เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ไปเที่ยวกันจ้าแม่squarrium
Louder in Laos-der ไปเที่ยวลาวกันเด้อ! - Day 4 หลวงพระบางไม่สบาย เพราะร้อนมาก!
  • Louder in Laos-der ไปเที่ยวลาวกันเด้อ! - Day 1 เวียงจันทร์ เมืองหลวงสุดเงียบเหงา

    Louder in Laos-der ไปเที่ยวลาวกันเด้อ! - Day 2-3 วิงเวียนใน วังเวียง


    เช้าขึ้นมาจากวังเวียงก็เริ่มวันที่การนั่งรถไปขึ้นรถตู้อีกที

    คนลาวนี่ตรงเวลาเหมือนกันนะ ตอนที่จองรถตู้จากวังเวียง - หลวงพระบาง พนักงานพยายามบอกว่าอย่าลงมาสายนะ นัดเรา 8.45 น. รถก็มาเวลานั้นเป๊ะ

    ไปขึ้นรถตู้ที่สภาพดีกว่าขามาวังเวียงหน่อย ที่สำคัญคือคนไม่เต็ม นั่งกันได้สบายเวอร์ ค่าเสียหายทั้งหมดคือ 90,000 กีบ ประมาณ 360 บาท มีแวะรับส่งคนบ้างตามประสา ถือว่ารับได้ 

    จุดชมวิวอะไรไม่รู้ที่รถตู้จอดให้ ดีมาก!

    ความไม่ขาดฝันอย่างหนึ่งคือคนขับรถพาไปแวะพักที่จุดชมวิวที่เต็มไปด้วยหมอกเยอะมากกก มากจนมองไม่เห็นวิว แต่โคตรจะสวย เป็นความประทับใจแรกที่หลวงพระบางที่ดีมาก ๆ คุ้มกับที่นั่งรถขึ้นเขาหลับแล้วหลับอีก แถมยังจะแวะอีกรอบให้กินข้าวเที่ยงอีกต่างหาก ใจดีไปไหน

    พอไปถึงหลวงพระบางก็ต้องนั่งรถต่อไปเองเพราะคนขับจะไปส่งแค่ที่ขนส่ง เพื่อนเลยชวนฝรั่งที่นั่งคันเดียวกันไปด้วยกัน หารค่ารถกันไป ที่พักที่เลือกอยู่ติดแม่น้ำโขง แต่มองไม่ค่อยเห็นวิวเท่าไรหรอกเพราะอยู่คนละฝั่งถนน ต้นไม่บังเต็มไปหมด 

    จากที่ได้ยินความเป็นหลวงพระบางมา เป็นเมืองเก่า จะขายความสโลวไลฟ์ มีคาเฟ่ให้นั่ง และมีพระราชวัง เราเลยเลือกจะเดินไปเรื่อยๆ เพื่อหาคาเฟ่เข้า แต่จากตอนแรกที่ว๊าวๆ ก็กลายเป็นเฉยๆ เพราะอากาศร้อนมาก แถมคาเฟ่ก็เหมือนกับที่ไทย แต่จะมีความคุมโทนของสถาปัตยกรรมมากกว่า คงสภาพความเป็นเมืองเก่าคล้ายๆ กับแถวเทเวศร์ สามเสน ราชดำเนิน

    เพราะมันไม่มีอะไรมากเลยแวะเข้าไปในพระบรมมหาราชวังกับพิพิธภัณฑ์เลย ค่าเข้า 30,000 กีบ (ประมาณ 120 บาท) ฟรีสำหรับคนลาว ก่อนเข้าก็ต้องฝากของและกล้องถ่ายรูปด้วย


    เป็นพระบรมมหาราชวังที่ดูไม่โอ่อ่า และค่อนข้างเปิดให้เราเข้าชมแบบใกล้ชิด จะกั้นก็แค่ตรงที่เป็นห้องส่วนพระองค์เท่านั้น ดูจากปีค.ศ.แล้วไม่เก่ามาก แต่ดูเหมือนไม่ได้ดูแลรักษาที่ดีมากกว่า

    แล้วก็มีอีกส่วนนั่นคือโรงเก็บรถพระที่นั่งด้านหลัง ไม่ใหญ่มาก แต่แค่ 4 โมงครึ่งก็ปิดแล้ว อย่าลืมแวะไปกันนะ

    ที่ลาวจะเรียกพระมหากษัตริย์ว่า เจ้ามหาชีวิต ดูเหมือนจะแปลตรงตัวเลยทีเดียว ที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าชีวิตของประชาชนในปกครอง

    น่าเสียดายที่ข้างในห้ามถ่ายรูป เพราะมีบางส่วนที่สวยงามมาก เอาเป็นว่าเก็บไว้ดูกับตาก็พอแล้ว

    จบจากตรงนี้ก็เถียงกับเพื่อนหนักมากว่าจะเดินขึ้นพระธาตุพูสีเลยมั้ย เพราะบันไดขึ้นแดดร้อนมาก สุดท้ายเลยเดินไปขึ้นอีกด้านหนึ่งที่ร่มกว่า เดินไปหอบไปจนเกือบไม่ถึง แวะเป็นพักๆ บนบันไดสามร้อยกว่าขั้น พอถึงแล้วก็เจอนักท่องเที่ยวเยอะมากที่รอดูพระอาทิตย์ตก แต่เราไม่ดูแล้วจ้า ขอเผ่นก่อนเพราะร้อนมาก

    พระธาตุพูสี

    ตกเย็นก็จะมีอีกที่ที่เป็น Recommend ของหลวงพระบางคือ Night Market แต่พอเดินไปแล้วก็เงียบๆ มีแต่คนเดินผ่านไม่ค่อยมีคนซื้อเท่าไร ในใจก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเป็น Low Season ถึงมันจะดูเงียบมากๆ ก็เถอะ บรรยากาศเงียบเหงาจนได้ยินพ่อค้านั่งดูประชมรัฐสภาของไทยอะคิดดู!

    แต่ที่คึกคักสุดกลับเป็นในซอยนึงที่ขายอาหารพื้นเมืองอย่างพวกส้มตำ ไก่ปิ้งปลาปิ้ง เป็นร้านริมสองข้างทาง แล้วก็มีเก้าอี้ให้นั่ง คึกคักมาก อร่อยมากด้วย

    ฝากท้องมื้อเย็นไว้ที่ตรอกนี้

    หมดวันไปพร้อมกับหมดเงิน ไม่พอกลับบ้านแน่ๆ เลยวางแผนกันว่าพรุ่งนี้จะต้องกดเงินเพื่อประทังชีวิต

    ใส่บาตรข้าวเหนียว

    ตื่นเช้าวันสุดท้ายที่หลวงพระบาง เริ่มต้นด้วยการใส่บาตรข้าวเหนียวตามประเพณี แต่เป็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะไม่ชอบการทำบุญแบบธุรกิจ มีแต่นักท่องเที่ยวและแม่ค้าคอยมาขายข้าวเหนียวให้คนที่มาใส่บาตร แต่ในใจก็คิดว่า เอาหน่ะ มาเที่ยวทั้งที

    ต่อด้วยการไปเดินตลาดเช้าทั้งๆ ที่เงินไม่มีเนี่ยแหละ บรรยากาศตรงนี้คึกคักของจริง วางแบกับดินบ้าง ตั้งแผงบ้าง แต่เป็นที่ที่ชาวบ้านมาซื้อ-ขายกันจริงๆ นักท่องเที่ยวก็มีบ้างนิดหน่อย แต่ได้ฟีลมาก

    ตลาดเช้า

    แล้วก็จบช่วงเช้าด้วยการไปกินข้าวต้ม ຮ້ານກາແຟ ປະຊານິຍົມ (ร้านประชานิยม) ริมแม่น้ำโขง ไอ้เราก็นึกว่ามีทั้งข้าวต้มทั้งโจ๊ก สรุป ข้าวเปียก ก็คือข้าวต้มนั่นแหละ เหมือนเป็นตรงกลางระหว่างข้าวต้มกับโจ๊ก ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ส่วนกาแฟ ชาเย็นก็อร่อยมาก ได้กินอะไรร้อนๆ ก็ตื่นเลย

    เริ่มชีวิตวันสุดท้ายด้วยการหาตู้กดเงินก่อน ไม่งั้นก็ไม่ได้กลับกรุงเทพ

    เดินกดไปสองตู้ก็ไม่ได้ซักที เริ่มจะหลอนๆ หน่อยละ จะได้กดเงินปะวะ สรุปไปได้ตู้ที่สามของธนาคาร BCEL เรียกว่าแทบก้มกราบตู้ผู้มีพระคุณ (ใช้บัตร ATM กสิกร เสียค่าธรรมเนียมไป 100 บาท แต่เรทราคาดีกว่า SuperRich ที่ไทย)

    แล้วก็ได้ใช้ชีวิตอย่างราชาอีกครั้ง

    ไปกินส้มตำร้านป้าติ๋มร้านดัง เหมือนจะเป็นลูกค้าคนแรกของร้านด้วย ถึงอากาศจะร้อนมากแต่ก็อร่อยดี มีสาหร่ายทอดกรอบที่รสชาติเหมือนหมูแดดเดียว ของเด็ดหลวงพระบาง ต้องไปลอง

    ในวันสุดท้ายทั้งวันก็ไม่มีอะไรมาก เดินวนหาร้านคาเฟ่นั่ง เพราะมันร้อนมากจริงๆ

    อีกอย่างที่หายากในหลวงพระบางยังกะรถประจำทาง นั่นก็คือ ร้านที่ติดแอร์ ไม่รู้ว่าเค้าจะคีพความดั้งเดิมหรืออะไร แต่บรรยากาศร้อนแบบนี้มันก็ไม่ไหวนะ ...

    อยากแนะนำร้าน Formula B  บรรยากาศข้างบนชิคๆ ถ่ายรูปสวย พนักงานดีงาม ติดแอร์ แถมยังกาแฟอร่อย

    Formula B

    วิธีการเดินทางไปสนามบินก็คือเช่ารถผ่านโรงแรม ในราคาประมาณ 50000 กีบ (200 บาท) ด้วยความที่นึกว่าสนามบินนานาชาติหลวงพระบางน่าจะมีร้านอะไรให้เรานั่งรอซะหน่อย (บวกกับหมดที่เที่ยวในหลวงพระบางแล้ว) เลยรีบไป สรุปแล้วสนามบินมีร้านกาแฟอยู่ร้านเดียว ... ต้องเช็คอินเข้าไปก่อน

    ละความชิลของตม.หลวงพระบางอะเนอะ นี่ไปยืนรุมตรงตม.กับเพื่อนสองคนด้วยความลืม ปกติที่ที่เข้มงวดหน่อยนี่ดูทั้งหน้า เชคทั้งชื่อ ดูแล้วดูอีก

    มีโอกาสแวะไปร้านหนังสือแปปนึง สิ่งที่เด่นสุดๆ ในร้านก็คือนวนิยายเกี่ยวกับประเทศลาวของ Colin Cotterill (ที่เราเคยรีวิวไว้แล้ว) เป็นนิยายชุด ดร.สิริ ไพบูน นายแพทย์นิติเวชคนเดียวในเวียงจันทร์ยุค 1975 มีขายอยู่ในร้านครบ 7 เล่มเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเรากรี๊ดมาก เพราะเป็นนิยายที่ทำให้เราอยากไปเที่ยวลาว >>  ไปลาวเพราะหนังสือสองเล่ม : แผนซ้อนซ่อนศพ , ปริศนาฟันมรณะ

    แต่ก็ไม่ได้ซื้อกลับมาหรอก เพราะไม่เก่งอังกฤษ น่าจะอ่านไม่รอด

    หลังจากนั่งรอด้วยความเงียบเหงา ก็บินกลับกรุงเทพฯด้วยสายการบิน Air Asia

    เป็นอันจบทริปสปป.ลาวไปอย่างสวยงามแบบงงๆ

    ถามว่าลาวมีเสน่ห์มั้ย ก็คล้ายๆ กับไปเที่ยวในประเทศเรานั่นแหละ ด้วยภาษา อาหาร วัฒนธรรมคล้ายกันหมด อาจจะไม่ได้ทำให้เราว๊าวมาก แต่ด้วยความที่ชอบอะไรที่เป็นเอเชียอยู่แล้ว ถือว่าเป็นทริปประทับใจอีกทริปนึงเลย

    แต่ถ้าถามว่าอยากไปอีกมั้ย คงต้องขอกลับไปคิดหนักๆ บวกกับวางแผนการเที่ยวดีๆ กว่านี้หน่อย 5555

    สรุปแล้วทริปนี้หมดเงินไปทั้งหมดไม่ถึง 9000 บาท

    ขาไป นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ อุดร รถตู้เข้าเวียงจันทร์
    ใช้การโดยสารโดยรถตู้เพื่อข้ามเมือง เวียงจันทร์ วังเวียง หลวงพระบาง
    ขากลับ นั่งเครื่องบินจากหลวงพระบาง กรุงเทพฯ 

    กินอยู่อย่างไม่ขัดสน (ยกเว้นตอนที่เงินหมด นั่นคืออนาถจริงๆ แต่พอกดเงินแล้วก็อยู่อย่างราชาเหมือนเดิม)

    อยากให้ทุกคนไปเที่ยวลาวเหมือนกันนะ เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีอีกที่หนึ่งเลย

    ปล. รูปทั้งหมดถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม Minolta Hi-matic AF ฟิล์ม Kodak Pro Image 100

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in