เมื่อรักใครจนลึกซึ้งเกินกว่าจะลดเหลือแค่ครึ่งๆ กลางๆ การคาดหวังจึงก่อกำเนิดขึ้นมาโดยไม่ทันระวัง รู้ตัวอีกทีความรักและความคาดหวังก็ผสานรวมร่างจนไม่อาจจะแยกจากกันได้ เหมือนก้อนร่างมีเลือดเนื้อที่ถูกปรสิตฝั่งเข้าไปในทุกอณู
โดยเนื้อแท้ของตัวเราเป็นคนรักสันโดษ ตั้งแต่เริ่มจำความได้รางๆ เรามักจะเห็นภาพของตัวเองเล่นอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว แต่ถ้าต้องเล่นกับใครก็มักจะเป็นเพื่อนที่มีแค่หนึ่งหรือสองเท่านั้น เราไม่ชอบการเล่นเป็นกลุ่มหรือเพราะตัวเราไม่เหมาะกับการรวมเป็นกลุ่มก้อนก็ไม่รู้
จำได้อยู่ครั้งหนึ่ง อยากตามพี่ชายไปเล่นเกมที่ร้านเกมกับกลุ่มเพื่อนของพี่แต่พี่ไม่อยากให้ไปด้วย นั่นคงเป็นครั้งแรกที่ทำให้เรารู้สึกถึงการไม่เข้าพวก ไม่เป็นหนึ่ง การถูกถอดทิ้ง หลังเหตุการณ์นั้นรุ่นพี่รุ่นน้องที่อายุเยอะกว่าก็ซื้อเกมให้เราเล่น เป็นเครื่องเล่นสำหรับเราคนเดียว แต่เราอยากไปเล่นกับพี่และเพื่อนๆของพี่มากกว่า
หรือนี่จะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เราค่อยๆ เรียนรู้ที่อยากจะเล่นคนเดียวมากกว่า เพราะไม่อยากผิดหวังจากการถูกคัดออก เรามักเติบเต็มตัวเองด้วยจินตนาการในหัว เล่นสนุกกับตัวเองผ่านสิ่งรอบข้าง สมมติว่าอยู่ในเหตุการณ์หนึ่งๆ และมีความสุขโดยไม่ต้องกลัวที่จะถูกเตะออกจากกลุ่มอีก
พอโตขึ้นในช่วงประถมปลาย เป็นก้าวแรกของการเป็นวัยรุ่นตอนต้น ตอนนั้นจู่ๆ ก็กลายเป็นว่ามีเพื่อนกลุ่มใหญ่ราวๆเกือบสิบคน แต่ลึกๆในใจเรากลับรู้สึกโหยหาเพื่อนเพียงแค่หนึ่งหรือสอง ไม่ก็มีแค่ตัวเรา พอข้ามผ่านช่วงนั้นมาได้ ยิ่งเติบโต ยิ่งไม่ชอบการรวมกลุ่มจำนวนมาก ม.ต้น มีเพื่อนสนิทรวมตัวเราสามคน พอจบม.ต้นเพื่อนที่เคยสนิทก็ไม่สนิทอีกแล้ว
จนมาอยู่ม.ปลายก็มีกลุ่มเพื่อนที่เรียกได้ว่าสนิทแปดคน แต่เราสนิทอยู่แค่สองหรือสามคน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่รวมๆแล้ว กลับรู้สึกไม่ได้สนิทกับใครขนาดนั้น เพราะเรากลัวการเข้าไปในชีวิตของใครและไม่ได้ยินดีที่จะให้ใครเข้ามาเห็นชีวิตขนาดนั้น แต่เพื่อนม.ปลายก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทจนถึงปัจจุบันในวัยทำงาน ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนมหาวิทยาลัย เรามองว่าเหมือนเพื่อนคอนเนคต์ชั่นมากกว่า อุ่นใจเชิงเส้นทางอาชีพ
กระทั่งได้รู้จักกับเพื่อนร่วมงานที่กลายเป็นเพื่อนและเป็นมากกว่าเพื่อน ไม่ได้หมายความว่าเป็นแฟนหรือมีสถานะเชิงชู้สาว ไม่ได้รักกันในรูปแบบนั้น แต่เป็นสถานะที่กึ่งของการเป็นคนที่เรารักและครอบครัว แต่ไม่ใช่เชิงชู้สาว ถ้าให้เปรียบก็คงเหมือน Soulmate ด้วยอะไรหลายอย่างทำให้เราสนิทกันมากจนเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของกันและกัน ซึ่งมันลึกซึ้งกว่าเพื่อนสนิทสมัยม.ปลายซะอีก
เป็นความรักที่ลึกซึ้ง หวังดีมอบให้กัน แต่ในขณะเดียวกันตัวเรากลับไม่รู้เลยว่าได้ค่อยๆก่อกำเนิดสิ่งที่เรียกว่าความคาดหวังใส่ในตัวเพื่อนคนนี้ ที่เป็นมากกว่าเพื่อนและครอบครัว ยิ่งเรารักมาก เรายิ่งคาดหวังอยากได้รับสิ่งตอบแทนกลับมา เหมือนการตีปิงปอง แต่ปิงปองของเรากลับไม่เคยสะท้อนกลับมาตามแรงที่เราหวัง บางทีก็กระเด็นหายไปเสียดื้อๆ แต่เรากลับไม่เคยที่จะหยุดตี ยิ่งตีแรง ยิ่งผิดหวังแรงเพราะหวังไม่เคยได้กลับมา
รู้สึกเศร้ายิ่งกว่าอกหักซะอีก กับสิ่งที่เรียกว่าความคาดหวัง เราไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าได้สูญเสียตัวเองไปมากมายเพื่อที่จะเอาสิ่งที่คาดหวังกลับมา กว่าจะรู้ตัวก็พังไม่เป็นท่า มีแต่ความทรมานกัดกินหัวใจจนพลอยโทษคนๆนี้ว่าเป็นสาเหตุ ทั้งๆ ที่มันมาจากตัวเรา ความคาดหวังของเรา ไม่ใช่ใครอื่น
ยิ่งรักลึกซึ้ง ยิ่งคาดหวังการสะท้อนกลับที่ไม่สิ้นสุด กว่าจะกลับมามีสติก็เกือบอยู่ในจุดที่เกินเยียวยา เราใช้เวลาทำใจกับแผลที่เรียกว่าคาดหวังอยู่หลายปี กว่าจะยอมรับความจริงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ก็นานพอตัว ในเมื่อเรายังหลอกตัวเองไม่หยุด
วันนี้เริ่มรู้สึกดีขึ้น การมองโลกในความเป็นจริง ไม่คาดหวังอะไรเลย แต่ไม่ได้หมายถึงชีวิตห้ามมีเป้าหมาย เราเรียนรู้แล้วว่าสิ่งที่อันตรายไม่ใช่รัก แต่คือการคาดหวัง ก็เหมือนตอนที่เราอยากให้พี่ชายพาเราไปรวมกลุ่มเพื่อนเกมด้วย เราหวังว่าเราจะเป็นหนึ่งในนั้น แต่พอไม่ใช่เราก็ก่อกำแพงว่าการอยู่คนเดียวดีจะตายไม่ต้องผิดหวัง แต่ไม่ใช่เลย ต่อให้อยู่คนเดียวหรือกับใครก็ตาม ความคาดหวังอันตรายเสมอ
แล้วเราจะทำยังไงไม่ให้คาดหวังล่ะในเมื่อมันเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ทุกคนด้วยซ้ำ คำตอบตอนนี้ก็คือไม่มี ทำได้แค่ต้องดึงสติให้มากเมื่อเราเริ่มไม่สบายใจเพราะกำลังคาดหวังสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนก่อให้เกิดความทรมาน เราคงบอกไม่ได้ว่าหยุดคาดหวัง เพราะมันก็ยากพอๆ กับการบอกให้หยุดคิดนั่นแหละ แต่จึงรู้ตัวให้ดีว่าถ้ากำลังคาดหวัง ก็ให้รู้ซะ อย่างน้อยจะได้ลดมันลงจนรู้สึก Nothing At All
จงรักให้เต็มที่ หวังดี แต่อย่าคาดหวังว่าสิ่งที่มอบให้ใครจะได้รับกลับคืน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in