เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สามจบแล้วก้มกราบPDpuggerino
Feud: Bette and Joan(2017) : ถ้าเสือสองตัวมันเกิดอยู่ในถ้ำเดียวกันได้ล่ะ
  • - ถ้าเสือสองตัวมันเกิดอยู่ในถ้ำเดียวกันขึ้นมาได้ล่ะ มันจะไปสนุกอะไร จะเอาอะไรไปขายผู้ชมล่ะ
    วิธีแก้ก็ง่ายมาก ทำให้มันแตกกันสิ แล้วเรื่องต่อจากนั้นมันจะเป็นประวัติศาสตร์ไม่รู้จบเอง -

              Feud: Bette and Joan คือ ซีรีย์สุดแซบจากผู้สร้าง American Horror Story  และ Scream Queen ดูแล้วอยากก้มกราบ พีคได้ทุกตอน และรับรางวัล Golden Globes กลับบ้านไปนอนกอดเรียบร้อยแล้วเรื่องก็ตามหัวข้อเลยค่ะ ผู้หญิงในฮอลลีวูดยุค 70 ตีกัน ผู้หญิงแก่สองคนด้วย เอากับเค้าสิ

                 ฉากนี้ก็พีคขนาดตัดออกมาเป็นโปสเตอร์เลยทีเดียว มาจากเหตุการณ์จริงด้วยจ้า  
    (ภาพจาก : www.express.co.uk/life-style/life/888263/Feud-BBC-series-Bette-Davis-Joan-Crawford-real-life-feud-Hollywood) 

             ให้รีวิวสั้นๆ คือ ไปดูเถอะ ดีมากกกกกกก  การแสดงกินขาดเล่นเหมือนจนคิดว่าตัวจริงมาเล่นเอง ใครหวังดูเอาความสะใจก็ไม่ผิดหวัง  ตีกันมันหยด เล่นกันเหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้  หรือดูจบแล้วไปหาหนังในเรื่องอย่าง what happened to baby jane มาดูต่อก็จะอินมากขึ้น  หรือหวังดูเอาสาระก็น่าจะได้ประเด็นกลับไปคิดต่อแน่นอน

     .                                               แคสต์ก็ปังแล้ว บิ๊กเนมทุกคนไปเลยค่า


    มาต่อที่รีวิวยาวๆ 555 
              Feud เล่าในมุม Joan Crawfor (Jessica Lange)เกือบทั้งหมด ทั้งความยากลำบากในการกลับมามีที่ยืนในวงการอีกครั้ง มันก็เป็นแค่หนึ่งในความยากลำบากที่ถาโถมกันเข้ามาระดับวิบากกรรมเนอะ เพราะ Joan Crawford เจอทั้งสามีตาย ถึงจะเป็นตัวแม่ในวงการแต่ด้วยอายุที่มากขึ้น ที่ยืนให้ดาราในฮอลลีวูดที่อายุก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น พอเจอบทดีๆ ก็ต้องมาแย่งหาซีนให้ตัวเองเด่น และคนที่นางตีด้วยก็เป็นใครไปได้นอกจาก Bette Davis(Susan Sarandon) ใครติดตามวงการหนังก็ต้องผ่านตาเรื่องเจ้าป้าสองคนตีกันบ้างแหละนี่ก็เป็นจุดพีคให้เรื่องนี้ขยี้อีกเช่นกัน

             ถึงซีรีย์นี้ส่วนใหญ่เล่าในมุมของ Joan Crawford ที่น่าสงสารก็จริงแต่มันก็น่าหมั่นไส้ในคราวเดียวกันนะ ความจมไม่ลง ความพยายามจะกลับมาสู่แสงไฟฮอลลีวูดในฐานะดาราคุณภาพ แต่ทั้งชีวิตดันขายแต่ความสวย ความเซ็กซี่  เราเชื่อว่า Joan นี่ตายได้แต่ให้ขายหน้านี่ขอผ่าน และซีรีย์ยังเสนอมุมของ Betty Davis ตำนานอีกคนของฮอลลีวู้ดที่ขณะนั้นอายุ 50 กว่าๆ เข้าไปแล้ว ก็พยายามกลับมาสู่แสงไฟฮอลลีวู้ดเช่นกัน แต่ Betty  นั้นถือได้ว่าเป็นนักแสดงที่มีเลือดศิลปินสูงมาก บทอะไรมาเหอะเล่นได้หมด ทั้งบรอดเวย์ ซีรีย์บ้าง เป็นตัวแม่ที่ยังคงเป็นตัวแม่อยู่เพราะฝีมือการแสดงที่กินขาดต่างจาก Joan Crawford ที่กระแสจะเงียบกว่า แต่เอาเข้าจริงแล้วชีวิตทั้งสองคนก็วิบากกรรมพอๆ กัน Bette Davis ถึงงานจะดูดี แต่ก็มีปัญหาเรื่องการแบ่งเวลาให้ครอบครัว ชีวิตสมรสที่ล่มไม่เป็นท่า What Ever Happened to Baby Jane? จึงเป็นเหมือน Last chance ที่ถ้าปฏิเสธบทนี้ก็โง่มากของทั้งสองคน        
    ยังไม่พอหนังเรื่องนี้ยังสร้างปรากฏการณ์ที่โลกไม่ลืมอย่างเหตุการณ์ออสการ์หยดเดียวอีกด้วย ถ้ารู้แล้วว่าเหตุเกิดได้ยังไงจากในซีรีย์ก็คงพูดได้แค่ว่า พอกันทั้งสองคนแหละ ไม่มีใครดีกว่าใครเลย

     แต่ๆๆ Feud ชวนให้เราคิดมากกว่านั้น


          
                  Feud พยายามตั้งข้อสงสัยว่าถ้าที่เรารับรู้ทุกอย่าง สื่อเป็นคนสร้างมาหมดเลยล่ะ สมัยนั้นเรารับข่าวสารได้แค่ทีวี วิทยุและหนังสือพิมพ์นะ แท็บลอยด์เม้ามอยอะไรที่ใต้เตียงดารามากๆ นี่สร้างข่าวกันขึ้นมาสนุกสนาน เรียกได้ว่าใครคุมสื่อได้ สนิทกับสื่อ คนนั้นก็ได้แต้มต่อกันไป  คุณอาจจะเถียงว่าเฮ้ย ประชาชนไม่โง่นะก็มีวิจารณญาณไม่ใช่เหรอ แยกแยะสิ แต่ถ้าดูจากบริบทสังคมแล้ว ลองคิดดูนะคะ ในเมื่อคุณรับสื่อได้ไม่กี่ทาง แล้วสื่อหลายทางนั้นดันเลือกข้างแล้วด้วยว่าอยู่ฝ่ายใคร คุณจะเอาวิจารณญาณจากไหนล่ะ? และนี่แหละทำให้เกิดเป็นเรื่องฉาวฮอลลีวู้ด Feud ฉบับ Ryan Murphy จึงเสนออีกมุมมองขึ้นมา

                      อีกหนึ่งตัวแปรสำคัญของเรื่องค่ะ Hedda Hoppers คอลัมนิสต์ข่าวก๊อสซิป 

            สิ่งที่คนดูจะสัมผัสได้จากสองตัวละครนำอย่างชัดเจนช่วงแรกจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต คือ มิตรภาพ Feud ทำให้เราแอบคิดลึกๆว่า  Bette Davis และ Joan Crawford สามารถเป็นเพื่อนแท้ แท็คทีมกันถล่มฮอลลีวู้ดได้เลยนะ ถ้าสื่อไม่ชงประเด็นข่าวให้แตกกัน ใส่สีตีไข่เพิ่มให้นัวๆ และปรากฏการณ์งานออสการ์ ช็อกโลก ถ้าจะบอกว่า Bitch ที่สุดในเรื่องนี้ก็คงเป็นสื่ออย่าง Hedda Hoppers นี่แหละ 
    แต่จะกล่าวโทษสื่อหมดเลยก็คงจะดิสเครดิตกันไปหน่อย ถึงสื่อจะฉีกทึ้งมิตรภาพของทั้งสองคนจนหลุดรุ่ยแต่ก็เพิ่มเรตติ้งให้หนังในระดับที่เป็นตำนานฮอลลีวู้ดจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว 

           ( ภาพจากhttps://filmartgallery.com/products/whatever-happened-to-baby-jane-8419)

               หนัง What Ever Happened to Baby Jane? อาจเป็นฝันร้ายสุดๆ ของผู้กำกับและนายทุนอย่าง Warners Brothers ที่ต้องคอยมาห้ามป้าสองคนตีกัน แต่กำไรที่ได้กลับมาเป็นรายได้ถล่มทะลายกว่าที่คิดจากทุนสร้างไม่เท่าไหร่เรียกว่าได้กลับมาคุ้มเลยทีเดียว นักแสดงตัวแม่ที่แม้ตอนนี้ชื่อจะค้างฟ้าแต่ก็ไม่ดึงดูดคนมาดูเท่าไหร่ก็กลับมามีชื่ออีกครั้ง สร้างปรากฏการณ์หนัง Thriller Horror มีฉากที่ขำJoan crawford มากๆ อยู่หลังจากนี้ ด้วย ต้องลองดูกันนะคะ    

              รวมถึงประเด็นที่ใส่มาโต้งๆ ไม่อ้อมค้อมอะไรทั้งนั้นอย่างความเป็นเฟมินิสต์ของทั้งสองตัวละครนำ การเรียกร้องสิทธิ์ของสตรีที่โดนกดขี่ของตัวละครนำอย่างไม่มีใครยอมใคร ความไม่เท่าเทียมระหว่างหญิงกับชาย และยังไม่ลืมใส่ประเด็นยิบย่อยจนแทบจะเรียกว่าเกร็ดความรู้อย่างการปกปิดว่าตัวเองเป็น LGBT ที่สมัยนั้นยังไม่ยอมรับมากเท่าปัจจุบัน ความวุ่นวายจากการก้าวผ่านพ้นยุคหนังเงียบ การเหยียดกันไปมาของนักแสดง ธุรกิจครอบครัวที่ Bette พยาย๊าม พยายามจะฝากลูกตัวเองเข้ามาเป็นนักแสดงให้ได้ ความเยอะของตัวพ่อตัวแม่ในฮอลลีวู้ด ซึ่งคนดูรุ่นใหม่ก็เหมือนได้เล็คเชอร์กันฮอลลีวู้ดยุค 70s กันไป

           ใช่ว่าจะตีอย่างเดียวนะคะ ฉากพาปลงอย่างฉากนี้ คือฉาก "In memorium"  ในปี 1978  ตอนนี้ Joan Crawford เสียชีวิตไปแล้วค่ะ อย่างที่รู้กันดีว่า Joan Crawford แสดงหนังมาก็เยอะ เป็นดาราฮอลลีวูดแนวหน้า แต่สิ่งที่ออสการ์ให้กับเธอคือคลิปรวบรวมผลงานซึ่งก็รวมกันกับคนอื่นด้วยจ้า สองวินาทีถ้วน และพวกที่เหลือก็ยืนปลงกัน ทั้งขำทั้งจุก ยิ่งใหญ่แค่ไหน เมื่อคุณตายไป มันก็เท่านี้จริงๆ นะ อย่างที่ Bette Davis บอกเลยว่า "That's all of us will get"



            สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะตีกันไป ตีกันมาจนถึงตอนจบแต่ความสำเร็จของผู้หญิงสองคนนี้ (อีกครั้ง) หลังจากหมดยุคตัวเองไปก็เป็นข้อพิสูจน์อันดีเลยว่าฮอลลีวู้ดมีที่ยืนให้คุณเสมอถ้าคุณจะยืนยันที่จะยืน 

    สิ่งที่ประทับใจ : ฉากที่ Bette ถามว่า Joan รู้สึกยังไงที่เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก และ Joan ถามกลับว่า Betty รู้สึกยังไงที่เก่งที่สุดในโลก ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่แต่ละคนโหยหามันอยู่ในตัวอีกคนมาโดยตลอด Joan Crawford ต้องการมากกว่าความสวย และ Bette Davis ต้องการมากกว่าความเก่ง แต่สุดท้ายทั้งสองอย่างก็ไม่มีวันเป็นจริงได้ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างจริงๆ
                     (ภาพจาก: https://www.thevintagenews.com/2017/11/26/joan-crawford/)






                                                                                        ไหว้สามจบแล้วก้มกราบเลยค่ะ สุดยอดมากๆ 



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in