาคนนั้นคนเดียว แต่ยังรวมไปถึงคนอื่น ๆ ที่เขาเห็นด้วย

     

     

    ตอนนี้ ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ตัวเองคิดถูกไหมที่ถามออกไปแบบนั้น

     

     

    คุณมาห์เลอร์เงียบไปครู่ใหญ่แผ่นหลังของเขาที่อยู่ในเสื้อกั๊กดูเหมือนเล็กลง

    บรรยากาศเยือกเย็นของห้องแสดงเฟอร์นิเจอร์ดูมืดมนและซึมเซาลงกว่าเดิม

     

     

    ‘ไม่น่าเลย ไม่น่าถามแบบนั้นเลย เธอช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย แม่หนูน้อย’

     

     

    ฉันรู้สึกเหมือนมีเสียงเหล่านี้แว่วเข้าหูทั้งที่มองไม่เห็น และในห้องมีแค่เราสองคน

    แต่ฉันอาจหูแว่วไปเองก็ได้ เพราะเสียงเหล่านั้นหายไป เมื่อเขาโบกมือและหันกลับมา

     

     

    “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ที่รัก”

     

     

    เขาเอ่ยตอบ ไม่ยิ้ม แต่ก็ไม่แสดงความไม่พอใจหรือถือสากับคำถามของฉัน

    “เธอเคยได้ยินเรื่องโคมไฟที่ทำจากผิวหนังของนักโทษในค่ายกักกันของนาซีไหม”

     

     

    คำถามของเขาทำให้ฉันแปลกใจ แน่นอนว่า ฉันรู้และเคยได้ยิน แต่เท่าที่รู้

    มันอาจเป็นแค่เรื่องหลอกลวงเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่า ‘holohoax’  

    เพราะแม้กระทั่งโคมไฟของอิลเซ คอค (Ilse Coch) ภรรยาของหัวหน้าผู้คุมค่ายกักกันบุคเคินวัลด์

    ที่เชื่อกันว่าเป็นโคมไฟที่ทำมาจากหนังมนุษย์ก็กลายเป็นโคมไฟที่ทำมาจากหนังวัวฟอกธรรมดา

    และแผ่นหนังที่มีรูปรอยสักใส่กรอบไว้ อาจเป็นเพียงแค่หนังแพะที่ลงสีด้วยการสักแทนเขียนลายลงไป

     

     

    นามสกุลของเขาเหมือนคนออสเตรียหรือเยอรมัน และนามสกุลนั้นเพิ่งสะดุดใจฉันเดี๋ยวนี้เอง

    ถึงอย่างนั้น ฉันไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะสนใจของที่ระลึกชวนสยองจากสงครามโลกเลยสักนิด

    แต่ท่าทีแปลก ๆ ของเขา และน้ำเสียงที่ไม่ชวนให้รู้สึกว่าเขากำลังล้อเล่นด้วยมุกที่ไม่ควรล้อเล่น

    ทำให้ฉันเริ่มหวั่นใจขึ้นมาแล้วจริง ๆ ว่า เขาอาจมีส่วนเกี่ยวพันอะไรบางอย่างกับสิ่งที่เขาเอ่ยถึง



    เขาอายุน้อยเกินอยู่ร่วมในสงคราม แต่ก็อาจรับรู้ในฐานะญาติของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในนั้น

     

     

    ‘ไม่น่าเลย ไม่น่าถามแบบนั้นเลย เธอช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย แม่หนูน้อย’

     

     

    เสียงที่เหมือนแว่วอยู่ในหูเมื่อกี้นี้ย้อนกลับมาสะท้อนอยู่ในความรู้สึกของฉันอีกครั้ง

    ในขณะที่คุณมาห์เลอร์ถอนใจยาวและประสานมือทั้งสองเข้าหากันขณะเฉลยคำตอบ

     

     

    “พี่ชายของปู่ฉันหายตัวไประหว่างสงคราม...ครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็น คือ ที่บุคเคินวัลด์”

     

     

     



     (2)



    ร้านของเราเงียบเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ในเวลานั้น

    ฉันรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างแทบจะหยุดนิ่งไปพร้อมกันหมด

    เว้นแต่เข็มนาฬิกาลูกตุ้มแบบโบราณเรือนใหญ่ที่ตั้งแสดงไว้ที่มุมห้อง

    เหมือนไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ตั้งใจฟังและได้รับรู้เรื่องราวของคุณมาห์เลอร์

    แต่ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องนั้นกำลังเงียบ และตั้งใจซึมซับเหตุการณ์นั้นด้วย

     

     

    เจคอบ มาห์เลอร์ เป็นพี่ชายของปู่ของคุณมาห์เลอร์ที่หายไประหว่างสงคราม

    ขณะที่โจเซฟ คุณปู่ของคุณมาห์เลอร์มาตั้งรกรากที่สหรัฐอเมริกาก่อนนั้นหลายปี

    เจคอบเลือกใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรีย เนื่องจากมีครอบครัวและการงานกำลังรุ่งเรือง


     

    ในปีที่สงครามโลกครั้งที่สองปะทุ เป็นปีที่โรเบิร์ตพ่อของคุณมาห์เลอร์เกิด

    โจเซฟ มาห์เลอร์ส่งโทรเลขไปแจ้งข่าว แต่กลับพบว่า พี่ชายของตนไม่ตอบกลับ

    บวกกับข่าวการกวาดต้อนชาวยิวเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันในที่ต่าง ๆ ทำให้เขากังวล



    เจคอบเป็นช่างทำกระเป๋าฝีมือดี อัธยาศัยดี แต่มีปัญหาอย่างเดียว คือ มีเชื้อสายยิว


     

    ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ โจเซฟจึงไม่อาจกลับไปตามหาพี่ชายซึ่งอยู่ในยุโรปได้เลย

    สิ่งที่เขาสามารถทำได้ คือ สวดภาวนาให้ครอบครัวของเจคอบทุกคนปลอดภัย

    และรอฟังข่าวคราวจากอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ แม้ว่าความหวังแทบจะเหลือเป็นศูนย์

    พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่ยังไม่มีข่าว ถึงตราบนั้นก็ยังคงพอจะมีความหวังอยู่บ้าง

    แม้ว่าข่าวที่ได้รับจะเป็นข่าวร้าย แต่อย่างน้อยที่สุด การรอคอยก็สิ้นสุดลงเสียที





    (3)


     

    “ปู่เจคอบตายในค่ายกักกันที่บุคเคินวัลด์...”

     

     

    ตอนที่เขาเอ่ยคำนั้นออกมา ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำหน้าแบบไหน

    และสิ่งที่เขาบอกในเวลาต่อมา ทำให้ฉันถึงกับทำตัวไม่ถูกพูดอะไรไม่ออก

     

     

    “หลักฐานที่บอกว่าเขาตายแน่นอน คือ รอยสัก”

     

     

    สำเนียงของเขาฟังดูแปร่งแปลกแต่มีบางอย่างในน้ำเสียงของเขาที่ทำให้ฉันขนลุก

    ภาพการพิจารณาคดีของอิลเซ คอค และสิ่งที่นักโทษในค่ายกักกันนำมาแสดงที่ศาล

    แวบเข้ามาในความทรงจำที่อยู่ในภาพ คือ บรรดาของใช้ที่ทำมาจากชิ้นส่วนของมนุษย์

    ไม่ว่าจะเป็นหัวย่อส่วน ที่เขี่ยบุหรี่จากกระดูกเชิงกราน โคมไฟที่มีตัวโคมทำจากหนังฟอก

    รวมไปถึงภาพที่ดูคล้ายภาพวาดบนแผ่นหนังหลายชิ้น ทั้งที่ใส่กรอบและไม่ได้ใส่กรอบไว้

     

     

    “คุณหมายถึงแผ่นหนังที่มีรอยสักใช่ไหมคะ...”

     

     

    เท่าที่จำได้ นักโทษหลายที่มาเป็นพยานในการพิจารณาคดีของอิลเซ คอค

    ให้การว่า คนในค่ายกักกันที่มีรอยสักหลายคนที่ตายแล้วจะถูกส่งไปที่ห้องชันสูตร

    ด้วยข้ออ้างเพื่อการศึกษาวิจัย เพราะคนที่มีรอยสักมักมีพฤติกรรมเป็นอาชญากร

    แต่เป็นที่รู้กันภายในว่า ผิวหนังที่มีรอยสักสวยงามอาจถูกเลาะมาเป็นของประดับ

     

     

    ถึงในภายหลัง ของที่ถูกนำมาแสดง เช่น โคมไฟ ปกอัลบั้มภาพ ก็ไม่ใช่หนังมนุษย์

    แต่ใช่ว่ามันจะไม่มีมูล และสิ่งที่นึกขึ้นมาได้ ก็ทำให้ฉันรู้สึกปั่นป่วนในท้องอย่างบอกไม่ถูก

     

     




    (4)


     

    “เธอเก่งมาก...มันคือแผ่นหนังที่มีรอยสักแบบเดียวกันกับของปู่เจคอบ”

     

     

    นี่เป็นครั้งแรกที่คำชมของคุณมาห์เลอร์ไม่ทำให้ฉันรู้สึกดีใจขึ้นมาเลยสักนิด



    ไม่จำเป็นที่เขาต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า เพราะอะไรเขาจึงดูอึดอัดกับคนที่มีรอยสัก

    ฉันคิดว่า ตัวเองเข้าใจเหตุผลที่เขารู้สึกไม่ดีกับรอยสักบนผิวหนังของคนพอสมควรแล้ว

     

     

    “มันเป็นภาพถ่ายจากฟุตเตจของบิลลี่ วิลเดอร์ที่ถ่ายทำในค่ายบุคเคินวัลด์”

    คุณมาห์เลอร์บอกยืนอิงโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง และสอดมือสองข้างในกระเป๋ากางเกง

    “ปู่เจคอบกับปู่โจเซฟเคยถ่ายรูปด้วยกันทั้งสองคนต่างมีรอยสักอยู่ที่กลางหน้าอก”

     

     

    ไม่เพียงแต่ชอบรอยสัก แต่เจคอบ มาห์เลอร์เป็นช่างสักที่มีฝีมือคนหนึ่งด้วย

    เพราะเขาให้ความสนใจกับการสักลวดลายลงไปบนหนังทำกระเป๋าแทนการย้อมสี



    ก่อนที่สองพี่น้องจะแยกจากเหมือนมีบางอย่างดลใจให้ทั้งสองถ่ายภาพด้วยกัน

    ภาพหนึ่ง เป็นภาพที่สองคนแต่งตัวเรียบร้อย ส่วนอีกภาพหนึ่ง ถอดเสื้อให้เห็นรอยสัก

    ของเจคอบเป็นรูปนางฟ้ากับเถากุหลาบ ส่วนของโจเซฟ เป็นรูปนกพิราบกับช่อมะกอก

     

     

    ภาพหนึ่งที่อยู่ในกรอบบนโต๊ะที่ผู้ถูกคุมขังในค่ายกักกันบุคเคินวัลด์นำมาแสดง

    ที่โดดเด่นที่สุดชิ้นหนึ่งและฉันจำได้ขึ้นใจคือ ภาพแผ่นหนังที่มีรูปนางฟ้ากับเถากุหลาบ

    ขนาดของมันใหญ่มากพอที่จะทำให้แน่ใจได้ว่า มันไม่ควรจะถูกเลาะมาจากคนที่ยังมีชีวิต

    หรือในทางกลับกัน ถ้ามันถูกเลาะออกมาจากคนที่ยังมีชีวิต คนนั้นคงเสียเลือดมากจนตาย

     

     

    โจเซฟตายไปก่อนที่จะได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเจคอบที่บุคเคิลวัลด์

    แต่ไม่ใช่สำหรับโรเบิร์ต มาห์เลอร์ ซึ่งเป็นลูกชายและหลานชายของพวกเขา

    เพราะหนังสือและภาพการไต่สวนคดีที่บุคเคินวัลด์ที่เขายืมมาจากห้องสมุด

    กลายเป็นเอกสารสำคัญที่จุดประกายให้เขาออกตามหาจิ๊กซอว์ที่ขาดหาย

    จนกระทั่งได้ค้นพบความจริงที่ซ่อนอยู่ในภาพถ่ายและการพิจารณาคดีครั้งนั้น

     

     

    เพราะใช้ชีวิตในยุโรป เกเบรียล มาห์เลอร์ หรือคุณมาห์เลอร์ที่อยู่ตรงหน้าฉันในเวลานี้

    จึงกลายเป็นคนที่แสวงหาความจริงทั้งหมดของสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเอง

    และคำตอบที่เขาได้รับคือ ไม่มีใครในครอบครัวของโจเซฟเหลือรอดเลยแม้แต่คนเดียว


     

    ‘ไม่น่าเลย ไม่น่าถามแบบนั้นเลย เธอช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย แม่หนูน้อย’

     

     

    ไม่ว่าเสียงเหล่านี้และคำพูดเหล่านี้จะดังก้องมาจากที่ไหนก็ตาม

    แต่ข้อความเหล่านั้นถูกต้องทุกอย่าง ฉันไม่ควรถามเขาออกไปแบบนั้นเลยจริง ๆ

    เพราะในเวลานี้คุณมาห์เลอร์ที่ไม่ช่างพูดอยู่แล้ว ดูเงียบขรึมลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

     

     

    “ฉันเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ”

     

     

    ฉันพูดออกมาได้แค่นั้นในขณะที่เขาก้มศีรษะรับ พร้อมเอ่ยคำว่า ขอบใจ



    "ฉันดีใจที่เธอถาม เพราะทำให้ฉันมีโอกาสเล่าสิ่งที่ควรจะเล่าให้คนรับรู้"

    คุณมาห์เลอร์บอกราวกับเขาได้ยินเสียงและคำพูดเดียวกับที่ฉันได้ยินอย่างไรอย่างนั้น



    และโดยที่ฉันไม่คาดคิด เขาก็ทำให้ฉันประหลาดใจ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา

    แต่ฉันไม่แน่ใจนักว่าเขายิ้มให้ฉัน หรือยิ้มให้กับความคิดที่เกิดขึ้น หรือสิ่งใดกันแน่


     

    “ฉันไม่ได้เกลียดคนมีรอยสักหรอกนะ”คุณมาห์เลอร์เอ่ย “แค่เห็นแล้วอดนึกถึงเรื่องของปู่ไม่ได้... และ

     สำหรับฉัน ปกหนังสือหนังมนุษย์ หรือแอนโทรโปเดอร์มิก บิบลิโอเพกี ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร”

     

     

    “เอ๋? อะไรนะคะ”

     

     

    “เปล่าหรอกที่รัก” เขาหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดู “ใกล้เวลาเลิกงานของเธอแล้ว ไม่ใช่เหรอ”


     

    คุณมาห์เลอร์แตะมือที่หลังของฉันอย่างสุภาพอย่างที่เขาเป็นอยู่เสมอและพาฉันไปที่ประตู

    ท่าทางอย่างนั้นบอกให้ฉันรู้ว่า ถึงเวลาที่ฉันควรจะไป และเขาต้องการที่จะอยู่ตามลำพัง  

    และความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจฉันเวลานี้กับบรรยากาศในห้องบอกว่า ฉันควรต้องรีบไป

     

     

    ก่อนที่ฉันจะเดินลงบันไดไปชั้นล่าง ซึ่งเป็นส่วนของสำนักงานและที่จัดแสดงของแต่งบ้าน

    ฉันได้ยินเสียงของเขาเอ่ยกระซิบ และสำทับขณะช่วยฉันถอดผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่

     

     

    “ได้โปรด อย่าเพิ่งบอกใคร”

     

     

     

     

     

    ---------------------------------------------------------

     

     


    ส่งท้าย

     

     

    “ทำไมไม่บอกความจริงให้แม่สาวน้อยคนนั้นรู้ให้หมดล่ะ เก๊บ”

    เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างหู และเขารู้ดีว่า เสียงนั้นมาจากที่ไหน

     

     

    เกเบรียล มาห์เลอร์ถอนใจยาว และดึงเอาสมุดปกหนังออกมาจากกระเป๋าเสื้อกั๊ก

     

     

    “บอกความจริงกับเธอว่า พ่อกับผมเคยเข้าใจผิดว่า ปู่เคยเป็นวัตถุพยานในศาล

    หรือว่าเรื่องที่ปู่กลายเป็นปกสมุดบันทึกเล่มนี้ไปแล้วล่ะครับ”

     

     

    ไม่มีคำตอบจากเจคอบ มาห์เลอร์... ปู่เจคอบที่เขาพูดถึง... มีแค่เสียงหัวเราะเบา ๆ ตอบรับ

    สาวน้อยมองไม่เห็นเขา ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ไม่ควรจะมองเห็นอยู่แล้ว แต่เธอสัมผัสได้บ้าง

     

     

    มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริง ๆ  เพราะเจคอบไม่ใช่เจ้าของหนังฟอกที่มีรอยสักในกรอบรูปอันนั้น

    แต่รอยสักที่อยู่บนหนังผืนนั้นเป็น ‘ฝีมือ’ ของเขา ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เป็นหนังสัตว์หรือคน

     

     

    ความเป็นช่างฝีมือของเขาช่วยเขาให้รอดตายอย่างหวุดหวิด แต่ก็เหมือนเดินบนเส้นเชือก

    เขามองเห็นเพื่อนร่วมชะตากรรมตายไปคนแล้วคนเล่า ชีวิตที่เหลืออยู่ก็เหมือนไม่มีชีวิต

    สิ่งยึดเหนี่ยวเดียวที่เขามี คือ ความหวังที่จะได้เจอกับลูกและภรรยาที่ถูกแยกไปอยู่อีกค่าย

    แต่ข่าวคราวที่ได้รับจากคนที่ย้ายมาจากบีร์เคเนา-เอาช์วิตค่ายกักกันอีกแห่งก็ทำให้เขาฝันสลาย

     

     

    ความป่วยไข้เรื้อรังและดูเหมือนว่า จะมีโรคภัยที่ได้รับเพิ่มจากเพื่อนร่วมเรือนนอน

    ทำให้สุขภาพของช่างทำกระเป๋าทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ จนในที่สุด ความทุกข์ยากก็ยุติลง

     

     

    เจคอบ มาห์เลอร์จำไม่ได้ว่า เขาตายเพราะอะไร แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจอีกต่อไปแล้ว

    เขารับรู้แค่ เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เขาก็พบว่า ตนเองตายแล้ว และรอยสักบนอกกลายเป็นปกสมุดไปเสียแล้ว



    เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ แต่ก็อยากทำทั้งสองอย่างไปพร้อม ๆ กัน

    เขาสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตไปมากมายเหลือเกิน แต่อย่างน้อยที่สุด

    เขาก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เขาได้รับอิสรภาพจากการถูกคุมขังอยู่ในค่ายกักกัน


     

    หลายทศวรรษที่ผ่านไป หลายมือที่เปลี่ยนผ่าน หลายร้านของเก่าที่เคยอาศัย

    ในที่สุด เขาก็ได้กลับมาอยู่ในสถานที่ที่เขาเรียกได้ว่า 'บ้าน' และกลับสู่ครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง

    เมื่อเกเบรียล มาห์เลอร์ หลานชายของโจเซฟ มาห์เลอร์พบสมุดปกหนังเล่มนั้นและพากลับมา

     

     

    “ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะครับ ที่จะรู้สึกดีกับการมีสมุดหนังมนุษย์ในมือ”


     

    คำกล่าวกึ่งเปรยกึ่งบ่นของผู้ดูแลแผนกเฟอร์นิเจอร์ไม้และฝ่ายบัญชีของร้าน

    เรียกเสียงหัวเราะมาจากเจ้าของสิ่งที่เขาเอ่ยถึงอีกครั้ง ตามด้วยเสียงถอนใจ

     

     

    “ฉันเข้าใจ”


     

    เพราะเกเบรียลยืนยันแล้วยืนยันอีกว่า สมุดเล่มดังกล่าวไม่ใช่หนังมนุษย์

    ทั้งที่เจ้าตัวสัมผัสได้และมองเห็นว่า เขาอยู่ที่นั่นณ เวลานั้น

    เขาจึงได้กลับมาอยู่กับคนที่เขาเคยคิดว่า จะไม่ได้พบอีกแล้วอีกครั้งหนึ่ง

     

     

    “แม่หนูคนนั้นกลัวผีสุดใจขาดดิ้น ขืนบอก เธอไม่ยอมกลับมาทำงานก็แย่เลยนะ”


     

    น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังของหลานชายทำให้เจคอบอดยิ้มไม่ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร

    เกเบรียลไม่ใช่เด็กหนุ่ม แต่เป็นผู้ชายวัยกลางคนที่โตเต็มตัวแล้ว และเกิดคนละยุคสมัยกับเขา

    สิ่งอีกฝ่ายรับมืออยู่ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก สิ่งที่เขาสามารถทำได้ คือ เฝ้ามองความเป็นไปเท่านั้น

     

     

    “แล้วปู่จะให้ผมทำยังไงกับมัน...เอ้อ.... ปู่ต่อไปดีละครับ”


     

    คำถามนั้นทำให้อดีตช่างทำกระเป๋าเลิกคิ้ว มันเป็นเรื่องขมขื่นและน่าขันไปในเวลาเดียวกัน

    เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่า จะตอบว่าสมุดปกหนังที่มีรอยสักของเขาเป็น ‘สมุด’ หรือ ‘เขา’ เช่นกัน

    และอีกประการหนึ่งคำถามที่อีกฝ่ายถามมานั้น ก็เป็นเรื่องที่เขายังคิดไม่ออกในเวลานี้

     

     

    นับแต่ถูกกักในเกตโต ถูกกวาดต้อนไปเข้าค่ายกักกันจนตาย และถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อย ๆ

    ไม่เคยมีใครถามเขาด้วยคำถามนี้มาก่อน และเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะกำหนดชีวิตตัวเองได้

    อย่างน้อยที่สุด ก็ก่อนที่จะถึงเวลาที่เขาจะได้กลับไปหา ‘ครอบครัว’ ที่อาจรอเขาอยู่ที่ไหนสักที่

     

     

    “ถ้าไม่รังเกียจอยู่คุยกับเพื่อน ๆ คนอื่นที่นี่ก่อนไหม”

     

     

    เสียงใครคนหนึ่งแว่วมาจากมุมไกล ๆ ของห้อง ตามด้วยเสียงแสดงความเห็นด้วย

     

     

    เจคอบหันไปมองเกเบรียล ทว่าอีกฝ่ายทำเพียงไหวไหล่ แต่ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้ม

    และนั่นก็ทำให้เขาสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น


     

    จากมุมหนึ่งของโต๊ะทำงานที่เกเบรียลวางสมุดเล่มนั้นเอาไว้

    เจคอบ มาห์เลอร์ก็มองเห็นหลานชายของเขาที่น้อยครั้งจะยิ้มให้ใครมากมาย

    ยิ้มให้กับใครอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของเสียงที่ช่วยให้เขาตัดสินใจได้ในที่สุดคนนั้น


     

    สถานที่นี้เป็นสถานที่แปลกจริง ๆ อย่างที่เกเบรียลเคยบอกเอาไว้

    แต่สถานที่แสนแปลกประหลาดที่มีเจ้าของที่ดูคุ้นชินและรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้

    ก็ทำให้เขารู้สึกได้ว่าการมีสถานที่แห่งหนึ่งที่รับสิ่งที่พวกเขาเป็นได้นั้นดีมากแค่ไหน


     

    ก่อนที่ทั้งสองคนจะลับสายตาไปเจ้าของร้านก็หันมาทางเขา และก้มศีรษะให้

     

     

    “แฮร์มาห์เลอร์ คุณจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้เท่าที่ต้องการ... ยินดีต้อนรับสู่ร้าน Den of Antiquities”

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
seven792pn (@seven792pn)
ตามมาจาก dark tales of London ด้วยคนค่า
piyarak_s (@piyarak_s)
@seven792pn ขอบคุณค่าา
shirahane13 (@shirahane13)
ตามมาจากสารวัตรเฟย์กับหมอโทบี้ค่ะ…เป็นเนื้อเรื่องที่ดูเหมือนจะลึกลับ แต่บรรยายออกมาเรียบง่าย และแฝงกลิ่นอายที่ชวนหลงใหลค่ะ
ชอบสำนวนมากๆเลย นี่เป็นรอบที่สองที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้แล้ว แต่เพิ่งได้มาคอมเม้นต์ค่ะ ก่อนหน้านี้ log in แล้วมันเด้งออก
จริงๆเรื่องแรกที่อ่านคือรองเอ็กซ์ที่เขียนคู่กับหมอแซม แต่ว่าเรื่องที่มาอ่านสำนวนของพี่คือเรื่องสารวัตรค่ะ 55555
piyarak_s (@piyarak_s)
@shirahane13 ขอบคุณค่า อุตส่าห์ล็อกอินกลับมาตอบด้วย ><