เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
PORRORCHOR AND OTHER STORIESporrorchor
รีวิวการสอบ IELTS และ DELF B2 ฉบับคนบุญมีแต่กรรมบังบ้าง ไม่บังบ้าง (religiously speaking)
  • [คำเตือน: มีการใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม]


    สวัสดีครับ

    ในกระทู้นี้ ผมจะมารีวิวการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ IELTS และภาษาฝรั่งเศส DELF B2 ตั้งแต่การเตรียมตัว สถานการณ์ในวันสอบ ไปจนถึงช่วงรอผลสอบที่ทรมานใจกว่าตอนเตรียมตัวซะอีก (ฮ่า) ขอแนะนำว่าให้อ่านแบบม้วนเดียวจบ เพื่อให้ได้ประสบการณ์ความเหนื่อยหอบในการสอบวัดระดับ 2 ภาษาแบบติด ๆ แบบผมในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาฮะ


    IELTS

    อย่างที่ทุกคนทราบ การสอบ IELTS แบ่งออกเป็น 9 bands ซึ่งเฉลี่ยตามระดับทักษะภาษาอังกฤษของเราในแต่ละด้าน (Listening, Reading, Writing, Speaking) และมีให้เลือกสอบทั้งแบบกระดาษและ computer-based ที่ศูนย์สอบต่าง ๆ* ผมตัดสินใจที่จะสอบแบบหลัง เพราะได้ผลสอบเร็วกว่า (ประมาณ 3-5 วัน) และที่สำคัญคือ เราสามารถไฮไลต์ texts ในพาร์ท Reading และตอบคำถามที่อยู่ข้าง ๆ กันได้เลย ประหยัดเวลาในการพลิกหน้ากระดาษไปมา อีกทั้งในพาร์ท Writing ก็ไม่ต้องมาพะวงกับลายมือตัวเองว่ากรรมการจะอ่านออกไหม บวกกับจะเพิ่ม-ลด-ปรับ-แก้ประโยคได้สะดวกกว่ามาก


    (*ทราบมาว่าจะมี IELTS Online หรือการสอบแบบสอบที่บ้านได้ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป รอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมจาก IELTS กันต่อไปครับ) 


    การเตรียมตัวและผู้ช่วยเตรียมสอบ

    เทคนิคการเตรียมตัวของเราแบบไม่ได้ไป take course เพิ่มเติมคือ การจำลองสอบ 3 พาร์ท (Listening, Reading, Writing)  2.30 ชม. แบบรวดเดียวทุกสัปดาห์ เพื่อให้ชินกับความกดดันและการอั้นอยากเข้าห้องน้ำ (ปกติเป็นคนเข้าห้องน้ำบ่อยมาก 5555555 เลยกลัวจะเสียเวลาและเสียสมาธิตอนสอบจริงมาก)  แล้วถ้ามีเวลาว่าง ก็จะฝึกพาร์ท Listening และ Writing ที่หวั่น ๆ ใจเพิ่ม ในขณะที่พาร์ท Speaking จะฝึกพูดกับเทปในแบบฝึกหัดของ Collins/Cambridge พร้อมจับเวลา 1-2 นาทีในการตอบคำถามแต่ละข้อ + monologue แล้วพยายามแก้ความพูดติด ๆ ขัด ๆ ของตัวเองควบคู่กันไป แต่ไป ๆ มา ๆ เรากลับมีเวลาฝึกพาร์ทนี้น้อยสุดเลย ส่วนหนึ่งก็เพราะหวังไปตายเอาดาบหน้าอยู่นิด ๆ  (ปล. ถ้าใครจะอัดเสียงตัวเองไว้ฟังทีหลัง หรือหาคนฝึกพูดด้วย ก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน) และผู้ช่วยเตรียมสอบของเรามีดังนี้ฮะ


    - Collins Practice Tests for IELTS 1-2: เป็นหนังสือหลักที่เราใช้ฝึกเลย ถือว่ายากพอสมควร (ยกเว้นพาร์ท Listening ที่ยากเกินไปมากกก) ซึ่งทำให้เราตื่นตัวและเตรียมใจไว้เนิ่น ๆ ว่าข้อสอบจริงมันอาจจะหินระดับเดียวกันแน่ ๆ 

    - Cambridge IELTS 13 Academic: เราลองทำแบบฝึกหัดนี้หลังจากทำของ Collins ไปเกือบหมด และพบว่าของ Cambridge นี่ “ใกล้เคียง” กับข้อสอบจริงที่เราสอบเลย (โดยเฉพาะพาร์ท Listening ที่ไม่ยากเวอร์ขนาดนั้น) เลยอยากแนะนำว่า ให้ทำของ Collins สัก 3-4 ชุดก่อน แล้วค่อยสลับทำกับเล่มนี้บ้าง จะได้รับมือกับข้อสอบที่หลากหลายครับ

    - Preparation for IELTS Exam (english-exam.org) [คลิก]:  นี่เป็นเว็บที่เราไว้ใช้ฝึก Writing โดยเฉพาะ มีโจทย์ให้ทำเยอะมาก และ model answers ก็ดีทีเดียวสำหรับการพัฒนาการเขียนทั้งสำหรับการสอบและการเขียนเพื่อวิชาชีพ ทั้งนี้ อาจจะมีบางโจทย์ของ Writing Task 1 ที่เก่าและไม่เหมือนกับลักษณะโจทย์การสอบในปัจจุบัน 

     English Speaking Success [คลิก]: YT channel ยอดนิยมสำหรับการฝึกพาร์ท Speaking ที่จริงเราฟังคลิปลุง Keith ไปแค่ 3-4 คลิปช่วง 2-3 วันก่อนสอบจริงเพื่อปลุกใจตัวเอง 555555 แต่ tricks ต่าง ๆ รวมถึงกำลังใจที่ลุง Keith ให้ไว้ก็ทำให้เรามีแรงฮึบกับการฝ่าฟันการสอบพาร์ทนี้เพิ่มขึ้นอีกนิด

    - Road to IELTS Last Minute Version: อันนี้เราได้โค้ดฟรีจาก British Council ตอนสมัครสอบ ก็จะมีแบบฝึกหัดและ mock tests ทั้งแบบกระดาษและแบบ computer-based ให้ทำ ถือว่าเอาไว้ฝึกแบบสอบคอมฯ ให้ชินก่อนวันจริงฮะ 


    วันสอบจริง

    คืนก่อนสอบจริงนี่กระวนกระวายมาก จนต้องหยิบ Thinking, Fast and Slow ที่ดองไว้มาอ่านเป็นยานอนหลับ  (btw, it’s a good book despite its complexity) แล้วตอนเช้ามืดยังมวนท้องอีก โอ่ยย จนต้องตื่นเช้าไปวิ่งรอบนึงให้หายฟุ้งซ่านสักหน่อย พอไปถึงที่สอบ (Spaces จามจุรีสแควร์ ชั้น 24) ก็ได้ distracted ตัวเองบ้างเพราะได้คุยกับเพื่อนที่ไปสอบพร้อมกัน เมื่อได้ฤกษ์ เจ้าหน้าที่ก็เรียกให้ไปถ่ายรูป ให้เราเอาของเก็บไว้ในล็อกเกอร์ (สิ่งที่เอาติดตัวไปได้คือ เสื้อกันหนาว น้ำและบัตรปชช. เท่านั้น ส่วนยาดมยาหอมนี่ต้องซัดให้เต็มเหนี่ยวก่อนเข้าห้องสอบนะฮะ) แจกดินสอด้ามนึง แล้วก็พาเราเข้าห้องสอบ 


    แต่ที่ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอก็คือ เน็ตกับระบบวันนั้นดันล่ม 55555555555555555555 ไอ้เราก็ เฮ้ออ อย่าบอกนะว่าวันนี้จะไม่ได้สอบ อย่านะ อย่า ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ I can’t take this! เวลาก็ดีเลย์ไปเรื่อย ๆ ทุกคนต้องออกมารอข้างนอก รอจนล้า ล้าจนปลงได้ที่ ผ่านไป 1 ชม. ระบบก็กลับมาเป็นปกติ ทีนี้ก็เอาละ ถึงเวลาสอบจริง ๆ สักที…


    พาร์ท Listening ง่ายกว่าที่คาดไว้เยอะ มีให้เติมคำแค่คำเดียวและ/หรือตัวเลข เลือกช้อยส์ที่ถูกที่สุด กับจับคู่ พอจบ 30 นาทีก็มาต่อกับพาร์ท Reading เจอ text แรกก็เฮ้ยย สตั๊นท์ไป 3 วิ. เพราะเป็นเรื่องเทคนิคภาพยนตร์ที่เคยทำรายงานตอนเรียนไปไม่กี่เดือนก่อน มาถึง text 2 ก็เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยในใจอีกรอบ เพราะได้เรื่องเกี่ยวกับ Wisdom of the crowd ที่เพิ่งอ่านเจอไปใน Thinking, Fast and Slow เอาล่ะเว้ย ๆ ส่วน text สุดท้ายก็เป็นตีมสิ่งแวดล้อมที่อ่านไม่ยากมาก (แต่คำถามชวนมึนสายตามาก ๆ) ครบ 1 ชม. ก็เข้าสู่พาร์ท Writing อันแรกเป็นชาร์ตพฤติกรรมผู้บริโภคของ 2 ประเทศที่อยู่ติดกัน อีกอันเป็น problematic เกี่ยวกับการศัลยกรรมเสริมความงาม 1 ชม. สุดท้ายก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หมดสิ้นการสอบ 2.30 ชม. ในตอนเช้าอย่างสปาร์คจอยกว่าที่คิด แต่ความล่กของจริงอยู่ที่พาร์ท Speaking กลับเข้าไปสถานที่สอบปุ๊บ เข้าห้องสอบปั๊บ แล้วหน้ากากกับแผงกั้น บวกกับความหูตึงของตัวเอง ก็ทำให้การฟังโจทย์และตอบคำถามตะกุกตะกักเอาการ จะโชคดีอยู่บ้างตรงที่ตอนพูด monologue และถาม-ตอบได้ตีมภาพยนตร์ (อีกแล้ว) เลยพอถูไถไปได้ แต่เราก็ไม่ค่อยพอใจตัวเองกับพาร์ท Speaking ที่สุดแล้ว และเป็นพาร์ทที่หวั่นใจที่สุดว่า band ต้องออกมาเละเทะแน่


    ใจคนคอย(ผลลัพธ์)

    แม้ว่าจะต้องรอผลสอบแค่ไม่กี่วัน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เชื่องช้าและทรมานใจพอสมควร ล็อกอินเข้าไปหน้าเว็บ IELTS รอดูคะแนนซ้ำ ๆ มันอยู่นั่น ผ่านไป 4 วันถ้วน เมลผลสอบก็ออกมาดังนี้ Listening 8.5, Reading 8.5, Writing 6.5 และ… Speaking 5.5 เฉลี่ยแล้วได้ 7.5 ซึ่งมันเกือบจะดีอยู่แล้วว 555555 ถ้าพาร์ทพูดได้สัก 6 จะแฮปปี้เลย (ครั้งจะให้ไปสอบใหม่ก็เหนื่อยล้าเกินไปแล้ว และรวม ๆ ก็ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียว) เราก็ยอมรับผลที่ออกมาแกมจิตตกไปคืนนึง เพราะวันรุ่งขึ้นก็ (ต้องกลับ) มาแข็งใจใหม่ เพื่อเตรียมตัวกับการสอบ DELF B2 ที่กำลังจะเกิดขึ้นใน trois semaines prochaines…


    ---------

    DELF B2

    ขอแนะนำ DELF กันก่อนสำหรับผู้อ่านที่ไม่ได้เรียนภาษาฝรั่งเศส การสอบวัดระดับภาษาฝรั่งเศสแบ่งออกเป็น 6 ระดับ [DELF (A1-B2) และ DALF (C1-C2)] เหมือนกับภาษาอังกฤษและภาษาตะวันตกอื่น ๆ แต่ข้อสอบของแต่ละระดับจะแยกกันไปเลย ทดสอบ 4 ทักษะตามเคย (Compréhension orale, Compréhension écrite, Production écrite, Production orale) พาร์ทละ 25 คะแนน ส่วนเกณฑ์ผ่านของทุกระดับนั้น คะแนนรวมต้องเกินครึ่ง (50 คะแนนขึ้นไป) และแต่ละพาร์ทต้องได้ไม่ต่ำกว่า 5 คะแนน (ยกเว้น C2 ขั้นต่ำต้องได้ 10) และผลสอบใช้ได้ตลอดชีพ ต่างจากการสอบวัดระดับอังกฤษหรือภาษาอื่น ๆ ที่จะใช้ได้แค่ 2 ปีเท่านั้น ทีนี้ DELF B2 มันสำคัญและมีประโยชน์มาก เพราะถือเป็นระดับขั้นต่ำที่มหาวิทยาลัย (และอาจรวมถึงบริษัท) ฝรั่งเศสต้องการ พูดง่าย ๆ คือ มันเป็นใบเบิกทางสำหรับคนเรียนภาษาฝรั่งเศสมานั่นเองฮะ 


    การเตรียมตัวและผู้ช่วยเตรียมสอบ

    จะว่าไป เราเริ่มเตรียมสอบ DELF ก่อน IELTS แต่กลับได้ทำแบบฝึกหัดและทวนน้อยกว่ามาก 555555 ส่วนหนึ่งเพราะเรียนเอกฝรศ. อยู่แล้ว เลยรู้สึกว่าไอ้ที่เรียน ๆ ทำงานส่งนี่ก็ฝึกเขียนฝึกอ่านไปในตัว ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ เหลือแต่พาร์ทฟังกับพาร์ทพูดที่น่ากังวลที่สุด track พาร์ทฟังแต่ละอันนี่คือพูดน้ำไหลไฟดับมาก ส่วนพาร์ทพูดนี่ - หลังจากที่มีประสบการณ์ใจแป้วกับ IELTS มาแล้ว - ก็ต้องหาตัวช่วย ไม่ดื้อฝึกเองคนเดียวแล้ว ส่วนผู้ช่วยเตรียมสอบก็มีตามนี้ครับ


    - Le DELF 100% réussite B2 de la maison Didier: หนังสือเตรียมสอบ DELF ขั้นพื้นฐาน ที่ชวนย้อนความหลังตอนเรียนวิชา français 1-3 ตอนปี 1-2 มากกก เพราะพาร์ทฟังกับอ่านจะมีข้อสอบหลายแบบปนกัน ทั้งช้อยส์  vrai/faux + évidence กับ justification ส่วนพาร์ทเขียนก็มีให้ฝึกเขียนจดหมายบ้าง หรือ argument จ๋า ๆ ตามสไตล์ français และพาร์ทพูดก็มีตีมที่คุ้นเคยกันดี ทั้งสิ่งแวดล้อม สื่อ สังคม/globalization เทคโนโลยี ฯลฯ นอกจากนี้ก็มีแบบฝึกหัดเชิงวิเคราะห์ยิบย่อยให้ทำ ทว่า ลักษณะคำถามและการตอบในพาร์ทฟังกับอ่านในหนังสือนี้ obsolète ไปแล้ว (แต่ยังมีประโยชน์ในการฝึกอยู่ดีนะ)

    - Exemples de sujets - niveau B2 [คลิก]: นี่คือตัวอย่างข้อสอบที่ใช้สอบจริงในปัจจุบัน จัดทำโดย France Education International ภายใต้ก.ศึกษาฯ ของฝรศ.โดยตรง ถ้าคุณเปิดดูลักษณะข้อสอบอันนี้แล้วไปเทียบกับ Le DELF 100% réussite จะพบว่า ตัวอย่างอันนี้ลดความมหาโหดตรงพาร์ทฟังกับอ่านที่เปลี่ยนเป็นช้อยส์ล้วนแล้ว ไอ้ตัวผมเองตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเปลี่ยนจริง (คือเคยสอบ A2 ตอนม.6 ยังต้อง justifier นู่นนี่นั่นอยู่เลย) จนไปเห็นข้อสอบข้อจริง ก็ choqué (ในทางที่ดี) สิครับ… นอกจากตัวอย่างข้อสอบแล้ว เว็บนี้ยังมี critères หรือเกณฑ์ให้เราดูด้วยว่ากรรมการจะประเมินอะไรยังไงบ้าง 

    -  DELF B2 - Compréhension orale par RFI Savoirs [คลิก]: แบบฝึกหัดพาร์ทฟังจากสำนักข่าว RFI ที่ลักษณะคำถามเหมือนกับที่ใช้สอบจริงในปัจจุบันเลย (ช้อยส์ล้วน) ส่วน pistes ต่าง ๆ ก็มี thèmes ให้เลือกฟังหลากหลาย ส่วนความเร็วในการพูดก็น้ำไหลไฟดับไม่ต่างจากข้อสอบจริง 5555555555 

    - Abel: อย่างที่บอกว่าเข็ดกับความดื้อของตัวเองตอน IELTS ไปแล้ว ประกอบกับมีรุ่นพี่มาโฆษณาว่า คุณ Abel เขาเปิดรับสอนและฝึกพูดฝรศ. พอดี (ในช่วงโค้งงงงงสุดท้ายก่อนที่เราจะไปสอบจริง) เลยไม่รอช้าติดต่อ Abel ไป สิ่งที่เราทำตอนนั้นคือเตรียมบท exposé ไปพูดกับเขาและส่ง articles เรื่องที่จะพูดให้ Abel ดู เขาก็ให้คำแนะนำ ปรับภาษาพูด รวมถึงตบ ๆ การลำดับ idées ของเราให้ดียิ่งขึ้น (ถ้าใครอยากได้ contact ของ Abel ขอมาทางหลังไมค์ได้ครับ เขาไนซ์และคุยด้วยง่ายมาก ๆ)


    วันสอบจริง

    เราสอบ DELF ที่สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ - Alliance Française Bangkok ตรงถนนวิทยุนั่นเอง (ซึ่งการสอบยังจัดขึ้นพร้อมกันที่สมาคมฝรั่งเศสในจังหวัดอื่น ๆ ด้วย)  รู้สึกว่ามีลางดีก่อนสอบ เพราะได้ที่จอดรถคันสุดท้ายพอดีก่อนจะเต็มหมด 


    จากนั้นก็นั่งรอที่โถงอย่างตื่นเต้นและปวดหลัง (เพราะเก้าอี้ยวบมาก) เกือบสองชั่วโมงก่อนจะถึงคิวสอบพูดในช่วงเช้า พอถึงเวลาปุ๊บ เจ้าหน้าที่จะให้เราสุ่ม article ขึ้นมาสองใบ ให้เราอ่านแป๊บเดียว แล้วเลือกว่าจะเอา article เรื่องอะไรไปพูด exposé ความ déjà vu มาหาเราจัง ๆ เพราะว่าจับได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับทีวีซีรีส์/หนัง (อีกแล้ววว 55555) ว่ามันมีคุณค่าหรือไม่ ทีนี้ก็มีเวลา 30 นาทีในการเตรียมสคริปต์ จากนั้นก็เข้าสู่ 15 นาทีแห่งความเหงื่อแตกเหงื่อแตน (littéralement) ในการนำเสนอ exposé และพูดคุยกับกรรมการ นี่ก็แสดงความ geek เต็มที่ใส่กรรมการ เช่น “ซีรีส์มันมีประโยชน์ในการเผยแพร่วัฒนธรรมต่าง ๆ ไปทั่วโลกนะครับ อย่าง Squid Game นี่ก็ทำคนปารีสต่อคิวแงะน้ำตาลไปทั้งเมืองเลยนะฮะ” เชื่อมโยงไปอีกแม้จะไม่ได้ดู ส่วนช่วงถาม-ตอบนั้น พอเราตอบคำถาม กรรมการก็พยักหน้าไปและจดโน้ตไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่เขาพยักหน้าเนี่ยคือเข้าใจหรือว่าหาจุดหักคะแนนเจอพอดีกันแน่ แหะ ๆๆ แต่รวม ๆ แล้วก็รู้สึกว่าผ่านพ้นการสอบพูดไปได้อย่างโอเค


    จากนั้นก็รอไปอีกสี่ชั่วโมงกว่า ๆ ถึงจะได้สอบพาร์ทที่เหลือทั้งสามในห้อง Audiotorium ตอนบ่ายสองครึ่ง (ที่ต้องรอนานเพราะก่อนหน้านั้นมีสอบของระดับ A2 กับ B1 เรียงกันมาติด ๆ) มาดามที่คุมสอบก็อารมณ์ดี คอย cheer up ทุกคนไม่ให้เครียดเกิน พอได้เวลาเปิดข้อสอบ เราก็ช็อคซีนิม่ากับพาร์ทฟังเลยจ้า อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า มันเปลี่ยนเป็นช้อยส์ล้วนจริง ๆ 5555555 โดย piste 2 อันแรกจะมีความยาว 3-4 นาที ถาม piste ละ 7 คำถาม ฟังได้ 2 รอบ ส่วน piste สุดท้ายคือรวมบทสนทนาสั้น ๆ 3 เรื่อง 6 คำถาม แล้วให้ฟังรอบเดียว ตอนนั้นคือสติหลุดไปมากโขอยู่เพราะช็อคไม่หาย จำได้ลาง ๆ ว่ามีเรื่อง NGO สิ่งแวดล้อมซัมซิง เรื่องการศึกษา กับเรื่องไลฟ์สไตล์ทั่ว ๆ ไปให้ฟัง 


    พอผ่านนรกการฟัง ก็มาพบสวรรค์นักอ่านกับพาร์ทอ่านต่อ ที่บอกว่าเป็นสวรรค์ก็เพราะว่ามันเป็นช้อยส์ล้วน (อีกแล้ว) แต่ textes อ่าน ง่าย มากกกกกกกกกกกก โอเคแหละว่าไอ้คำถามที่ถามจะเปลี่ยนคำศัพท์กับรูปประโยคให้ไม่ซ้ำกับใน texte แต่ถ้าใครศัพท์แม่น หรือรู้ synonymes เยอะ จะทำพาร์ทนี้ได้เร็ว และน่าจะช่วยพยุงคะแนนโดยรวมให้ผ่านได้ ใช้เวลากับพาร์ทอ่านไปแค่ 40 นาที ก็มีเวลาทำพาร์ทเขียนเยอะขึ้น โจทย์คือ ให้เราเขียนจดหมายของบทำกิจกรรมกีฬาจากเจ้านายในบริษัท ความยาวขั้นต่ำ 250 คำ นี่ก็คิดในหัวแล้วเขียนไปเลย เพราะกลัวไม่ทันเขียนร่างแล้วค่อยเอามาใส่ทีหลัง (+ ใช้ลิควิดเทป เลยไม่ค่อยกลัวว่ากระดาษมันจะเละ) ไอ้ตอนเขียนนี่รู้เลยว่าต้องมีสะกดผิดบ้างนิดหน่อย  แต่มานึกคำออกทีหลังตอนสอบเสร็จ อ่ะ เตรียมโดนหักคะแนนแล้วหนึ่ง แต่ไอ้ที่ลืมแบบไม่น่าจะลืมได้คือ หัวกระดาษจดหมายทางการ 5555555555555555555 โอ้ยยยตัวฉัน เพราะ model answer ใน DELF 100% réussite มันมีแต่เฉลยเนื้อความ ไม่ได้ใส่หัวกระดาษจดหมายมาครบ นี่ก็เลยชินกับการเขียนแบบไม่มีหัวกระดาษ ยังไงก็ตาม พอไปดูเกณฑ์การให้คะแนน ตรงนี้อาจจะไม่ได้โดนหักเยอะมาก แต่ยังไงก็ไม่น่าลืมเรื่องง่าย ๆ อยู่ดี หมดเวลา 2.30 ชม. ก็ยกภูเขาออกจากอกได้ ก่อนที่เทือกเขาทั้งแถบจะมาทับอกแตกตายตอนรอผลสอบอีกเดือนกว่า ๆ 


    ใจคนคอย(ผลลัพธ์)

    ถึงจะพอมั่นใจได้ว่าคงจะสอบผ่าน แต่ตลอดเดือนกว่า ๆ ที่รอผลสอบนี่ คิดอยู่ทุกวันว่า “กูจะได้คะแนนเท่าไหร่วะ จะรอดมั้ยวะ” เพราะถ้าหลุดรอบนี้ เราใช้ผลสอบไปยื่นอะไรต่าง ๆ ไม่ทันในปีหน้าแน่นอน และไหน ๆ ก็จะทรมานใจทั้งทีแล้วก็ขอเทคเดียวผ่านเลยดีกว่า 55555555 ซึ่งก็สอบผ่านจนได้ครับ เฮ้อ โล่งใจไปเปราะนึง (แต่คะแนนนี่ยังไม่รู้ว่าแต่ละพาร์ทได้เท่าไหร่บ้าง เพราะตอนที่พิมพ์นี่ก็เพิ่งรู้ผลสด ๆ ร้อน ๆ และทาง Alliance ก็ประกาศแค่ admis/non-admis เท่านั้นฮะ) 



    Bottom Line/Bref

    ทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์การสอบวัดระดับทั้งสองภาษาของผมฮะ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็คือ การมีความรู้รอบตัว - ทั้งจากเรื่องราวที่เราสนใจและข่าวสารต่าง ๆ ในโลกหล้า - อาจเป็นประโยชน์มหาศาลในชีวิตทางวิชาการและวิชาชีพ [อย่างที่ผมเจอเรื่องหนัง/ซีรีส์เต็ม ๆ ไปสองรอบ] และอีกอย่างนึงคือ จังหวะและโชค ที่จะได้หยิบยกความรู้เหล่านั้นมาใช้อย่างถูกที่ถูกเวลา ยังไงก็ตาม การฝึกฝนและจิตใจก็สำคัญมาก ๆ ระหว่างทั้งกระบวนการการสอบ เพราะมันกินทั้งพลังงานสมอง แรงใจ เวลาชีวิต และเงิน (น่าเศร้าชิบหายกับข้อหลัง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสอบได้หลายครั้งหากพลาดเป้าไป) 


    ทิ้งท้าย ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในชีวิตการศึกษา - ทั้งการเรียนและการสอบใด ๆ ก็ตาม - ในช่วงเวลาที่ยากลำบากและมืดมนเช่นนี้ และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อต่อสู้กันต่อไปครับ


    จนกว่าจะพบกันใหม่

    Bonne chance


    ภาพปก: Alliance ถ่ายหลังสอบ DELF เสร็จ สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ 7 พฤศจิกายน 2564

    Written by porrorchor l IG: porrorchor


    กระทู้ที่เกี่ยวข้อง รีวิววิชาอักษรฯ จุฬาฯ ปี 4 เทอม 1 #ซี้ภาษา [คลิกอ่าน]
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
เกงมากเลยอะ